วันพุธที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Spice up your English with Laura... # 7 – "Go home is better"

โดยฝ่ายบุคคล

ไม่ค่ะไม่ Laura ไม่ได้จำวันผิด บังเอิญ Laura จะติดภารกิจในอีก 2 วัน จึงขอมาพบกับท่านผู้อ่านเร็วกว่ากำหนดนิดส์นึง วันก่อนมีโอกาสไปดูละคะเวที เรื่อง ลมหายใจ The Musical ของเจ้าพ่อละครเวที คุณบอย ถกลเกียรติ ได้ข้อคิดมาหนึ่งข้อใหญ่ นั่นก็คือ จงอย่าลังเลที่จะทำสิ่งที่คุณอยากจะทำให้กับตัวเองและคนที่คุณรักตั้งแต่วันนี้ ดีกว่าจะมีนั่งเสียใจและถามตัวเองว่า “ทำไมตอนนั้นไม่.... ” เพราะโอกาสอาจไม่กลับมาอีกแล้ว ว้าว! ฉะนั้น ถ้าคุณเคยบอกตัวเองว่าอยากเก่งภาษาอังกฤษ ก็เริ่มซะเถอะค่ะ อย่ารีรอ วันละนิด A little bit, little more จะได้ไม่เสียใจภายหลัง แห่ะๆ วกเข้าเรื่องได้อย่างไม่น่าเชื่อ (- -‘)
วันนี้ Spice up your English with Laura ... ขอเสนอตอนที่ชื่อว่า "Go home is better" จุดใหญ่ใจความของตอนนี้ยังคงอยู่ที่การแปลตรงตัวจากภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษของคนไทย ซึ่งครั้งนี้เป็นเรื่องของการแปลตรงตัวจากโครงสร้างประโยคในภาษาไทยไปเป็นภาษาอังกฤษ

คำว่า ดีกว่า แปลตรงไปตรงมาในภาษาอังกฤษว่า better แต่เวลาใช้จะไม่สามารถใช้ตรงไปตรงมาอย่างที่เราใช้ในภาษาไทยได้ ในภาษาไทยคำว่า "ดีกว่า" มี 2 ความหมายหลัก

ความหมายแรกเราใช้เมื่อเราจะเปรียบเทียบในการประเมินของ 2 อย่างและเราจะบอกว่าอย่างไหนดีกว่ากัน ในสถานการณ์นี้ให้ใช้ is better than เช่น

·If you're thirsty, drinking water is better than drinking a soft drink. (ถ้าหิวน้ำ ดื่มน้ำเปล่าดีกว่าน้ำอัดลม)

·Eating at home is better than eating at a restaurant. (กินข้าวที่บ้านดีกว่ากินที่ภัตตาคาร)

นอกจากนี้เรายังสามารถนำคำว่า "ดีกว่า" ที่แปลว่า is better ไปไว้ตอนท้ายประโยค ถ้าเป็นความหมายในเชิงเปรียบเทียบ เช่น

·The white shirt is better. (เสื้อสีขาวดีกว่า ... แสดงว่ากำลังเปรียบเทียบระหว่างเสี้อสีขาวกับเสื้ออีกตัวหนึ่ง)

·Why do you like Looknok Supaporn? Tai Oratai is better. (ทำไมเธอถึงชอบ ลูกนก สุภาพร ล่ะ ต่าย อรทัย ดีกว่านะ)

ความหมายที่สองของคำว่า "ดีกว่า" ในภาษาไทย เราใช้คำนี้ในการชักชวนหรือแนะนำใครบางคนให้ทำอะไรบางอย่าง เช่น

·กินข้าวดีกว่า - ประโยคนี้ถ้าใช้ในเชิงเปรียบเทียบอาจแปลว่า กินข้าวดีกว่านั่งหิ้วท้องอยู่ที่นี่ หรือเปรียบเทียบระหว่างกินข้าวกับไม่กิน แต่ความหมายจริง ๆ เป็นการชักชวนให้กินมากกว่า ดังนั้นเมื่อ "ดีกว่า" ถูกใช้ในความหมายนี้ ห้ามใช้ is better นะคะ เช่นอย่าพูดว่า Eat rice is better. แต่เราควรใช้ประโยคต่อไปนี้ค่ะ Let's eat หรือ Let's get something to eat.

·กลับบ้านดีกว่า - อย่าไปแปลว่า Go home is better นะคะ ควรพูดว่า Let's go home หรือ Time to go home.

สรุปว่า เราไม่ใช้ is better (than) ในการชักชวน แต่จะใช้เฉพาะในความหมายเชิงการเปรียบเทียบเท่านั้น อย่าลืมนะคะ เริ่มฝึกฝน ฟุดฟิดฟอไฟ ตั้งแต่วันนี้ พบกันใหม่อาทิตย์หน้า สวัสดีปีใหม่ค่ะ
อ่านบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2553

มาเลี้ยงปลาการ์ตูนกันเถอะ ตอนที่ 2


โดย ดิว (ธนกิจ)

ในตอนสองนี้เรามาเรียนรู้วิธีการเลี้ยงปลาการ์ตูนรวมถึงปลาทะเลชนิดอื่นๆ กันนะครับว่าจะทำอย่างไรให้น้องปลาของเราอยู่กับเราไปนานแสนนาน ตอนสองนี้อาจจะเยอะหน่อยนะครับ แต่เพื่อวิธีการเลี้ยงที่ถูกต้อง ผมได้นำมาย่อและนำส่วนที่สำคัญมาแบ่งปันกันนะครับ ผมมั่นใจว่าถ้าเพื่อนๆได้อ่านยังไงน้องปลาของเราก็ไม่มีวันตายอยู่แล้ว หุหุ เพราะกว่าผมจะได้มาต้องศึกษาหลายอาจารย์เหมือนกัน
เกลือวิทยาศาสตร์

เกลือวิทยาศาสตร์เกี่ยวอะไรกับการเลี้ยงปลา นี้เป็นคำถามที่หลายๆคนไถ่ถามมา ปัจจุบันการเลี้ยงปลาทะเล หลายๆคนเข้าใจว่าต้องไปตักเอาน้ำทะเลมาเลี้ยง แล้วน้ำทะเลที่สะอาด เราจะไปหาที่ไหนได้ล่ะ ต้องออกเรือไปตักถึงกลางทะเลเลยรึเปล่า? ขอตอบเลยแล้วกันนะครับ ปัจจุบันเราไม่จำเป็นต้องเอาน้ำที่มาจากทะเลมาเลี้ยงก็ได้ เพราะเดี้ยวนี้ มีเกลือวิทยาศาสตร์ที่ช่วยให้เราสะดวกมากยิ่งขึ้น คือ การนำน้ำประปลามาผสมกับเกลือวิทยาศาสตร์ ในอัตราส่วนที่บอกไว้ข้างถุงเช่น ผมขอยกตัวอย่างเกลือวิทยาศาสตร์ยี่ห้อนี้นะครับ เสร็จแล้วทิ้งไว้ประมาณ 3 วัน ถึง 1 อาทิตย์ ถึงจะเอาปลาลงได้




ถุงเล็กราคาประมาณ 90 บาทใช้กับตู้ประมาณไม่เกิน 24 นิ้ว ตู้ 24 นิ้ว ใช้ 3 ถุง
ถุงใหญ่ราคาประมาณ 450 บาท ใช้กับตู้ประมาณ 30 นิ้วขึ้นไป ตู้ 30 นิ้วใช้ 1 ถุง


การตั้งตู้ปลาทะเล

ตู้เลี้ยงปลาทะเลไม่ควรตั้งไว้ในบริเวณที่มีการเปลี่ยนแปลงของอากาศในรอบวันมาก เช่น ตั้งไว้ในบริเวณที่โดนแดดโดยตรงในช่วงใดช่วงหนึ่งของวัน เมื่อตั้งตู้และติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ วัสดุแต่งตู้ รวมทั้งระบบกรองเรียบร้อยแล้ว จึงนำน้ำทะเลมาใส่ในตู้ น้ำทะเลที่ใช้ควรจะเป็นน้ำทะเลที่ผ่านการกรองและพักโดยให้ อากาศมาแล้วอย่างน้อย 7 วัน น้ำที่ใช้ควรมีความเค็มอยู่ระหว่าง 32-35 พีพีที หรือมีค่าความถ่วงจำเพาะเท่ากับ 1.0180-1.0200 จากนั้นจึงเริ่มเดินระบบกรอง ระบบให้อากาศและ/หรือหมุนเวียนน้ำ(แอร์ปั๊มหรือเพาเวอร์เฮด) ในช่วงนี้ไม่จำเป็นต้องเปิดไฟตู้ทิ้งไว้



การเพิ่มจำนวนแบคทีเรียในระบบกรอง

ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการตั้งตู้เลี้ยงปลาทะเล ซึ่งถ้าข้ามขั้นตอนนี้ไปปลาที่นำมาเลี้ยงจะตายในระยะเวลาประมาณ 4-6 สัปดาห์ เนื่องจากของเสียที่ปลาขับถ่ายออกมาสะสมมากขึ้นจนเป็นพิษกับปลา เนื่องจากเมื่อมีการตั้งตู้ใหม่ๆจะยังไม่มีแบคทีเรียเกิดขึ้นในระบบกรอง ซึ่งทำหน้าที่กำจัดของเสียที่เกิดขึ้นในตู้ ดังนั้นขั้นตอนนี้จึงเป็นการเพิ่มจำนวนแบคทีเรียที่มีหน้าที่กำจัดของเสียให้มีจำนวนมากขึ้นก่อนการปล่อยปลาลงเลี้ยง
แบคทีเรียกลุ่มดังกล่าวเป็นแบคทีเรียที่มีชื่อเรียกว่า “ไนตริฟายอิ้ง แบคทีเรีย, Nitrifying bacteria” ทำหน้าที่เปลี่ยนแอมโมเนียและไนไตร์ต ซึ่งเป็นพิษกับปลาให้กลายเป็นไนเตรต การเกิดและเพิ่มจำนวนของแบคทีเรียดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้จำเป็นต้องมีองค์ประกอบ 4 ประการ คือ

1. ตัวแบคทีเรียเริ่มต้นสำหรับทำหน้าที่ขยายจำนวนเพิ่มขึ้นให้เพียงพอกับของเสียที่เกิดจากการขับถ่ายของปลา ซึ่งไม่จำเป็นต้องไปหาที่ไหนเนื่องจากในอากาศและสิ่งแวดล้อมในตู้จะมีแบคทีเรียเหล่านี้อยู่แล้ว
2. คืออาหารของแบคทีเรีย ซึ่งก็คือของเสียที่ขับถ่ายออกมาจากปลานั่นเอง แต่การนำปลามาใส่ในขั้นตอนนี้จะทำให้ปลาตายได้เนื่องจากระบบยังไม่มีแบคทีเรียเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ จึงมักจะใช้พวกอาหารปลาหรือเศษเนื้อกุ้งขนาดเล็กๆ ใส่ลงไปในตู้เป็นประจำอาทิตย์ละครั้งต่อเนื่อง 4-6 อาทิตย์ เพื่อให้เกิดการเน่าเสียและเกิดแอมโมเนียที่เป็นอาหารให้กับแบคทีเรีย
3. คือ ที่อยู่ของแบคทีเรีย ซึ่งแบคทีเรียชนิดนี้จะเกาะติดกับผิววัสดุ เช่น บนวัสดุกรองที่เตรียมไว้ หรือบนหินและทรายที่อยู่ในตู้
4. คือ อากาศหายใจซึ่งในตู้ก็จะมีอากาศที่เป่าลงไปในน้ำอยู่แล้ว
เมื่อในตู้ที่ตั้งไว้มีองค์ประกอบครบทั้ง 4 ประการ และเดินระบบกรองทิ้งไว้ ให้ตรวจคุณภาพน้ำ เป็นประจำทุก 2-3 วัน จะพบว่าในช่วงแรกปริมาณแอมโมเนียที่ตรวจพบจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆจนสูงสุดแล้วจะลดปริมาณลง หลังจากที่แอมโมเนียเริ่มลดลงก็จะตรวจพบว่ามีไนไตรต์เกิดขึ้นและจะมีปริมาณพิ่มขึ้นเรื่อยๆและในที่สุดก็จะลดลง หลังจากที่เริ่มมีไนไตรต์เกิดขึ้น ก็จะสามารถตรวจพบไนเตรต และไนเตรตที่เกิดขึ้นก็จะเพิ่มขึ้นเป็นลำดับและสะสมอยู่ในระบบตามระยะเวลาที่ผ่านไป เมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 4-6 อาทิตย์ แบคทีเรียก็จะเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ในระบบกรอง และจะทำหน้าที่กำจัดของเสียที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ตรวจไม่พบ แอมโมเนียหรือไนไตรต์หรือหากพบก็จะพบในปริมาณที่น้อยมาก ซึ่งเมื่อถึงขั้นนี้ตู้ที่ตั้งไว้ก็พร้อมที่จะลงปลาได้ แต่ก่อนลงควรจะทำการเปลี่ยนถ่ายน้ำเก่าออกให้เกือบหมดและเติมน้ำใหม่เข้าไปแทนที่
การปล่อยปลาลงเลี้ยง

เมื่อตู้ปลาที่ตั้งไว้ผ่านขั้นตอนที่กล่าวมาแล้ว ก็สามารถที่จะลงปลาได้ แต่การปล่อยปลาไม่สามารถที่จะปล่อยได้ที่เดียวพร้อมกัน เพราะการปล่อยปลาลงเลี้ยงพร้อมกันมากๆในครั้งเดียวจะทำให้ของเสียที่ขับถ่ายออกมามีจำนวนมาก ซึ่งแบคทีเรียไม่สามารถกำจัดของเสียได้หมด และไม่สามารถเพิ่มจำนวนขึ้นมารองรับปริมาณของเสียที่เกิดขึ้นได้ทัน ดังนั้นการปล่อยปลาจะต้องแบ่งออกเป็น 3-4 ชุด และห่างกัน 5-7 วัน โดยหลังจากปล่อยชุดแรกแล้ว ให้ทำการตรวจปริมาณของแอมโมเนียและไนไตรต์อย่างต่อเนื่องทุกวัน ติดต่อกัน ถ้าปริมาณที่ตรวจพบไม่เพิ่มขึ้นหรือเพิ่มแต่ลดลงจนตรวจไม่พบในที่สุดใน 2-3 วัน จึงจะปล่อยปลาในชุดต่อไปได้ แต่หากไม่ลดลงต้องรอให้ลดลงจนใกล้ศูนย์จึงจะปล่อยปลาในชุดต่อไปได้ โดยหลังการปล่อยปลาแต่ละชุดต้องตรวจปริมาณแอมโมเนียและไนไตร์ตทุกครั้ง ทำเช่นนี้จนปล่อยปลาครบตามที่กำหนดไว้

การให้อาหาร

การเลี้ยงปลาทะเลเพื่อเลี้ยงดูสวยงามนั้น ไม่ควรให้อาหารเกินวันละครั้ง และควรให้กินแต่พออิ่มไม่ควรให้ตามที่ปลาต้องการ เพราะจะทำให้เกิดของเสียมาก บางช่วงถ้าปลาไม่กินอาหารเช่นในช่วงที่อากาศเย็น จะต้องงดให้อาหารหรือลดปริมาณของอาหารลง อาหารทีให้อาจเป็นเนื้อกุ้งสับ หอยลายสับ กุ้งเคย อาหารสำหรับปลาทะเล ฯลฯ สลับกันไป และเมื่อมีอาหารเหลือตกอยู่ก้นตู้ต้องกำจัดออก ห้ามปล่อยทิ้งไว้ก้นตู้โดยเด็ดขาดเพราะจะทำให้น้ำเกิดการเน่าเสียไว้

การดูแลระหว่างการเลี้ยง

สิ่งที่ต้องดูแลระหว่างการเลี้ยงปลาทะเล คือ การนำเอาใยกรองที่กรองตะกอนออกมาล้างทุก 2-3 วัน และทำการเติมน้ำจืดเพื่อทดแทนน้ำจืดที่ระเหยหายไปในแต่ละวัน วิธีที่ง่าย คือ ให้ขีดระดับน้ำเริ่มต้นไว้หลังจากนั้นเมื่อระดับน้ำลดต่ำลงก็ให้เติมน้ำจืดลงไปให้ได้ตามระดับเดิมโดยควรทำทุก1-2 วัน นอกจากนี้ควรทำการตรวจสอบคุณภาพน้ำเป็นระยะ ทั้งความเป็นกรด-ด่าง (พี-เอช, pH) ความเป็นด่าง(Alkalinity) แอมโมเนีย และไนไตรต์ โดยปกติค่า พีเอชและความเป็นด่างจะลดต่ำลงเรื่อย จำเป็นต้องควบคุมโดยการใช้สารพวกหินปูนที่มีขายทั่วไปสำหรับปรับเพิ่ม พี-เอช ขึ้นมา ผงฟูที่ใช้สำหรับทำอาหารก็สามารถที่จะนำมาใช้ได้เช่นกัน โดยค่อยๆเติมและตรวจพีเอช กับความเป็นด่างหลังจากเติมแล้วใน 24 ชั่วโมงหากไม่เพิ่มให้เติมเพิ่มจนค่าขึ้นมาอยู่ในระดับปกติ ระหว่างการเลี้ยงควรจะเปลี่ยนถ่ายน้ำเป็นระยะโดยควรเปลี่ยนถ่าย เดือนละประมาณ 10-20% หรือแบ่งเป็น 2 ครั้ง ทุก 2 อาทิตย์ คุณภาพน้ำที่เหมาะสมสำหรับการเลี้ยงปลาทะเล คือ ความเค็มอยู่ระหว่าง 32-34 พีพีที พี-เอช ระหว่าง 8.0-8.4 ความเป็นด่าง 80-120 พีพีเอ็ม ปริมาณแอมโมเนียและไนไตร์ตศูนย์หรือเกือบศูนย์ ไนเตรตไม่เกิน 50 พีพีเอ็ม

คราวหน้าผมจะนำเรื่อง สิบขั้นตอนในการทำตู้ทะเล รวมถึงแหล่งที่ซื้อและราคามานำเสนอครับ
อ่านบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2553

แฉแต่เช้า: พฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม 2553

โดย ซ้อ77

เริ่มตั้งแต่วันงาน iHears ครั้งที่ 2 ก่อนแล้วกันงานวันนั้นก็ผ่านได้ด้วยดีพอสมควรซึ่งก็ถือว่าโอเคอยู่นะสำหรับครั้งแรกหรือก้าวแรกของผู้จัดแล้วกันแต่ครั้งหน้าหวังว่าคงจะดีเยี่ยมอย่างไงก็ฝากไว้แล้วกัน
ที่น่าประทับใจคือความร่วมมือของพวกพี่ๆที่ไม่น่าเชื่อว่าจะกลมกลืนไปกับพวกน้องๆได้ดีขนาดนี้ บางท่านทั้งเต้นทั้งร้องแบบลืมวัยกันทีเดียว ที่รับบทหนักน่าจะเป็นพี่ที่ชื่อน่ารักเหมือนผลไม้ ที่มีพวกเราทั้งรุ่นพี่รุ่นน้องแวะเวียนไประบายให้พี่เขาฟังทั้งคืน พี่เขาก็ฟัง (iHears) พวกเราจริงๆ หรืออาจพูดไม่ทันก็ไม่รู้ได้นะ อย่างว่าพวกเรายิ่งมีแอลกอฮอล์กระตุ้นยิ่งมันส์ ยังงัยๆก็สงสารพี่เขาหน่อยนะ ขนาดพี่เขาจะลุกไปที่อื่นยังมีคนดึงคุยต่อ อย่างว่าเนอะเป็นคนของประชาชนก็อย่างนี้ ซ้อว่าคราวหน้าน่าจะจัดมุมระบายความในใจให้พี่เขาไปประจำเป็นเวลาน่าจะดีนะ 5555
อย่ารอช้าเลยเข้าเรื่องแฉกันดีกว่าวันงานใครถูกกระทำชำเลาบ้าง????ยกมือขึ้น ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเป็นคนที่อ่อนไหวกับเรื่องความรักอย่างหนุ่มวันย่างสามสิบที่ถูกแกล้งในวันนั้นโดยถูกกลุ่มคนร้ายปลูกผักสวนครัวไว้บนเรือนร่างแล้วตรงไหนไม่ว่าดันเป็นจุดอภัยทานซะด้วย ไม่ใช่ข้างหน้าแต่เป็นด้านหลังดีหน่อยคนแกล้งยังมีความเกรงใจอยู่บ้างแถมเจ็บสุดดันมีรูปแบลคเมย์ ด้วยแต่ถึงอย่างไงก็ไม่สมควรที่จะเล่นกันหนักถึงขนาดนี้เพียงแค่การกระทำชั่ววูบหรือแค่คิดสนุกก็อาจจะทำลายความไว้วางใจซึ่งกันและกันได้นะครับพี่น้องครับ

แต่ถึงอย่างไงตบมือข้างเดียวไม่ดังหรอกถ้าชายหนุ่มคนนั้นไม่เมาจนไม่รู้สติขนาดนั้นเหตุการณ์เช่นนี้คงจะไม่เกิดขึ้นหรอกว่าไหม?????การที่คนเรามีสติไม่ว่าจะเจอปัญหาหรือไม่เจอก็สามารถข้ามผ่านจุดนั้นไปได้อยู่ดียังไงทำอะไรก็ขอให้มีสติก็แล้วกันนะคร๊าบทุกคน

แต่ก้อสนุกดีนะคืนนั้นมีนักร้องรับเชิญหลายท่านจริงๆไม่ว่าจะเป็นรุ่นเล็กหรือรุ่นใหญ่ไม่มีใครยอมแพ้กันเลยทีเดียวสงสารทางดีเจจริงๆเจองานเข้าชุดใหญ่เลยสงสัยว่าถ้ามีงานหน้าคราวหน้าเค้าคงจะไม่รับงานเราแล้วมั่ง5555555

หนุ่มไม้ทีของเราท่าทางจะมีอะไรครอบงำ ในงานปาร์ตี้รู้สึกเรียบร้อยเป็นพิเศษหรือว่ามีใครคอยจับจ้องอยู่ตลอดก็ไม่รู้ได้ ขณะที่เรามีคนเลี้ยงปลานีโมอย่างจริงจังจนเขียนบทความลงบล็อก ในงานมีหนุ่มเมืองนนท์ ที่น่าจะมีโอกาสเลี้ยงปลาพะยูนอย่างจริงจัง ซ้อดูแววตาปลาพะยูนแล้วหนุ่มเมืองนนท์ไม่น่ารอดคมเขี้ยวไปได้ ยังงัยก็เขียนลงบล็อกด้วยนะ

เออคราวทีแล้วลืมพูดถึงทีมงานคุณภาพที่ SPX เลย ได้ยินการขนานนามชื่อเสียงของคนนี้มานานแล้วเรื่องการมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ยอดแย่กับเพื่อนร่วมงานการที่เราจะทำงานให้สำเร็จนั้นต้องพึ่งความสามัคคีเป็นหลักและจะต้องเปิดใจรับฟังเพื่อนร่วมงานด้วยที่เค้าบอกเราเตือนเราเพราะเค้าหวังดีกับเราต้องคิดอย่างนั้นถึงจะถูกไม่ใช่บอกแล้วทำเป็นหูทวนลมไม่สนใจทำเป็นเก๊กแล้วใครอยากจะทำงานกับคุณต้นไม้ยังสามารถดัดได้เลยยังไงก็ดัดนิสัยตัวเองสักนิดน่ะครับถึงจะเป็นที่รักของเพื่อนๆๆๆ

และมีอีกคนหนึ่งทำงานมาตั้งนานแหละน่าจะเก่งแล้วล่ะแต่ไม่ค่อยแบ่งปันความรู้เพื่อนร่วมงานสักเท่าไรสงสัยจะหวงวิชานะเนี้ยพอคนล้มหรือผิดพลาดในงานเข้าหน่อยท่านคนนั้นก็เข้ามาใส่เลยทั้งๆที่ทำงานด้วยกันน่าจะให้กำลังใจและสอนกันมากกว่าการซ้ำเติมนะครับคุณเสียด
อืมดีหน่อยช่วงนี้เข้าไปในตู้ไม่ค่อยมีกลิ่นละมุดสงสัยคงจะหมดฤดูแล้วมั่งหายใจสะดวกหน่อยไม่งั้นคงขาดอากาศหายใจแน่

เอ้าลืมทักทายพระเอกของเรื่องการแฉนี้เลยเป็นไงบ้างครับคุณต..ช่วงนี้เงียบๆไปนะมีอะไรหนักใจรึป่าวอ้อคงจะเป็นเรื่องเงินเอ้ย!!ไม่ใช่เรื่องความรักต่างหากใช่ป่ะ รักเค้าแล้วก็ขอให้สู้ๆหน่อยนะครับสักวันต้องเป็นวันของเราแน่ๆเชื่อดิซ้อเป็นกำลังใจให้
อ่านบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2553

หนึ่ง สอง สาม แช๊ะ!!!


เมื่อมาพักร้อนคนเดียวก็เลยจำเป็นต้องไปถ่ายรูปคนเดียว บางครั้งทำให้คิดว่า เราน่าจะแชร์เทคนิคให้เพื่อนๆ พี่ๆบ้างนะ เพื่อต่อไปเราอาจชวนๆกันไปถ่ายรูปกันเยอะๆ เป็นทริปๆไปเลย จึงเป็นเหตุให้อยากแชร์เทคนิคเริ่มต้นสำหรับผู้ที่อยากถ่ายรูปกันทั้งหลายให้ทราบและเอาไปฝึกฝนกันได้ เพื่อที่จะทำให้ภาพของเรานั้นดูสวยงามขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ใจ



เริ่มเลยง่ายๆเลยกล้องก็มีสองประเภทแยกตามสื่อที่บันทึกก็คือ ฟิล์ม กับ ดิจิตอลนั่นเอง โดยพื้นฐานวิธีการถ่ายภาพของทั้งสองแบบนี้ไม่แตกต่างกันเท่าไหร่ ง่ายๆคือ "เล็งแล้วกด" นี่คือวิธีที่เรานิยมใช้กันมานานนม แล้วมันก็ยังทำหน้าที่ของมันได้ดีเสียด้วย

ขั้นตอนแรกของการถ่ายรุปคือ "รู้จักกับกล้องของตัวเอง"
ถ่ายรูปมาตั้งนานแล้ว เราเคยดูกันบ้างหรือเปล่าว่า กล้องเราทำอะไรได้บ้างนอกจากโหมด Auto !? ISO คืออะไรหว่า WB คืออะไรหว่า +/- มันมีไว้ทำไม เอ๊ะมันมีโหมดอะไรเยอะแยะ Av Tv M ปกติกดทีไรก็เลือกแต่โหมดสีเขียวไว้ก่อน เหล่านี่ที่กล่าวมาคือคำถามสำหรับคนที่ยังไม่รู้จักกล้องของตัวเองดีพอ เหมือนกับเรามีดาบเล่มสวยอยู่ในฝัก แต่เวลาไปเจอศัตรูเรากลับฟันไปทั้งฝักซะงั้น การรู้จักกล้องก็เหมือนกัน มันเหมือนกับเราจะดึงศักยภาพสูงสุดของกล้องออกมาได้อย่างไร ในสถาณการนั้นๆ อันนี้ต้องอาศัยประสบการณ์และการฝึกฝน กลับบ้านไปลองไปจับๆกล้องแล้วทักทายกล้องที่บ้านกันด้วยหล่ะครับ

ขั้นตอนที่สอง "รู้จักตัวเอง"
ใครไม่รุ้จักตัวเองก็บ้าแล้ว นิคมาพร่ำอะไรเนี่ย? รู้จักตัวเองในที่นี้คือการรู้จักว่าเราอยากถ่ายรูปอะไร สำหรับผมนี่คือส่วนที่สำคัญที่สุดของการถ่ายรุปเลยก็ว่าได้ การที่เรารู้จักตัวเอง ทำให้เราสามารถทำสิ่งนั้นๆออกมาได้ดีที่สุด การรู้จักตัวเองทำไม่ยาก ลองไปดูรุปที่เราถ่ายเก่าๆดู แล้วรู้สึกว่าเราถ่ายรูปแบบไหนแล้วสวยนะ คนเหรอ? วิวเหรอ? หรือ ภาพผู้คนเดินขวักไขว่ไปมา เหล่านี้เองล้วนบอกตัวตนความเป็นตัวเราทั้งสิ้น

ขั้นตอนสุดท้าย "รู้จักวิธีการถ่ายรูป"
ขั้นตอนสุดท้ายนี้บอกได้เลยว่า พูดกันสามวันก็ไม่หมด จะทยอยทำเป็นตอนต่อไป (ถ้ากระแสตอบรับดีรับรองว่า Series นี้มียาว) แต่วันนี้จะมายกตัวอย่างง่ายๆเอาไปใช้ได้เลยคือ "กฏสามส่วนเก้าช่องและสัดส่วนสวรรค์"
ลองจินตนาการง่ายว่าภาพเรานั้นมีตารางขึ้นมาเป็น 9 ช่องสวยงามสมมาตรดังรูป



จะเห็นได้ว่ารูปดูมีอะไรขึ้นจริงมั้ยมากกว่าเราจัดเก้าอี้ไว้กลางภาพเลย ลองดูภาพต่อไป










ภาพมันดูมีอะไรมากขึ้นจริงๆแหะ ถามว่าทำไม!?
ตรงนี้เป็นเพราะว่าหลักการของธรรมชาติที่ทำให้เกิดความสมมาตรขึ้นในในมิติที่วกวน ฟังดูยากมั้ยถ้ายากลองเปรียบเทียบรูปด้านล่างสองรูปดูสิแล้วท่านจะพบคำตอบ











ถ้ายังไม่เข้าใจลองเปิดกูเกิลหาคำว่า "สัดส่วนสวรรค์" หรือ "สัดส่วนทองคำ" ดูครับแล้วจะพบความจริงอันน่าขนลุกอีกหลายอย่าง
ฮี่ ฮี่ ฮี่

หวังว่าคราวนี้หลายคนคงจะได้อะไรกลับไปไม่มากก้น้อย คราวหน้าโอกาสดีจะเอาเทคนิคขั้นต่อไปมากฝากทุกๆคน หวังว่าอีกไม่นานเราจะมีชมรมถ่ายรูป Solvay ต่อไป

สุดท้ายนี้ระหว่างการพักร้อน(มาเจอหนาว) ก็ได้ไปถ่ายรูปไปหลายอยู่ ถ่ายไปถ่ายมาเริ่มรู้สึกว่ารูปเราเริ่มดาดๆไม่สวยดั่งใจเหมือนแต่ก่อน เลยต้องกลับมาย้อนตั้งคำถามให้ตัวเองว่า " ทำไมรูปเรามันถึงเริ่มไม่สวยอย่างใจคิด " ก็เลยได้กลับมาพลิกตำราเก่าๆที่เคยศึกษาไว้เองตั้งแต่ครั้งบรรพกาล ก็ได้พบว่าเมื่อเราเริ่มเพลิดเพลินไปกับการถ่ายรูป เรากลับลืมพื้นฐานหลักการอะไรหลายอย่างไป ทำให้รูปของเรากลายเป็นรูปทั่วไปที่ใครๆก็ถ่ายได้ ไม่มีจิตวิญญาณของเราอยู่ในนั้น พึงระลึกไว้เสมอว่า สิ่งใดที่เราทำลงไปเราควรต้องใส่จิตวิญญาณความตั้งใจลงไปในผลงานที่เราทำ เพราะไม่เช่นนั้น ผลงานของเราจะเป็นเพียงแค่ชิ้นงานอันนึงที่ไม่ทำให้เราภาคภูมิใจ...
อ่านบทความทั้งหมด

วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Spice up your English with Laura... # 6 – "I'm boring"

โดย ฝ่ายบุคคล

สัปดาห์นี้มีคำถามส่งมาจากสาวหน้ามนคนกันเองถึงวิธีการใช้ adjective (คำวิเศษณ์) 2 รูปแบบที่ใช้แสดงความรู้สึก ซึ่งมักจะสร้างความลังเล และว้าวุ่นใจให้กับเราซึ่งเป็นผู้พูด ตลอดจนสร้างความสับสนในชีวิตให้กับฝรั่งซึ่งเป็นผู้ฟัง ฉะนั้น Spice up your English with Laura ... ขอเสนอในตอนที่ชื่อว่า I'm boring.

Adjective ที่ใช้แสดงความรู้สึกมักจะปรากฏให้เห็นใน 2 รูปแบบ ได้แก่ ในรูป V + ing และ V + ed ถ้าอยากจะพูดถึงความรู้สึกที่อยู่ในตัวเอง คือ รู้สึกเบื่อ ให้ใช้ศัพท์ที่ลงท้ายด้วย ed แต่ถ้าอยากจะอธิบายว่าสิ่งอื่นเป็นอย่างไรให้ลงท้ายด้วย ing ดังตัวอย่างต่อไปนี้

· I'm bored. (ฉันเบื่อ) I'm boring. (ฉันน่าเบื่อ)

· I'm excited. (ฉันรู้สึกตื่นเต้น) I'm exciting. (ฉันเป็นคนน่าตื่นเต้นมาก)

· I'm bored with this subject. (ผมรู้สึกเบื่อกับวิชานี้) This subject is boring. (วิชานี้น่าเบื่อ)

· The movie was so boring I went home early. (หนังเรื่องนั้นน่าเบื่อมาก ฉันจึงกลับบ้านเร็ว)

· I was so bored with the movie I went home early. (ฉันเบื่อหนังเรื่องนั้นมาก จึงกลับบ้านเร็ว)

ตัวอย่างยอดฮิต และใช้ผิดกันอยู่บ่อย ๆ ได้แก่ คำว่า interesting กับ interested ซึ่งพบว่าหลายคนมักใช้สลับไป-มา เช่นอยากจะพูดว่า ฉันรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ดูหนังเรื่องนี้เพราะมันน่าสนใจมาก บางคนจะพูดว่า I'm so excited to see this movie as it is very interested. ซึ่งผิดนะคะ ขอย้ำถ้าใช้แบบนี้จะแปลได้ว่า ฉันรู้สึกตื่นเต้นดีใจที่จะได้ดูหนังเรื่องนี้เพราะมันรู้สึกสนใจ งงสะใจดีมั้ยคะ ที่ถูกต้องใช้แบบนี้นะคะ I'm so excited to see this movie as it is very interesting.

เช่นเดียวกับคำว่า excited ใช้สำหรับความรู้สึกภายในตัวเองและ exciting ใช้เพื่ออธิบายอย่างอื่น เช่น The new series on Channel 3 is so exciting! (ละครเรื่องใหม่ทางช่อง 3 น่าตื่นเต้นมาก) และ I'm so excited when I watch the new series on Channel 3. (ฉันรู้สึกตื่นเต้นมากเมื่อดูละครเรื่องใหม่ทางช่อง 3)

โดยทั่ว ๆ ไปแล้ว excited หมายถึง ความรู้สึกตื่นเต้นในทางดี ไม่ได้หมายถึง ตื่นเต้นแบบว่ากลัว หรือประหม่าอย่างที่คนไทยส่วนใหญ่คิด ดังนั้นถ้าจะต้องพูดว่ารู้สึกตื่นเต้น กระวนกระวาย เหงื่อแตกพลั่ก ๆ เพราะต้องทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ เช่น กำลังจะขึ้นไปพูดบนเวทีต่อหน้าคนนับร้อย อย่าพูดว่า I feel excited หรือ I'm very excited เพราะฝรั่งเค้าจะคิดว่าเรารู้สึกตื่นเต้นยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ขึ้นไปพูด ถ้าจะให้ได้ใจความที่ต้องการขอแนะนำให้ใช้คำว่า nervous ซึ่งหมายถึง ตื่นเต้นในเชิงประหม่า กังวลใจ แทนจะดีกว่านะคะ เช่น I'm so nervous as I have never done public speaking before. (ฉันรู้สึกตื่นเต้นมาก เพราะฉันไม่เคยพูดต่อหน้าสาธารณชนมาก่อนเลย)

กฎง่าย ๆ ใช้ช่วยจำให้ท่องว่า - ed สำหรับความรู้สึกของคน - ing สำหรับสิ่งของและสถานการณ์ หรือ I'm bored. It's boring.

สรุปว่า bored คือ เบื่อ, boring คือ น่าเบื่อ ส่วน interested แปลว่า สนใจ, interesting แปลว่า น่าสนใจ และ excited แปลว่า ตื่นเต้น ดีใจ ไม่ใช่ตื่นเต้นกังวลใจแบบ nervous ค่ะ พบกันสัปดาห์หน้าค่ะ บายค่ะ
อ่านบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2553

มาเลี้ยงปลาการ์ตูนกันเถอะ ตอนที่1

โดย ดิว (ธนกิจ)

สวัสดีครับพี่น้องชาว Solvay ทุกท่านวันนี้ผมนำงานอดิเรกที่น่าสนใจอย่างหนึ่ง เกี่ยวเรื่องของสัตว์เลี้ยงมาแนะนำครับ สำหรับคนที่รักการเลี้ยงปลาทะเล แต่เป็นปลาทะเลที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว ปลาทะเลที่ว่านี้เมื่อหลายปีก่อนได้ถูกสร้างมาเป็นหนังเรื่อง “ NEMO ปลาเล็กหัวใจ โต๊โต ” ซึ่งทำให้เป็นที่รู้จักกันทั่วโลก และความน่ารักน่าชังของมันนั้นเอง ที่ทำให้ผมหลงเสน่ห์ของมันเข้าอย่างจัง ที่คนทั่วไปเรียกกันติดปากว่า ปลาการ์ตูน นั้นเองครับ ซึ่งผมได้ศึกษาวิธีการเลี้ยงปลาชนิดนี้ตลอดเวลา 3 เดือน จนมาถึงวันนี้สามารถเลี้ยงปลาการ์ตูนได้สำเร็จแล้วครับ ก็เลยอยากจะชวนพี่น้องชาว Solvay มาลองเลี้ยงดู แต่ที่สำคัญนะครับเราต้องมีเวลาให้กับเค้าด้วยสำหรับวันนี้ มารู้จักกับปลาการ์ตูนและสายพันธุ์ของปลาการ์ตูนกันก่อนนะครับ
ปลาการ์ตูนเป็นปลาทะเลที่มีความงดงาม สีสวยสดใส ด้วยลีลาท่วงท่าในการว่ายน้ำ เป็นที่สะดุดตาของบรรดานักเลี้ยงปลาจำนวนมาก ปลาการ์ตูนเป็นปลาที่รู้จักคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี นักเลี้ยงปลาทะเลแทบทุกคนรู้จักดี และเคยเลี้ยง ราคาที่ย่อมเยา ขนาดที่กำลังน่ารัก สีสันสะดุดตา ล้วนเป็นปัจจัยให้นักเลี้ยงปลาสนใจและอยากมีไว้เป็นเจ้าของ

>

เอาล่ะครับเรามารู้จักปลาการ์ตูนและสายพันธุ์ของมันให้มากกว่านี้ดีกว่านี้ครับ

สายพันธุ์ปลาการ์ตูนมี 7 สายพันธุ์

1. ปลาการ์ตูนส้ม – ขาว ( Amphiprion ocellaris )


2. ปลาเพอคูล่า ( Amphipiron percula )


3. ปลาการ์ตูนทอง (Premnas biaculeatus : Yellow - striped) และ ปลาการ์ตูนแดง (Premnas biaculeatus : white - striped)


4. ปลาการ์ตูนมะเขือเทศ (Amphiprion Frenatus)


5. ปลาการ์ตูนอินเดียแดง (Amphiprion Akallopisos)


6. ปลาการ์ตูนลายปล้อง (Amphiprion Clarkii)



7. ปลาการ์ตูนอานม้า (Amphiprion Polymnus)


คราวนี้เราก็รู้จักปลาการ์ตูนกันแบบละเอียดแล้วนะครับ ตอนต่อไปผมจะมาเล่าถึงรายละเอียดของปลาการ์ตูนแต่ละสายพันธุ์ สำหรับวันนี้ลากันไปก่อนนะครับพี่น้องชาว SOLVAY ทุกคน สวัสดีครับ !!
อ่านบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

แฉแต่เช้า: ศุกร์ที่ 19 พย 2553

โดย ซ้อเจ็ดสิบเจ็ด

ผ่านไปแป๊บเดียวก็ปลายปีอีกแล้วนะ ช่วงนี้อากาศหนาว ๆ ร้อน ๆ พี่น้องโซลเวย์รักษาสุขภาพด้วย ไม่ต้องออกไปดื่มแก้หนาวกันมากนักก็ได้ ไม่รู้เป็นไงมาทำงานช่วงนี้เหมือนว่ามาเที่ยวสวนผลไม้ยังไงไม่รู้ (สวนละมุดอ่ะ) แค่ก้าวเท้าเข้ามาในตู้อืมหือละมุดเต็มปอดถึงกับขมคอเลยทีเดียวยังไงก็เพลาๆสักหน่อยน่ะเป็นห่วงสุขภาพตัวเองบ้าง
เหมือน ๆ ว่าเวลานี้หนุ่ม ๆ โซลเวย์ ของเราจะชอบฟังเพลงของไอน้ำกันมากน่ะเพลงอะไรอ่ะก็เพลงคนอกหักไง
โอ้โหเก่าเกินไปป่ะเนี้ยแต่เห็นหน้าแต่ละคนแล้วคงจะเกิดทันอยู่น้า 555555 แต่จะถึงอย่างไรก็ตามขอให้ทุกคนสู้ ๆ ๆ อย่าติดจมปักอยู่กับอดีตแล้วคอยแต่ทำลายตัวเองไม่ว่าจะโดยการสูบบุหรี่บ้างล่ะ (โอ้ยโดนใครรึป่าวว่ะเนี้ย) หรือไม่ก็ไปเจอกันแถว ๆ PMY เกือบทุกวัน ไม่รู้ว่าทำสัญญากับPMYไว้หรือไงก็ไม่ทราบ หวังว่าหมดสัญญา แล้วคงไม่ต่อแล้วน่ะแล้วมีอีกคนชอบเที่ยวจริงๆวันศุกร์ไม่ได้เลยเมาตลอดยังไงเมาแล้วก็ไม่ต้องต่อที่ไหนมากนักน่ะ เกรงใจเจ้าของรถเค้าอิอิอิเป็นห่วงหลอกถึงมาบอกกันครับพี่น้องคับ

- มีอีกคนหนึ่งคงเส้นคงวาดีจริง ๆ (ปากอ่ะ) จะพูดอะไรออกไปก็คิดซะก่อนเอาใจเค้ามาใส่ใจเราซะบ้างลองคิดดูถ้าโดนเข้ากับตัวเองจะรู้สึกแบบไหนคงจะแย่มากแน่ ๆ คงจะรับไม่ได้ยังไงก็นิดหนึ่งน่ะ

- เออ...พระเอกหนุ่มใหญ่ บ. ก็ลาออกไปแล้วนี่หว่า แต่ทำไมยังมีปัญหาเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ กันอยู่หว่า...ไม่ใช่เรื่องขโมยเงินน่ะ แต่ฝากถึงพระเอก ต. และพี่น้องอีกหลายคนครับ เรื่องของการยืมเงินน่ะ ไม่ว่าจะยืมมากยืมน้อยแค่ไหน แต่ยืมเค้าไปก็ต้องคืนให้ตรงเวลาด้วยล่ะ ไม่ว่าจะเก่งหรือดียังไง ถ้ามีเรื่อเงินมายุ่งเกี่ยวก็จบทุกคนนะคร้าบบบบพี่น้อง...

ยังไงอยากฝากไปถึงพี่ ๆ น้อง ๆ ทุกคนว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องค่อนข้างละเอียดอ่อนนะครับ บ่อยครั้งกลายเป็นเรื่องบาดหมางกันระหว่างเพื่อนร่วมงาน เพื่อนสนิท หรือแม้แต่พี่น้องญาติสนิทกัน ซึ่งอาจมีผลหนักไปจนถึงทำร้ายร่างกาย หรือฆ่าแกงกันไปเลย ซึ่งก็เห็นกันอยู่เป็นปกติตามข่าวโทรทัศน์หรือหน้าหนังสือพิมพ์.....

- ตอนนี้เทรนด์แกล้งซ่อนรองเท้าหรือเอาของไปใส่กระเป๋าเป็นที่นิยมมากในกลุ่มพวกเรา ล่าสุดนายดิวหนุ่มเกาหลีของเราโดนแกล้งเอารองเท้าไปใส่ไว้ในถังขยะในห้องน้ำ เดชะบุญ...ที่หาเจอก่อน ไม่งั้นแม่บ้านสามสีของเราเก็บไปทิ้งไม่รู้อะไรจะเกิดขึ้น....สิ่งที่ทำกันก็สนุก ก็ขำกันดีหรอก แต่ถ้าไม่โดนบ้างก็ไม่รู้หรอก ยังไงก็อยากจะฝากเรื่องนี้ไว้ ว่าอย่าแกล้งกันน้องดิวกันรุนแรงนักเลย อือม์...ว่าแต่ช่วงนี้พี่น้องดิวเงียบหายไปช่วงหลังเลิกงานนะ...แล้วก็หน้าตาสดใสขึ้นด้วย มีอะไรดี ๆ รึเปล่าเอ่ย.....

- ขอปรบมือให้พี่อาร์ตดัง ๆ เลยคร้าบบบ เพราะตั้งแต่โดน comment เรื่องเล่นเกมส์เยอะ ตอนนี้ก็ไม่ค่อยเอามาเล่นที่โรงงานแล้ว ดูใส่ใจเอาการงานเอางานมากขึ้น ส่วนคนที่ยังชอบนอนหลับ หรือเล่นหมากรุกในเวลางานก็ดูพี่อาร์ตเค้าเป็นตัวอย่างกันเถอะครับ

- ตกเป็นเป้านิ่งในการโดนล้อว่าเป็นชาวเผ่าเกียมัว ยังไงก้อเพลา ๆ หน่อยนะครับ หยอกกันนิด ๆ หน่อย ๆ พอหอมปากหอมคอละกัน แต่แซวเยอะไปเดี๋ยวพี่โอ๊ตเค้าจะเสียใจนะ......อันที่จริงพี่โอ๊ตเค้าไม่ได้กลัวภรรยาหรอก แต่เค้ากลัวภรรยาทิ้งก็พี่เค้าอายุขนาดนี้แล้วดิ (อุ๊ย!!!)

- หน้าตาแจ่มใสกันมาทุกคน สำหรับ พี่น้องที่กลับมาจาก HPPO1 พี่จำนงค์ พี่เกียรติชาย พี่ถิรเมธ พี่จีรวัฒน์ พี่นิค พี่นูน และพี่เปิ้ล น้อง ๆ รอดูกันว่าจะจำนวนคนกลับมา จะมากกว่าจำนวนคนไปมั้ย แต่สุดท้ายก็เท่าเดิมครับ....ได้ยินว่าลงเครื่องมาแล้วแทบจะหากระเพรา, ตำปูปลาร้า กินกันแทบไม่ทัน อันนี้พอเข้าใจเพราะ รู้สึกว่าพี่ ๆ หลายคนจะผอมลงไป พร้อมกับกระเป๋าที่ดูจะแฟบ ๆ ไปนะครับ

- ผ่านโปรกันไปแล้วสำหรับ Operator trainee ทุกคนที่ยังรอดผ่านสมรภูมิมาได้ โดยสถิติแล้วพวกเราเข้ามา 26 แต่จำหน่ายไป 2 ด้วยเหตุผลส่วนตัวจริง ตอนนี้ 24 คน พร้อมแล้วกับภารกิจอันใหญ่ยิ่ง เปี่ยมด้วยพลังอันยิ่งใหญ่ ตอนนี้หลาย ๆ คนซุ่มอ่านหนังสือทบทวนเนื่องจากโดนพี่นิคจับขึ้นเขียงกันทุกสัปดาห์ สำหรับคนที่ว่าง ๆ อยู่ในตู้ ก็เตรียมตัวสอบกันด้วยนะครับ...

ฝากทิ้งท้ายกันถึงมหกรรมไอเฮียร์ปาร์ตี้ครั้งที่ 2 นะ คราวนี้งานเค้าใหญ่ มีทั้งกีฬากระชับมิตร ระหว่างทีมรวมดาราหลากสีจากเปอร์ออกซี่ไทย ของรางวัลใหญ่ ๆ ทั้งนั้น พร้อมการแสดงจากศิลปินและพิธีกรชื่อดังจำนวนมา (เปิด volume แล้วพูดชื่อดัง ๆ กันหน่อยนะ.....) พบกันวันที่ 27 พ.ย. นี้แน่นอน
อ่านบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

จงเป็น อูฐ ปลา หมา ควาย !!!

เฮ้ย !!อะไรมาสั่งให้ผมเป็น อูฐ ปลา หมา ควาย แบบนี้มันยังไงกันนะ แบบนี้ต้องอ่านต่อ

วันนี้กลับมาถึงห้องนั่งท่องอินเตอเนตไปสักพักไปเจออันนี้ชอบ อ่านแล้วไม่ซีเรียสดีเลยเอามาแบ่งปันกัน

ชีวิตการทำงาน ก็คงเปรียบเหมือนคลื่นของทะเล มีราบเรียบ และมีคลื่นโหมกระหน่ำ แต่เราจะทำตัวอย่างไรให้รู้สึกดี มีความสุขในการทำงาน ไม่บั่นทอนจิตใจให้ทำงานอย่างไม่มีความสุข อย่างเช่น การทำงานสายอาชีพของการบริการ อย่างงาน customerimages Service ที่ต้องทำงานเกี่ยวกับการดูแลลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นทางโทรศัพท์หรือเผชิญหน้ากัน ต้องบอกเลยว่าคนที่จะทำงานทางสายนี้ ต้องพบปะพูดคุย หรือชนกับลูกค้าแทนบริษัท มีบ้างต้องพบเจอกับคำกร่น บ่น ต่อว่า ซึ่งนี่ล่ะ คือสิ่งที่ทำให้การทำงานนั้นลดทอนความสุขลงไป

วันนี้เลยขอนำเสนอการดำเนินชีวิต โดยนำศิลปะการคลองตัวแบบสัตว์สี่ประเภท มาบอกกัน นั่นก็คือ “อดทนเหมือนอูฐ ไม่พูดเหมือนปลา ซื่อสัตย์เหมือนหมา โง่เหมือนควาย” หากนำลักษณะเด่นแต่ละอย่างของสัตว์ทั้ง 4 ประเภท มาใช้ในชีวิตการทำงานแล้ว จะทำให้ดีขึ้นได้อย่างไร?
•จงเป็นอูฐ หมายถึง ในการทำงานบริการลูกค้านั้น บอกตามตรงเลยว่า คุณต้องอาศัยความอดทน อดกลั้น ทนฟังลูกค้าต่อว่า บ่น หรือถึงขั้นด่าว่าก็มีมาก ฉะนั้น คุณอาจต้องนับ 1-10,000 ในใจ เพื่อเก็บอารมณ์ ห้ามโต้ตอบ หรืออย่าไหลไปกับอารมณ์ของลูกค้า เรียกว่า เค้าว่าอะไรมายิ้มรับ และทำได้เพียงรับฟังแต่โดยดีเท่านั้น

•จงเป็นปลา หมายถึง บางครั้งการนิ่งเงียบ ไม่เอ่ยปากพูดอะไร ก็จะเป็นการดี เช่น ถ้าเราเจอกับลูกค้าที่ไม่มีเหตุผล และไม่เปิดใจรับฟังข้อมูลชี้แจงใด ๆ การปล่อยให้เค้าได้ระบายอารมณ์ พูดในสิ่งที่อัดอั้นตันใจของเค้านั้น ก็ดีไปอีกแบบหนึ่ง คนบางคน เวลาที่ไม่พอใจหรือมีอะไรไม่ได้ดั่งใจขึ้นมา ก็เพียงต้องการให้ได้ระบาย ฉะนั้น ถ้าเราทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดี ก็ไม่เห็นเสียหาย ดีกว่าจะไปต่อปากต่อคำให้เรื่องยิ่งบานปลาย สำนวนไทยที่ว่า พูดไปสองไพเบี้ย ยังใช้ได้สำหรับอาชีพนี้

•จงเป็นหมา หมายถึง เราต้องทำงานอย่างซื่อสัตย์สุจริตต่อลูกค้าและต่อบริษัท เพราะถ้าคุณรักจะทำงานตรงสายของการบริการลูกค้าแล้ว คุณก็ต้องไม่ลืมว่า คุณจะต้องพร้อมเสมอ ที่จะต้อง Service สิ่งดี ๆ ให้กับลูกค้า อย่าลืมว่า ถ้าไม่มีรายได้จากลูกค้าเข้ามายังบริษัท คุณก็ไม่มีเงินเดือนใช้เช่นกัน ลูกค้าก็นายจ้างของคุณ ถ้าคิดดังนี้ การนำเสนอสิ่งดี ๆ ให้กับนายย่อมถูกต้องเสมอ ต้องแสดงถึงความจริงใจในการบริการและความซื่อสัตย์ในการทำงานให้ลูกค้าเห็นว่าเรามี

•จงเป็นควาย หมายถึง อย่าเพิ่งงงว่า เอ๊....ควายทำไมมาเกี่ยวกะเรื่องของการทำงาน คนเรามักจะมองว่า ควายนั้นเป็นสัตว์ที่โง่ แต่บางครั้งการทำงาน เราเองก็ต้องทำเป็นโง่บ้างเพื่อให้ลูกค้าของเราดูฉลาดมากขึ้น ถ้าคุณเจอลูกค้าที่ชอบแสดงออก อวดรู้ว่าเค้านั้น รู้โน่น รู้นี่ ขี้โม้ ชอบโอ้อวด ให้จำไว้เถิดว่า คนพวกนี้ เค้ามักจะชอบแสดงภูมิปัญญาของตนเองให้คนอื่นได้รู้ จะเป็นไรไปเล่า ถ้าสิ่งที่เค้าพูดออกมานั้น คุณก็รู้ไม่ได้น้อยหรือมากกว่าเค้าด้วยซ้ำ แต่การแกล้งโง่ บางครั้งก็สามารถทำให้คนอื่นรู้สึกดีได้นี่ และถ้าคน ๆ นั้น คือลูกค้า การแกล้งโง่ของคุณก็สามารถทำให้คนบางคนรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองได้มาก จนกระทั่งส่งผลดีกับการทำงานบริการของคุณก็เป็นได้
อ่านบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

วัฒนธรรมองค์กรกับแรงจูงใจกลุ่ม

คราวนี้กลับมาพร้อมกลับแนวคิดเกี่ยวกับแรงจูงใจที่อยากจะแบ่งปันพวกเรา เคยสงสัยไหมว่าการที่เราจะทำอะไรบางอย่าง ทำไมบางทีก็อยากจะทำ บางทีก็ไม่อยากทำ ทำไมความรู้สึกมันต่างกันนัก จริงๆแล้วทางทฤษฎีของทางตะวันตกก็พยายามจะอธิบายเรื่องนี้โดยอธิบายในรูปแบบของแรงจูงใจในการทำงาน โดยเฉพาะกับพนักงาน ฟังดูดีใช่มั้ย แต่มันยากนะก็คนมาจากที่ต่างๆกันใครจะไปรู้หล่ะว่าคนไหนเหมาะกับแรงจูงใจอย่างไหน ฝรั่งเขาก็มีทฤษฎีมากมายมาจัดกลุ่มคนในรูปแบบต่างๆ เช่น ในเชิงมานุษยนิยมก็ต้องทฤษฎีของมาสโลว์ ที่ได้อธิบายถึงลำดับความต้องการของมนุษย์โดยที่ความต้องการจะเป็น ตัวกระตุ้น ให้มนุษย์แสดงพฤติกรรมเพื่อไปสู่ความต้องการนั้น ดังนี้ถ้าเข้าใจความต้องการของมนุษย์ก็สามารถ อธิบายถึงเรื่องแรงจูงใจของมนุษย์ได้เช่นเดียวกัน
แล้วเราจะรู้ความต้องการของมนุษย์ได้อย่างไรหล่ะ จริงๆมันก็มีแบบทดสอบมากมายที่จะให้เราทำและบอกเราว่า เรามีแรงจูงใจรูปแบบไหน บางคนในพวกเราอาจจะได้ทำมาแล้ว สุดท้ายผลลัพธ์ก็ไม่พ้น 5 รูปแบบดังต่อไปนี้

1) แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ (Achievement Motive) หมายถึง แรงจูงใจที่เป็นแรงขับให้บุคคลพยายามที่จะประกอบพฤติกรรมที่จะประสบสัมฤทธิผลตามมาตรฐานความเป็นเลิศ (Standard of Excellence) ที่ตนตั้งไว้ บุคคลที่มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์จะไม่ทำงานเพราะหวังรางวัล แต่ทำเพื่อจะประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว ้ ผู้มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์จะมีลักษณะสำคัญ ดังนี้

- มุ่งหาความสำเร็จ (Hope of Success) และกลัวความล้มเหลว (Fear of Failure)

- มีความทะเยอทะยานสูง

- ตั้งเป้าหมายสูง

- มีความรับผิดชอบในการงานดี

- มีความอดทนในการทำงาน

- รู้ความสามารถที่แท้จริงของตนเอง

- เป็นผู้ที่ทำงานอย่างมีการวางแผน

- เป็นผู้ที่ตั้งระดับความคาดหวังไว้สูง

2 ) แรงจูงใจใฝ่สัมพันธ์ (Affiliative Motive) ผู้ที่มีแรงจูงใจใฝ่สัมพันธ์ มักจะเป็นผู้ที่โอบอ้อมอารี เป็นที่รักของเพื่อน มีลักษณะเห็นใจผู้อื่น ซึ่งเมื่อศึกษาจากสภาพครอบครัวแล้วผู้ที่มีแรงจูงใจใฝ่สัมพันธ์มักจะเป็นครอบครัวที่อบอุ่น บรรยากาศในบ้านปราศจาก การแข่งขัน พ่อแม่ไม่มีลักษณะข่มขู่ พี่น้องมีความรักสามัคคีกันดี ผู้มีแรงจูงใจใฝ่สัมพันธ์จะมีลักษณะสำคัญ ดังนี้

- เมื่อทำสิ่งใดก็จะเป็นไปเพื่อได้รับการยอมรับจากกลุ่ม

- ไม่มีความทะเยอทะยาน มีความเกรงใจสูง ไม่กล้าแสดงออก

- ตั้งเป้าหมายต่ำ

- หลีกเลี่ยงการโต้แย้งมักจะคล้อยตามผู้อื่น

3 ) แรงจูงใจใฝ่อำนาจ (Power Motive) สำหรับผู้ที่มีแรงจูงใจใฝ่อำนาจนั้น พบว่า ผู้ที่มีแรงจูงใจแบบนี้ส่วนมากมักจะพัฒนามาจากความรู้สึกว่า ตนเอง "ขาด" ในบางสิ่งบางอย่างที่ต้องการ อาจจะเป็นเรื่องใดเรื่องหนึ่งก็ได้ทำให้เกิดมีความรู้สึกเป็น "ปมด้อย" เมื่อมีปมด้วยจึงพยายามสร้าง "ปมเด่น" ขึ้นมาเพื่อชดเชยกับสิ่งที่ตนเองขาด ผู้มีแรงจูงใจใฝ่อำนาจจะมีลักษณะสำคัญ ดังนี้ชอบมีอำนาจเหนือผู้อื่น ซึ่งบางครั้งอาจจะออกมาในลักษณะการก้าวร้าว

- มักจะต่อต้านสังคม

- แสวงหาชื่อเสียง

- ชอบเสี่ยง ทั้งในด้านของการทำงาน ร่างกาย และอุปสรรคต่าง ๆ

- ชอบเป็นผู้นำ

4 ) แรงจูงใจใฝ่ก้าวร้าว (Aggression Motive) ผู้ที่มีลักษณะแรงจูงใจแบบนี้มักเป็นผู้ที่ได้รับการเลี้ยงดูแบบเข้มงวดมากเกินไป บางครั้งพ่อแม่อาจจะใช้วิธีการลงโทษที่รุนแรงเกินไป ดังนั้นเด็กจึงหาทางระบายออกกับผู้อื่น หรืออาจจะเนื่องมาจากการเลียนแบบ บุคคลหรือจากสื่อต่าง ๆ ผู้มีแรงจูงใจใฝ่ก้าวร้าว จะมีลักษณะที่สำคัญดังนี้

- ถือความคิดเห็นหรือความสำคัญของตนเป็นใหญ่

- ชอบทำร้ายผู้อื่น ทั้งการทำร้ายด้วยกายหรือวาจา

5 ) แรงจูงใจใฝ่พึ่งพา (Dependency Motive) สาเหตุของการมีแรงจูงใจแบบนี้ก็เพราะการเลี้ยงดูที่พ่อแม่ทะนุถนอมมากเกินไป ไม่เปิดโอกาสให้เด็กได้ช่วยเหลือตนเอง ผู้ที่มีแรงจูงใจใฝ่ พึ่งพา จะมีลักษณะสำคัญ ดังนี้

- ไม่มั่นใจในตนเอง

- ไม่กล้าตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ด้วยตนเอง มักจะลังเล

- ไม่กล้าเสี่ยง

- ต้องการความช่วยเหลือและกำลังใจจากผู้อื่น

หลังจากประเมินจากการอ่านการจำแนกแรงจูงใจข้างบนแล้วบางคนอาจจะมีลักษณะผสมกันก็ไม่ต้องตกใจหรอกเป็นเรื่องปกติเพราะเวลาเราวิเคราะห์ตัวเรามันมองรวมไปทั้งหมดทุกสถานการณ์ ซึ่งพี่คิดว่าบุคลิคลักษณะของเราที่แสดงออกมันก็ขึ้นกับสถานการณ์ด้วยแต่ก็เอาไอ้ที่คิดว่าตรงกับเราเยอะๆนั่นแหล่ะ หรือถ้าเราจะมุ่งในเรื่องงานก็คงต้องคิดในมิติของงานอย่างเดียวก็น่าจะใกล้เคียงพอจะเรียกได้ว่า เป็นแรงจูงใจในการทำงานของเรา เรื่องของเรื่องคือทั้งตัวเราและหัวหน้างานต่างก็ต้องหาแรงจูงใจในการทำงานร่วมกัน ในส่วนหัวหน้างานก็จะยากหน่อยตรงที่ว่า ในส่วนตัวแล้วยังไม่รู้ชัดเจนเลยว่าตัวเองเป็นประเภทไหน แล้วยังต้องไปคาดคะเนว่าลูกน้องแต่ละคนมีแรงจูงใจอย่างไร ถ้ามีลูกน้องสัก 40 คนก็มึนแล้ว พี่ก็เคยคิดเหมือนกันว่าแล้วจะทำอย่างไรถึงจะสร้างบรรยากาศที่สร้างแรงจูงใจในการทำงานทั้งหัวหน้างานและลูกน้องให้เกิดขึ้นในองค์กร ก็เลยเป็นที่มาของ วัฒนธรรมองค์กร ของพวกเรา ซึ่งวิธีการนี้เราไม่ได้มุ่งเน้นวิเคราะห์แรงจูงใจรายบุคคล แต่เราจะนำแรงจูงใจมาแชร์ (share) กัน ฟังแล้วดูแปลก แต่มันก็เกิดขึ้นได้จริง เพราะเมื่อทุกคนได้มีส่วนร่วมในการสร้างแรงจูงใจในการทำงานร่วมกัน หรือ เราเรียกว่า วัฒนธรรมองค์กร (iHears) เราก็ไม่ต้องกังวลมากนักว่าเราเป็นคนที่มีแรงจูงใจประเภทไหนเพราะแรงจูงใจในการทำงานของพวกเราได้ถูกบรรจุไว้ในนั้นแล้ว แค่นี้เราก็มีความรู้สึกที่ดีในเวลาทำงานและทำงานอย่างมีความสุข

พวกเราลองวิเคราะห์ดูซิว่าเรามีแรงจูงใจประเภทไหนในการทำงาน และด้วยวัฒนธรรมองค์กร (iHears) ของพวกเราได้ตอบสนองแรงจูงใจส่วนบุคคลมากน้อยแค่ไหน
อ่านบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2553

โทรกลับจากเบลเยี่ยม 2 !!


เป็นไงกันบ้างทุกคนหลังจากชุดแรกเพิ่งกลับไป(นั่งรถไฟสวนกัน) อย่าลืมตักตวงความรู้จากพี่ๆเค้าให้มากๆนะครับ แล้วทางนี้จะอัพเดทความคืบหน้าให้เรื่อยๆครับผม พวกพี่ๆฝากบอกว่าอยู่ที่นี่สบายดีกลับไปจะจัดให้มีการเลี้ยงต้อนรับอีกสักงาน ^^






รูปสวยๆเอามาฝากแล้ว อย่าลืมเข้ามาคอมเมนท์กันด้วยนะจ๊ะ

อ่านบทความทั้งหมด

วันศุกร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2553

Spice up your English with Laura... # 5 – "Sank you"

โดย ฝ่ายบุคคล

สัปดาห์นี้หันไปทางไหนเจอแต่คนหน้าเหี๊ยว เหี่ยวอยู่เต็มออฟฟิศไปหมด เดินเข้าห้องน้ำส่องกระจกก็เจออีกคน ว้าย ... ต๊กกะใจโม้ด นี่มันอิฉันเอง ?!!? แต่ไม่ว่าคุณ ๆ จะเหี่ยวห่อ หรือห่อเหี่ยวเพียงใด ขอให้ทิ้งความเหี่ยวนั้นและมาผ่อนคลายความตึงเครียดด้วยการฝึกออกเสียงภาษาอังกฤษร่วมกันเถอะ โดยในวันนี้ขอนำเสนออะไรที่ Simple simple ก่อน แต่อย่าประมาทนะคะผิดกันมานักต่อนักแล้ว และขอให้ชื่อ Spice up your English with Laura ... ในตอนนี้ว่า "Sank you"
สิ่งแรกที่จะต้องทำคือ แลบลิ้นออกมานะคะ กรุณา take it serious นะคะ อิฉันพูดจริง ๆ กรุณาทำตาม แลบลิ้นออกมาค่ะ จากนั้นเมื่อลิ้นโผล่ออกมาแล้วให้กัดลิ้นของตัวเองเบา ๆ นะคะ (อย่าให้ถึงกับขาด) จากนั้นพ่นลมออกจากปาก นั่นแหละค่ะเป็นการออกเสียง TH ในภาษาอังกฤษที่ถูกต้อง

เป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องออกเสียงภาษาอังกฤษให้ถูกต้องหรือไม่ใช่ก็ใกล้เคียงที่สุด เพราะอย่างน้อยเราต้องไม่ทำให้เค้าเข้าใจผิดในสิ่งที่เรากำลังกล่าวถึง มีคำในภาษาอังกฤษหลายคำที่หากไม่ออกเสียงให้ชัดก็จะกลายเป็นคำอื่นไปนะคะ เช่น Three (หมายเลข 3) กับ Tree (ต้นไม้) เวลาออกเสียงคำว่า Three สิ่งแรกที่จะต้องทำคือแลบลิ้นออกมา ลองพูดดูนะคะ Three trees ลองพูดให้คนข้าง ๆ ฟังดูว่ามันเหมือน หรือแตกต่างกันอย่างไร

ลองฝึกออกเสียงคำคู่ TH กับ T ดังต่อไปนี้นะคะ อย่ามัวแต่อ่านตามแบบที่เราเรียนในห้องเรียนตอน ป.3 นะคะ กรุณาอ่านโดยแลบลิ้นออกมา กัดลิ้นเบา ๆ แล้วปล่อยเสียงออกมาด้วยค่ะ

Than (กว่า) Tan (สีเทา)

Thanks (ขอบคุณ) Tanks (ถังหลาย ๆ ใบ)

Theme (ใจความ) Team (ทีม)

Theory (ทฤษฎี) Teary (รู้สึกจะร้องไห้)

Then (ดังนั้น) Ten (หมายเลขสิบ)

There (ที่นั่น) Tear (ฉีก)

They'll (เขาทั้งหลายจะ) Tail (หาง)

Thin (ผอม) Tin (ดีบุก)

Though (แม้ว่า) Toe (นิ้วเท้า)

Thought (ได้คิดแล้ว) Taught (สอนแล้ว)

Thread (เส้น) Tread (ย่ำ)

Thrust (ผลัก) Trust (ไว้ใจ)

บางคนออกเสียง S แทน TH นะคะ เช่น Thank you จะกลายเป็น "Sank you" - "แซง ยู" ฟังแล้วรับไม่ได้ค่ะ นอกจากนี้ไม่มีคำที่สะกดด้วย TH คำใดที่ออกเสียงเป็น T ยกเว้นชื่อสถานที่เช่น Thailand ค่ะ

สรุปว่า ถ้าต้องอ่านคำที่สะกดด้วย TH ให้นึกถึงลิ้นก็แล้วกันนะคะ หวังว่าจะคลายความซีเครียดของคุณ ๆ ไปได้ไม่มากก็น้อย พบกันใหม่สัปดาห์หน้า หวังว่าหน้าจะตึงขึ้นแล้วนะคะ สวัสดีค่ะ
อ่านบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2553

โทรศัพท์จากไทยไปเบลเยี่ยม !!


มีความคิดเห็นจากเพื่อนๆบางคนว่า อยากมีช่องทางสื่อสารจากประเทศไทยไปถึงพี่ๆที่เบลเยี่ยมบ้าง เมื่อได้ฟังดังนั้นก็ไม่มีความจำเป็นต้องรีรอ จึงเปิดห้องนั่งเล่นในหัวข้อโทรศัพท์จากไทยไปเบลเยี่ยม ให้เป็นช่องทางในการสอบถามถึงความเป็นอยู่และความคืบหน้า รวมถึงไต่ถามถึงของฝากจากพี่ๆกันได้เลยจากในห้องนี้

เมื่อโทรศัพท์เปิดแล้วเพื่อนๆคนไหนที่อยากโทรไปก็รีบๆโทร ใครโทรก่อนจองของฝากได้ก่อนนะครับ


ฝากถึงพี่ๆที่เบลเยี่ยมด้วยว่างๆฝากข้อความถึงน้องๆมาทางห้องนี้ได้เหมือนกันนะครับ
อ่านบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2553

Spice up your English with Laura... # 4 – Happy Halloween: "Trick’O’Treat?"

โดยฝ่ายบุคคล

พูดถึงเทศกาล Halloween คงไม่มีใครไม่รู้จัก แต่ทราบไหมคะว่า วันฮัลโลวีน มีที่มาอย่างไร วันนี้ Spice up your English with Laura ... จึงขอเสนอตอนที่ชื่อว่า Happy Halloween: "Trick'O'Treat?"
คำว่า "Halloween" นั้นเพี้ยนมาจาก "All Hallows Eve" คือ คืนก่อนวัน "All Saint's Day" (1 พฤศจิกายน) ซึ่งเป็นวันที่เหล่าคาทอลิกจะมาปฏิบัติศาสนกิจเพื่อระลึกถึงนักบุญต่างๆ ตามบ้านเรือนจะตกแต่งด้วยโคมไฟฟักทองและตุ๊กตาหุ่นฟาง โดยแต่ละบ้านจะเตรียมขนมหวานหรือ ขนมเค้กสำหรับวิญญาณ (Soul cake) ไว้รอให้เด็กๆ ที่แต่งตัวแฟนซีเป็นภูตผีมาเคาะตามประตูบ้าน พร้อมกับถามว่า "Trick or treat?" ก้อคือ การถามว่า จะให้ขนมมาดี ๆ หรือจะโดนหลอกฮึ! เจ้าของบ้านมีสิทธิ์ที่จะตอบ treat ด้วยการยอมแพ้และมอบขนมหวานให้ภูตผี(เด็ก)เหล่านั้น ราวกับว่าช่างน่ากลัวเหลือเกิน หรือเลือกตอบ trick เพื่อท้าทายให้ภูตผีเหล่านั้นหลอกอาละวาด เค้ามีความเชื่อว่า ยิ่งให้ขนมมากเท่าไร วิญญาณของญาติผู้บริจาค ก็ได้รับผลบุญ ทำให้มีโอกาสขึ้นสวรรค์ได้มากเท่านั้น เอาหล่ะ เมื่อเราทราบที่มาของวัน Halloween แล้วก็มาเรียนรู้คำที่เกี่ยวข้องกันดีกว่าค่ะ

Trick เป็นได้ทั้งคำนาม (n.) และคำกิริยา (v.) แปลว่า เคล็ดลับ, ลูกเล่น, เล่ห์กล, วิธีพลิกแพลง, แกล้ง, หลอก ตัวอย่างเช่น

·  Lala seems to have the trick of making others laugh. (ลาล่าดูเหมือนจะมีเคล็ดลับในการทำให้คนอื่นหัวเราะ)
·  Lulu likes to play tricks on her friends. (ลูลู่ชอบแกล้งเพื่อนของเธอ)

· I realized then that I had been tricked, but it was too late. (เมื่อฉันรู้ตัวว่าโดนหลอกก็สายเสียแล้ว T_T)

· You tricked me!! (เธอหลอก/แกล้งฉันนี่!!) จะแปลว่าอะไรต้องดูบริบทนะคะ

คำต่อมา คำว่า Treat ก็เป็นได้ทั้งคำนาม (n.) และคำกิริยา (v.) แปลว่า การปฏิบัติต่อ, การรักษา, ให้ความเพลิดเพลิน, เลี้ยงดู ตัวอย่างเช่น

· Koy always treats everybody with respect. (ก้อยปฏิบัติต่อทุกคนด้วยความเคารพเสมอ)

· Let’s go out to lunch. My treat. (ไปทานอาหารเที่ยงกันเถอะ ฉันเลี้ยงเอง)

· Let me treat you to dinner. (ให้ฉันเลี้ยงอาหารเย็นเธอนะ)

· Doctors are treating him for cancer. (หมอกำลังรักษาโรคมะเร็งให้เขา)
อีกประโยคหนึ่งที่ช่วยอธิบาย คำว่า "Trick or Treat" หรือ "Trick'O'Treat" ของคุณฝรั่งเค้าได้อย่างชัดเจนเลยก็คือ
·  "Trick or treat, smell my feet; give me something good to eat" (ถ้าเลือก Trick ก็ดมเท้าฉันสิ แต่ถ้าไม่อยาก ก็ Treat หาอะไรอร่อยๆ ให้ฉันทานซะดีๆ)

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก Wikipedia วันนี้ Laura ไปก่อนค่ะ ว่าแต่ว่า พรุ่งนี้ Trick'O'Treat ดีคะ??? ^__^ พบกันศุกร์หน้าค่า Bye











อ่านบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2553

อัพเดทอย่างต่อเนื่องกับ iHears โฉมใหม่ SHOUT BOX!!

หลังจากมีการอัพเดทรูปโฉมใหม่ของบล๊อก พร้อมทั้งเปิดห้องแชทตามคำเรียกร้องของเพื่อนๆทีมงาน แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่เห็นว่ามันยังไม่โดนใจเท่าไหร่คือห้องแชทนั้นต้องรอให้เพื่อนๆเข้ามาเล่นพร้อมๆกันถึงจะสามารถพูดคุยกันได้ แต่ถ้าเราเข้ามาคนเดียว แล้วอยากแชร์อะไรให้เพื่อนๆหล่ะเราจะทำอย่างไร ??




นี่เองเป็นปัญหาให้ขบคิดอยู่สักพักหนึ่ง แล้วจึงได้มาเป็น Shout box นั่นเอง!!!

แล้ว Shout box มันคืออะไรหล่ะ หลายคนอาจถาม...... Shout box ก็มีความคล้ายคลึงกับ Chat แต่ต่างกันตรงที่ Shout box นั้นไม่ต้องรอให้เพื่อนเข้ามาเล่นกับเรา เราสามารถ Shout(ตะโกน) ทิ้งไว้ ให้เพื่อนเข้ามาอ่านได้หลังจากนั้น ซึ่งสามารถโต้ตอบกันได้คล้ายแชท ฟังแล้วน่าลองขึ้นมากันบ้างมั้ยครับ เราลองไปศึกษาวิธีใช้ Shout box กันเลย



ขั้นแรกนี่ก็เป็นหน้าตาของ Shout box ของblog เรา ซึ่งค่อนข้างพื้นๆ (แต่ได้ผล)




โดยที่เราสามารถใส่ชื่อของเราที่ช่อง Name (ลูกศรสีแดง) แล้วใส่ข้อความที่เราอยากจะตะโกนให้เพื่อนฟังที่ช่อง Message (ลูกศรสีน้ำเงิน) เมื่อเสร็จแล้วกด Shout!(ไฮไลท์สีเหลือง)
ยังมีลูกเล่นอีกเล็กน้อยเพิ่มสีสันให้กับ Shout box ของเราลองกดปุ่ม + ข้างๆ Shout ดูสิครับ...



เชิญเข้าไปตะโกนให้สุดเสียงทางด้านล่างสุดของ iHears ในทุกเพจกันได้เลย

ขอให้สนุกกับลูกเล่นใหม่ๆที่เพิ่มเข้ามาไม่ซ้ำกันของ iHears ของเรา อย่าลืมตะโกนกันล่ะ!!




อ่านบทความทั้งหมด

วันศุกร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2553

iHears ปรับโฉมครั้งยิ่งใหญ่ ! ! !

กลับมาอีกครั้งกับห้องนั่งเล่นเจ้าเก่าที่ห่างหายไปสองสามสัปดาห์ กลับมาครั้งนี้ไม่มีคำว่าผิดหวังเพราะกลับมาพร้อมกลับโฉมใหม่ของบ้านเรา ซึ่งได้ทำการปรับเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งหมด โดยได้รับการออกแบบและคัดสรรจากทีมงาน เพื่อความแปลกใหม่และทันสมัยกับการเปลี่ยนแปลงๆต่างๆที่จะเกิดขึ้นต่อไป

จากการที่ได้รับฟังข้อคิดเห็นของหลายคนพบว่า blog ของเรานั้นยังเป็นแบบ one-way คือ มีการโพสเรื่องใหม่ๆไปถึงจะมีคอมเมนท์กลับมา จึงมีการเสนอให้มีการสร้างอะไรที่มีการตอบโต้กันให้มากขึ้นกว่าเดิม ด้วยเหตุนี้เอง ทางทีมงานจึงได้คิดนำห้องแชทเพื่อเพิ่มการโต้ตอบซึ่งกันและกันระหว่างทีมงานได้อย่างเต็มที่

ซึ่งขั้นตอนในการเข้าห้องแชทก็ง่ายแสนง่ายตามนี้เลย
ภาพด้านบนเป็นหน้าตาแรกหลังจากเข้ามาที่หน้า blog ของเรา เพียงแค่คลิ๊ก OK เบาๆ ก็จะสามารถไปขั้นตอนต่อไปได้
ภาพด้านบนเป็นหน้าหลังจากที่เรากด OK ไปแล้วซึ่งทางด้านขวาจะเป็นรายชื่อของคนที่ออนไลน์อยู่ในหน้าเวปขณะนั้น ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีใครกำลังออนอยู่บ้าง และเราสามารถพิมโต้ตอบกับทุกคนได้ทันทีโดยไม่จำเป็นต้องกดไปที่ชื่อของคนใดคนหนึ่ง ซึ่งสิ่งที่พิมไปนั้นจะสามารถเห็นกันได้ทุกคน แต่... แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าใครเป็นใคร?
เราต้องทำการแสดงตัวโดยการพิมคำสั่ง /nick ชื่อที่ต้องการ(ภาษาอังกฤษเท่านั้น) เช่น ต้องการใช้ชื่อว่า SEXY ก็พิมว่า /nick SEXY ชื่อของเราทางด้านขวามือก็จะปรากฎเป็นชื่อ SEXY ในทันที

ง่ายมั้ยล่ะครับกับการเล่นห้องแชทของเล่นใหม่ของบล๊อก iHears ของเรา ใครมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับห้องแชท อยากให้มีอะไรเปลี่ยนแปลงแก้ไขเพิ่มเติม สามารถคอมเมนท์ได้ใยหัวข้อนี้ ทางทีมงานจะนำไปปรับปรุงแก้ไขพัฒนาให้ดีขึ้นต่อๆไป

ถ้าพร้อมแล้วพบกับห้องแชทแบบ temporary ในโพสนี้กันได้เลย

video chat provided by Tinychat
อ่านบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2553

Spice up your English with Laura... # 3 - The movie was a lot of fun

โดย ฝ่ายบุคคล

ตอนนี้ Talk of the town คงไม่มีเรื่องอะไรฮอตเกินไปกว่าหนังเรื่อง “รถไฟฟ้ามาหานะเธอ” ที่พี่เคน ธีรเดช เล่น เพื่อไม่ให้ตกเทรนด์ Laura กับแก๊งเพื่อนสาว (โสด) จึงชวนไปดูหนังกันมาแล้ว อู้ยย.. หล่อ เอ๊ย! สนุกครบรส โดนใจสุดๆ ถ้ามีโอกาสอย่าลืมไปดูให้ได้นะคะ ไม่ได้ค่าโฆษณาแต่ทำไปด้วยใจรักจริงจิ๊ง !!! วันนี้เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ Spice up your English with Laura ... จึงขอเสนอตอนที่ชื่อว่า The movie was a lot of fun. เพื่อให้เราได้เข้าใจและใช้คำว่า fun หรือ funny กันได้อย่างถูกต้อง
คำว่า "สนุก" แปลเป็นภาษาอังกฤษว่าอะไรกันแน่คะระหว่าง fun หรือ funny? คุณแอนดรูว์ บิ๊กส์ตั้งข้อสังเกตว่า คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าสองคำนี้แปลเหมือนกันเด๊ะจึงใช้เหมือนกันเป๊ะ จริง ๆ แล้ว 2 คำนี้มีความใกล้เคียงกันมากแต่คำว่า fun ให้ความหมายตรงกับคำว่าสนุก น่าทำ ไม่เครียดมากกว่า funny ค่ะ ดังตัวอย่างต่อไปนี้

· Did you enjoy that movie? I thought it was fun. (คุณชอบหนังเรื่องนั้นไหม ผมคิดว่ามันสนุกดีนะ)

· It's fun working with Pear. She makes the work so interesting. (ทำงานกับแพรสนุกดี เขาทำให้งานน่าสนใจ)

· You're a fun guy. (คุณนี่เป็นคนสนุกจัง)

ทีนี้ลองเอาคำว่า fun ออก และใส่คำว่า funny แทน โปรดสังเกตความหมายในภาษาไทยนะคะ

· Did you enjoy that movie? I thought it was funny. (คุณชอบหนังเรื่องนั้นไหม ผมคิดว่ามันตลกดีนะ)

· It's funny working with Pear. She makes me laugh all the time. (ทำงานกับแพรตลกดี เขาทำให้ฉันหัวเราะตลอดเวลา)

· You're a funny guy. (คุณนี่เป็นคนตลกจัง)

สังเกตได้ว่า funny แปลว่าตลกมากกว่าสนุก นั่นเป็นเพราะอะไรที่ funny จะทำให้คุณมีปฏิกิริยายิ้มและหัวเราะ แต่ fun เป็นอะไรที่สนุกและไม่น่าเบื่อเท่านั้น ตัวอย่างอื่นที่อาจช่วยให้เข้าใจง่ายขึ้นเช่น The show was fun. (งานแสดงนั้นสนุกจัง) และ The show was funny. (งานแสดงนั้นตลกจัง) ถ้าเราสนุกมากให้ใช้ a lot of fun หรือ much fun ...... อย่าพูดว่า very fun นะคะ เช่น The show was a lot of fun. หรือ The show was much fun. แต่ใช้ very กับ funny เช่น The show was very funny.

นอกจาก funny จะแปลว่า ตลก แล้วยังมีอีกความหมายหนึ่งว่า แปลก ผิดปกติ หรือพิลึก ด้วยเช่น

· There's something funny going on here. (มีอะไรแปลก ๆ เกิดขึ้นแถวนี้)

· That's funny. Porn said she was going to Siam Paragon but I just saw her at Platinum! (แปลกเนอะ พรบอกว่าจะไปเที่ยวสยาม พารากอน แต่เมื่อกี้เจอเค้าที่แพลทินัม!?!)

· You look funny in that tie. Take it off. (คุณใส่เนกไทดูตลกจัง ถอดออกดีกว่า)

ข้อควรระวังอย่างมากในการใช้ fun และ funny คือ ถ้าคุณอยากจะถามว่า "คุณกำลังสนุกสนานไหม" คนส่วนใหญ่มักถามว่า "Are you funny?" ซึ่งแปลว่า "คุณเป็นคนพิลึก ๆ ไหม" ที่ถูกควรใช้คำว่า Are you having fun? ค่ะ ท้ายนี้ถ้าต้องการอวยพรให้ใครสนุกกับเรื่องอะไร ให้ใช้คำว่า Have fun with ....

และถือโอกาสใช้ตัวอย่างของคำนี้เป็นการส่งท้าย Spice up your English with Laura ... สำหรับวันพฤหัสบดีนี้ ..... Have fun with the weekend! ขอให้สนุกกับวันหยุดสุดสัปดาห์นี้ พบกันศุกร์หน้า Bye for now!!
อ่านบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2553

วันอนุรักษ์ชายฝั่งสากล ปี 53

ผ่านไปด้วยดีครับ สำหรับงานวันอนุรักษ์ชายฝั่งสากล คุณบ็อบ เมย์ ผจก.โรงงาน ได้ฝากขอบคุณพวกเราทุกคนที่เข้าร่วมกิจกรรมเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาด้วย ส่วนพี่ ๆ เองอยากขอบคุณถึงความมีส่วนร่วมของพวกเราในการแสดงออกถึงความรับผิดชอบต่อสังคมซึ่งเป็นส่วนสำคัญในวัฒนธรรมการทำงาน iHears

ในฐานะที่ได้เข้าร่วมทำความสะอาดชายหาดเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา....พี่อยากขอบคุณทีมงานโอเปอเรชันดังรายชื่อ.....
พี่ใหญ่, พี่แตน, พี่มิตร, พี่เจี๊ยบ, พี่นนท์, พี่อาท, พี่โก๋, พี่โจ้, พี่อ๋อง, พี่ยา ที่เป็นหน้าหล่อ ๆ ของทีมงานไปร่วมพิธีเปิด และยังตามมาเป็นกองหนุนในช่วงสาย

พี่โอ๊ต พี่ตั้ม พี่อิฐ พี่ฝ้าย พี่จุก พี่ที พี่แบงค์เล็กและใหญ่ พี่เร พี่ดิว พี่สิทธิ์ พี่ต้าร์ พี่ภพ พี่กอล์ฟ เป็นพลังหนุ่มที่ไปเป็นแกนนำสำคัญในการทำความสะอาดชายหาดตั้งแต่ช่วงเช้า

หวังว่าจะได้รับพลังและความร่วมมืออย่างนี้จากทุกคนต่อไปครับ
อ่านบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2553

Spice up your English with Laura... # 2 - Hey you! You! You!



โดย ฝ่ายบุคคล

ขอเสนอตอนที่ชื่อว่า "Hey you! You! You!" ซึ่งนับว่าเป็นคำที่คนไทยมักพูดผิดเป็นอันดับที่ 1 อ้างอิงจากหนังสือของคุณแอนดรูว์ บิ๊กส์นั่นแหล่ะค่ะ

คนไทยมักใช้คำว่า "Hey you! Hey you you! Hey YOU!" เพื่อเรียกความสนใจจากชาวต่างชาติ โดยมักจะเข้าใจกันว่าไอ้คำเนี้ยมันน่าจะคล้าย ๆ กับที่บ้านเราใช้ร้องเรียกคนแปลกหน้าว่า "คุณ! คุณ! คุณครับ คุณนั่นแหละ" อะไรทำนองนั้น แต่ว่าความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ คำว่า Hey you ไม่ใช่คำสุภาพนะคะ ยิ่งไปกว่านั้นมันหยาบคายและอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพของคุณ
สมมติว่าคุณกำลังเดินอยู่ข้างถนนตามลำพัง ทันใดนั้นคุณได้ยินเสียงหนึ่งเหมือนจะเป็นการเรียกความสนใจจากคุณ คน ๆ นั้นเป็นคนแปลกหน้าและเขากำลังตะโกนเรียกคุณว่า "เฮ้อแก ... แกโว้ย,,, มึงนั่นแหละ" ขออภัยที่ต้องใช้คำไม่สุภาพในที่นี้นะคะ เพราะแปลความหมายออกมาเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ค่ะ ฝรั่งส่วนใหญ่ที่อยู่เมืองไทยนานแล้วจะเข้าใจและให้อภัยคนไทยในเรื่องนี้ว่าเราไม่ได้หาเรื่องเค้าอยู่ แต่ถ้าไปเจอฝรั่งขี้หงุดหงิดอาจไม่เข้าใจก็จะโกรธ... แล้วอาจโดดชกหน้าคุณได้

ดังนั้นเราไม่ควรร้องเรียกชาวต่างชาติว่า Hey you! เด็ดขาด ไม่มีกรณีใด ๆ ที่ทำให้มันฟังดูดีได้เลยค่ะ ถ้าอยากจะร้องเรียกให้เขาหันมาหาเรา อาจใช้คำ 2 คำดังต่อไปนี้

· Excuse me? หรือ Pardon me? แปลว่า ขอโทษค่ะ ขอโทษครับ ถามในรูปคำถามโดยอย่าลืมขึ้นเสียงสูงตอนท้าย (เอ๊กซ-ควิส-มี้) คำนี้จะใช้ได้ผลสุดสุด

· Sir? Madam? แปลว่า คุณผู้ชายคะ คุณผู้หญิงคะ คำนี้สุภาพม้ากมาก อาจมากไปนิดสำหรับชีวิตประจำวัน

สรุปว่า เราควรหันมาใช้ Excuse me? หรือ Pardon me! แทน Hey you! จะสุภาพและปลอดภัยกว่ากันเยอะเลยค่ะ

ก่อนจบ มีคำถามถามมาว่า How about กับ What about มีวิธีการใช้ต่างกันอย่างไร How about นั้นใช้ในการชักชวน หรือใช้เป็นคำถามรองเพื่อถามกลับ (รายละเอียดอ่านได้ในฉบับแรก) ส่วน What about นั้นใช้ในการถามว่าอะไรบางสิ่งบางอย่างเป็นอย่างไร หรือเพื่อชี้ประเด็นหรือเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ดังตัวอย่างบทสนทนา

ก้อย: How about going to the cinema? (เราไปดูหนังกัน ดีไหม)
เตย: What about your exam tomorrow? (แล้วเรื่องการเตรียมสอบของเธอวันพรุ่งนี้ล่ะ)
ก้อย: Oh, I'll study after the movie. (อ๋อ ฉันจะทบทวนหลังจากดูหนังเสร็จเอง)
อ่านบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2553

Spice up your English with Laura... # 1 - How about Pattaya ???


โดย ฝ่ายบุคคล

ยินดีต้อนรับสู่ Spice up your English with Laura ... ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในความพยายามที่จะสร้างโอกาสในการพัฒนาทักษะทางภาษาอังกฤษให้กับเพื่อน ๆ ชาว Solvay ด้วยการส่งสาระความรู้สั้น ๆ เกี่ยวกับภาษาอังกฤษที่คนไทยมักพูดผิดใช้ผิดมาให้เพื่อนๆได้เรียนรู้และทำความเข้าใจกันทุก ๆ วันศุกร์ สาระที่จะนำมาเสนอเหล่านี้ มีพื้นฐานความรู้มาจากหนังสือ "Oops! ผิดอีกแล้ว" ของคุณแอนดรูว์ บิ๊กส์ ซึ่งได้รวบรวมมาจากประสบการณ์ส่วนตัวหลังจากใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทยกว่า 20 ปี
ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจว่าการพัฒนาความสามารถทางภาษานั้นเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา ความพยายามในการฝึกฝนทุกวัน แต่ถ้าเราหมั่นเรียนรู้วันละนิด ซักกะติ๊ด Little bit and little more แล้วหล่ะก้อ รับรองว่าภาษาอังกฤษของเราก็จะดีขึ้น ๆ ตามลำดับ เอาหล่ะค่ะเรามาเริ่มกันเลยจากคำง่าย ๆ ที่ใช้กันบ่อย ๆ ได้ยินกันทุกวัน โดยวันนี้ขอเสนอในตอนที่ชื่อว่า "How about Pattaya?"

สาเหตุหลักที่ทำให้คนไทยพูดภาษาอังกฤษผิด ก็คือคนไทยชอบแปลตรงตัวจากไทยเป็นอังกฤษ คนไทยชอบถาม How about เพื่อถามถึงหลายอย่าง เช่น How about work? How about holiday? How about your weekend? How about your fried rice? คำถามเหล่านี้มักจะเป็นการถามว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งเป็นการแปลตรงตัวจากภาษาไทยที่ว่า อะไรบางอย่างเป็นอย่างไรบ้าง

คนไทยใช้คำว่า อย่างไร มากกว่าฝรั่งใช้คำว่า how ฝรั่งจะไม่ใช้คำถาม how about ในลักษณะที่เป็นคำถามแรก หากตั้งใจจะถามขอให้ถามโดยใช้คำถามต่อไปนี้

1. อยากถามว่า สถานที่ สถานการณ์ เหตุการณ์ อาหารหรือบุคคล เป็นอย่างไร ให้ใช้ How ควบกับ verb to be คือ How is/are/ was/were/ will be เช่น How are you? (คุณสบายดีไหม) How is work? (งานเป็นไงบ้าง) How was your holiday? (เสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง) How's John? (ไอ้จ้อนสบายดีบ่)

2. ถ้าอยากถามถึงลักษณะนิสัยของใครหรือสิ่งใด ให้ใช้ What is (สิ่งนั้น) like? ไม่ใช่เป็นการถามถึงเหตุการณ์เฉพาะนะคะแต่เป็นการถามถึงภาพรวมของสิ่งนั้น ซึ่งจะให้ความหมาย และเข้าใจง่ายกว่า How about เช่น What’s Somchai like? (สมชายเป็นคนแบบไหนนะ) What's Pattaya like? (พัทยาเป็นอย่างไร ... สำหรับคนที่ไม่เคยไป แล้วอยากรู้ข้อมูลก่อน)

3. ไม่ได้หมายความว่าฝรั่งไม่ใช้ How about นะคะ แต่เขาใช้ในการชักชวนมากกว่า เช่น How about going to the movies tonight? (คืนนี้เราไปดูหนังกันดีไหม) How about dinner? (เรากินข้าวมื้อเย็นกันดีไหม) How about asking her out? (เอาเป็นว่าคุณชวนเธอออกไปเที่ยวดีไหม)

4. อย่างที่บอกตั้งแต่แรกว่า เขาไม่ใช้ how about เป็นคำถามแรก แต่เป็นคำถามรองได้นะคะ ส่วนใหญ่ใช้ถามกลับหลังจากที่มีใครมาถามเราก่อน ดังตัวอย่างบทสนทนาต่อไปนี้

ติ๊ก: How's your Somtam and Lab? (ส้มตำกับลาบที่เธอกำลังกินอยู่เป็นอย่างไรบ้าง)

เตย: Great! How about yours? (อร่อยมากค่ะ แล้วของเธอหล่ะ)

ติ๊ก: Not bad. And how's your job? (ก็ไม่เลว แล้วงานของเธอเป็นอย่างไรบ้างจ๊ะ)

เตย: Very busy. How about your work? (ยุ่ง ๆ ค่ะ แล้วของเธอหล่ะ)

ติ๊ก: So-so. I have to return to my work now. See you later. (งั้น ๆ ฉันต้องกลับไปทำงานต่อแล้วหล่ะ แล้วค่อยพบกันอีกนะคะ)

เตย: See you. (แล้วพบกันค่ะ)

สรุปว่า เราควรหันมาใช้ How is ... ? กับ What is (something) like? แทน How about ... ? กันดีกว่านะคะ
อ่านบทความทั้งหมด

วันศุกร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2553

ห้องสมุด


ห้องนี้เกิดจากคำแนะนำของพวกเราหลายๆคนที่อยากมีส่วนร่วมในบล็อกแห่งนี้มากกว่าแค่การเข้ามาอ่านและแสดงความคิดเห็น จากข้อเสนอแนะดังกล่าวทำให้พี่มาคิดถึงห้องต่างๆในบ้านของเรา ได้แก่ ห้องนั่งเล่น และ ห้องน้ำ ว่าจะใช้ห้องไหนเป็นห้องที่ตอบสนองต่อข้อเสนอแนะของพวกเรา พี่พบว่าห้องนั่งเล่นมีไว้เพื่อรวบรวมเรื่องสบายๆเหมือนกับการที่เรามาคุยกันในบรรยากาสผ่อนคลาย เรื่องที่มาแชร์ควรเป็นเรื่องเบาๆหน่อย ห้องน้ำก็มีไว้ปลดทุกข์ ส่วนแนวคิดก็จะเป็นเรื่องที่มุ่งเน้นองค์ความรู้ที่ประยุกต์และเชื่อมโยงกับการสร้างวัฒนธรรมองค์กร จึงไม่มีห้องไหนที่เหมาะกับข้อเสนอนี้
พี่เลยคิดถึง “ห้องสมุด” ที่น่าจะตอบสนองต่อความต้องการของพวกเราเพราะสามารถรวบรวมเรื่องที่เป็นสาระที่ออกแนวจริงจังหน่อย เป็นแหล่งความรู้ที่หลากหลายและความรู้ในห้องนี้น่าจะมาจากการที่พวกเรามีส่วนร่วมในการแบ่งปันเรื่องต่างๆที่มีประโยชน์ อาจเป็นเรื่องเทคนิคการเล่นดนตรี กีฬา วิธีการดัดต้นไม้ ภาษาอังกฤษ เป็นต้น

การมีส่วนร่วมก็ง่ายๆแค่พวกเรานำเรื่องที่ต้องการจะมาแชร์ให้กับเพื่อนๆมาให้พวกพี่ช่วยกันแนะนำก่อนโพสลงในบล็อก เพื่อให้มั่นใจข้อมูลดังกล่าวถูกต้องและเหมาะสมในการเผยแพร่ ชื่อหรือนามแฝงของพวกเราจะถูกระบุลงในบทความของเรา

พี่เลยขอถือโอกาสนี้เปิดตัวห้องสมุด และขอเชิญชวนนักเขียนหน้าใหม่ๆเข้ามาแบ่งปันเรื่องราวที่มีประโยชน์ด้วยครับ พวกเราสามารถแสดงความคิดเห็นได้ในบทความนี้เพื่อปรับปรุงห้องนี้ได้ตลอดเวลาครับ
อ่านบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2553

Technology and Market : Push/Pull


เห็นชื่อภาษาอังกฤษแล้วอย่าเพิ่งตกใจ พี่ได้ไอเดียนี้มาจากการประชุมเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ขณะที่ผู้บริหารของโซลเวย์ได้นำเสนอการเติบโตของบริษัทซึ่งแน่นอนว่าเป็นมุมมองในแง่ของธุรกิจ และบอกให้พนักงานในระดับผู้บริหารรับรู้ถึงวิสัยทัศน์ต่อการขยายธุรกิจในอนาคต พี่เลยอยากถ่ายทอดแนวคิดเชิงธุรกิจให้กับทีมงานเพื่อเป็นพื้นฐานในการอธิบายกลยุทธ์ของบริษัทและน่าจะทำให้เรามั่นใจในการเจริญเติบโตขององค์กรในอนาคต
เรื่องการขยายธุรกิจของบริษัทใดๆนั้นจริงๆแล้วมันมีอยู่ 4 มุมมองหลักเป็นตัวขับเคลื่อน

1) Technology Push เป็นการผลักดันความเจริญเติบโตของธุรกิจโดยอาศัยการพัฒนาด้านเทคโนโลยี หมายถึงการที่ธุรกิจนั้นๆพยายามสร้างความต้องการในสินค้าโดยอาศัยการวิจัยและสร้างเทคโนโลยีที่โดดเด่น ส่วนมากจะสัมพันธ์กับแผนการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ หรือ วัฏจักรของนวัตกรรม เช่น ในอุตสาหกรรมไอทีต่างๆ พวกเราจะเห็นว่าบริษัทที่เป็นผู้นำในด้านนี้ (Leader) จะพยายามคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆมากระตุ้นความอยากของพวกเราตลอดเวลา และ แต่ละครั้งที่มันออกใหม่ราคาจะแพงมากแต่พอคู่แข่งอื่นๆ (Follower) ทำตามจนมีสินค้าประเภทเดียวกันออกตามมา ราคาก็จะเริ่มถูกลง คนที่เป็นผู้นำก็ต้องคิดเทคโนโลยีใหม่ๆออกมาอีก เป็นวัฏจักรแบบนี้เรื่อยไป ใครหยุดก็จะออกจากวงการนี้ไปโดยอัตโนมัติ ลองนึกถึงการพัฒนาของคอมพิวเตอร์หรือมือถือแล้วเราจะนึกออก

2) Technology Pull เป็นมุมมองเชิงตั้งรับมักจะอาศัยการพัฒนาเทคโนโลยีที่มีอยู่ในตลาดเพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นของลูกค้า เปลี่ยนลูกเล่นของสินค้าเพื่อจูงใจให้ลูกค้าซื้อผลิตภัณฑ์ เช่น ไมเนอร์เชนจ์รุ่นรถยนต์ เพื่อดึงยอดการขาย จะเห็นว่าเป็นการทำเพื่อยืดยอดขายแต่ก็ได้แต่ระดับหนึ่งเท่านั้นและจะทำเมื่อวงจรของสินค้านั้นๆอยู่ในจุดที่อิ่มตัวทางการตลาด

3) Market Pull เป็นมุมมองทางการตลาดที่ใช้ความต้องการทางการตลาดเป็นตัวดึงให้เกิดความเจริญเติบโตของธุรกิจ หมายถึงการที่ธุรกิจนั้นๆอาศัยการวิจัยทางการตลาดและเห็นช่องทางทางการตลาดที่มีต่อสินค้านั้นๆ เช่น ลูกค้ามีความต้องการต่อสินค้านั้นๆแต่กำลังการผลิตยังไม่พอเพียง ก็เป็นโอกาสของธุรกิจที่จะขยายกำลังการผลิต เป็นที่แน่นอนว่าธุรกิจใดที่เห็นโอกาสก่อนก็จะมีโอกาสมากกว่าในฐานะของผู้นำในด้านนี้ (Leader)

4) Market Push เป็นมุมมองในเชิงรุกโดยอาศัยการสร้างโอกาสทางการตลาด ธุรกิจสร้างความต้องการทางการตลาดให้เกิดขึ้นโดยการให้ความรู้ในเรื่องผลิตภัณฑ์แก่ลูกค้า จนลูกค้าเกิดความตระหนักในประโยชน์ของผลิตภัณฑ์ ซึ่งจะทำให้ธุรกิจได้ค้นพบตลาดใหม่ๆและเป็นผู้นำในการสร้างมาตรฐานของผลิตภัณฑ์นั้นๆในอนาคตหรือเป็นผู้นำทางการตลาด

เมื่อเราจับคู่มุมมองทางเทคโนโลยีและมุมมองทางการตลาดดังกล่าวจะทำให้เราได้กลยุทธ์ที่จะตอบสนองความต้องการของตลาดในรูปแบบต่างๆ 4 ประเภท

1) Technology Pull vs Market Pull = Reacting to demand (กลยุทธ์เชิงตั้งรับ ผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด ณ.ขณะนั้น)

2) Technology Pull vs Market Push = Seeding demand (กลยุทธ์ที่สร้างความต้องการของลูกค้าโดยอาศัยการขับเคลื่อนทางการตลาด)

3) Technology Push vs Market Pull = Meeting demand (กลยุทธ์เติมเต็มความต้องการของตลาดโดยอาศัยเทคโนโลยี)

4) Technology Push vs Market Push = Anticipating demand (กลยุทธ์ทางธุรกิจเชิงรุกโดยการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าในอนาคตซึ่งอาศัยการวิจัยทางการตลาด)

มาถึงตอนนี้พวกเราคงจะเข้าใจว่าทำไม โซลเวย์ ถึงตัดสินใจสร้างโรงงานผลิตไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่ประเทศไทย และถ้าเราสามารถเชื่อมโยงสภาวะของการเจริญเติบโตของบริษัทกับกลยุทธ์ต่างๆข้างต้นได้ เราจะเห็นว่าการทำงานของพวกเรานั้นมีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมปลายน้ำและลูกค้าอย่างมาก การรับพวกเราเข้าเป็นส่วนหนึ่งของทีมงานก็เป็นผลจากกลยุทธ์เชิงรุกของบริษัทด้วยเช่นกัน

จากข้อมูลข้างบนพวกเราคิดว่าบริษัทเราใช้กลยุทธ์ใดอยู่ในขณะนี้ (ใครตอบถูกใจจะมีรางวัล)
อ่านบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2553

เรารู้รึยัง ว่าเราไม่รู้อะไร??

ผ่านไปแล้ว 2 เดือนนับจากวันที่พวกเราเข้ามา ผ่านไปไวเหลือเกินนะครับ หลายคนได้เรียนรู้มากขึ้นถึงในชีวิตการทำงานซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับการใช้ชีวิตอยู่ในรั้วโรงเรียน สำหรับคนที่เคยทำงานมาแล้ว (แม้กระทั่งตัวพี่เอง) ก็รู้สึกได้ว่าชีวิตการทำงานที่นี่ก็แตกต่างกับที่อื่น ไม่เพียงแต่ในเรื่องของความรู้และนวัตกรรมที่เราต้องเรียนรู้ แต่ในเชิงวัฒนธรรมการทำงานก็เช่นกัน

จากการพูดคุยกับน้อง ๆ หลายคนทั้งในแบบเป็นทางการบ้าง ไม่เป็นทางการบ้าง ทำให้รู้ถึงปัญหาของ หลายคนที่ค่อนข้างคล้ายคลึงกัน ว่าตัวเองควรจะไปอ่านไปดูตรงไหน และตอบอะไรผิดอะไรพลาดไปจนทำให้ต้องมานั่ง (ซ่อม) อยู่ตรงนี้ อยากถือโอกาสนี้มาเล่าให้ฟังครับ อย่างน้อยก็ให้เราเช็คตัวเอง แล้วก็แก้ไขไม่ต้องให้มานั่งซ่อมอีกครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 ละกัน เพราะพี่เองก็ไม่รู้ว่าถึงตอนนั้นเราจะมีเวลามานั่งซ่อมกันอีกรึเปล่า......
ว่ากันแล้วเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ มันก็อิงกับเรื่องแผนภูมิการเรียนรู้ ของมาสโลว์ ในความหมายที่อยากจะสื่อออกมา อาจจะไม่เหมือนกับทฤษฏีเป๊ะ ๆ แต่อยากให้เข้าใจในเชิงกว้าง ๆ ถึงพัฒนาการในการเรียนรู้ ของมนุษย์ธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ในการพัฒนาศักยภาพของคน คนหนึ่งอาจแบ่งได้เป็น 4 ระดับ

ระดับ 4 ประเภทไม่ตระหนัก ว่าไม่รู้ เป็นประเภทที่ว่าไม่รู้ว่าตัวเองไม่รู้อะไร หรือไม่รู้ว่าต้องมีทักษะอะไร หรือขาดตกในเรื่องใดจึงจะเป็นคนมีศักยภาพ
ระดับ 3 ประเภท ตระหนักว่าไม่รู้ เป็นประเภทที่รู้แล้วว่าตัวเองกำลังจะไปทำอะไร แล้วตัวเองยังขาดทักษะอะไร หรือทำอะไรไม่ได้
ระดับ 2 ประเภทไม่ตระหนักว่ารู้ เป็นประเภทที่จริง ๆ แล้วมีทักษะหรือความเชี่ยวชาญอยู่โดยไม่รู้ตัว อาจเป็นพรสวรรค์ หรือจริง ๆ ก็ได้รับการอบรมบ่มนิสัยมาจากพ่อแม่ครูอาจารย์ในวัยเยาว์นั่นแหละ แต่ไม่รู้ว่าทักษะที่ตัวเองมีอยู่จากวัยเยาว์มันนำมาใช้ในสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบันได้ เช่น เรามักมองว่าคนจีนรุ่นพ่อแม่เราเป็นพวกหัวการค้า ค้าขายอะไรก็ร่ำรวย เด็ก ๆ ที่เกิดมาในครอบครัวคนจีนไปทำมาค้าขายอะไร หยิบจับอะไร ก็เป็นเงินทองไปหมด ทั้ง ๆ ที่พวกเค้าก็ไม่ได้เรียนสูงจบเศรษฐศาสตร์ การเงิน เอ็มบีเอ หรืออะไร ๆ ที่คนสมัยใหม่ชอบเรียนกันหรอก บางคนเรียนจบประถมด้วยซ้ำ แต่ด้วยความที่พ่อแม่หรือญาติผู้ใหญ่จำกัดกรอบความเป็นอยู่ให้เป็นเด็กรักดี ช่างจดจำ เรียนรู้นอกห้องเรียน ประหยัด มัธยัสถ์ อดทนและคิดการไกล ซึ่งท้ายที่สุดเป็นคุณสมบัติที่บ่มเพาะให้การเป็นพ่อค้า เจ้าสัวที่ประสบความสำเร็จโดยไม่ได้มีดีกรีอะไร
ระดับ 1 ตระหนักว่ารู้ รู้แล้วว่าเรารู้และเข้าใจในเรื่องนั้น คนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่พัฒนาจากคนในระดับที่ 3 สำหรับกลุ่มที่ 2 เอง การเปิดโลกทรรศน์ หรือการทดสอบเปรียบเทียบตัวเองกับโลกภายนอกก็สามารถส่งผลให้ปรับระดับกลายเป็นระดับที่ 1 ได้เช่นกัน

สาระอันหนึ่งที่มาสโลว์พูดเอาไว้ด้วยคือ คนที่ตระหนักว่ารู้แล้วในท้ายที่สุดเมื่อไปทำงานใด ๆ ก็จะทำไปโดยอัตโนมัติโดยไม่ได้มานั่งนึกถึงลำดับขั้น เหมือนกับทำไปโดยสัญชาตญาณ ซึ่งจะกลับไปคล้ายกับระดับที่ 2 คือไม่ตระหนักว่ารู้ (แต่ช้านนนนทำได้เอง......)

ทีนี้ถ้าเรามาจัดอยู่ในระดับ 1 กับ 2 มันก็คงไม่ต้องมากลุ้มมากหรอก เพราะว่าเรามันเป็นผู้รู้ไปแล้ว (ช่วยไม่ได้จริง ๆ คนมันเก่ง...) สำหรับระดับที่ 3 นี่ก็ยังโอเค เพราะว่ามันรู้แล้วว่าเราไม่รู้อะไร ก็ไปหาไปขวนขวายให้ตัวเองรู้มากขึ้นซะ แต่ถ้าตกอยู่ในระดับ 4 แบบที่หลาย ๆ คนถามนี่สิน่าหนักอก..

ถ้าอยากหลุดจากระดับจิตแบบที่ 4 แล้วจะทำไง จะมานั่งคิดว่าเราแย่กว่าคนอื่น สู้เพื่อนไม่ได้คงไม่สร้างสรรค์เป็นแน่ รังแต่จะสร้างพลังในเชิงลบแก่ตัวเอง และคนรอบข้างไปเรื่อย ๆ ถ้าใครคิดแบบนี้ให้ลองกลับไปนั่ง ‘ส่องกระจกทางความคิด’ ดูก่อน...จนเริ่มจะมีความคิดให้ตัวเองว่าจะทำยังไงได้ให้มันดีขึ้น....นั่นแหละแปลว่าเราเริ่มมาอยู่ในเส้นทางที่มันถูกมันควรแล้ว ทีนี้มาดูกันว่าเราจะมาแก้ไขยังไงให้หลุดออกจากระดับจิตแบบที่ 4

เปิดโลกทรรศน์ พูดง่าย ๆ คือเปิดใจนั่นแหละ ลองหาเพื่อนที่ดี พี่ที่ดี น้องที่ดี ที่ใกล้ชิดและรู้จักเรามาพอสมควร เล่าให้เค้าฟังว่าที่เราคิดเราเป็นเราเข้าใจน่ะมันถูกรึยัง....เปิดใจแล้วก็ต้องรับฟังด้วยนะ....แบบนี้แหละที่เราพูดกันบ่อย ๆ ว่า “เปิดใจรับฟัง และพัฒนาไปสู่สิ่งที่ดีกว่า”

ศึกษาดูงานประเทศเพื่อนบ้าน การหมกตัวอยู่ในข้าวสีเหลือง ๆ เป็นข้าวหมกไก่ไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นหรอก ลองลุกขึ้นมามองเพื่อนทำ ฟังเพื่อนคุย ร่วมคิดตามเพื่อน ๆ พี่ ๆ การออกไปพบไปคุยกับคนข้างนอกในเชิงสร้างสรรค์บ้างน่ะ มันก็ทำให้เราเรียนรู้ในสิ่งที่ขาดหายไปได้ แล้วก็จะได้เทียบกันไปด้วยว่าเราน่ะรู้ในแบบที่คนทั่วไปเค้ารู้ด้วยรึเปล่า

คำถามง่าย ที่บางครั้งตอบยาก ๆ แต่ควรถามตัวเองบ่อย ๆ อันนี้สำคัญครับ ลองถามตัวเองในเรื่องที่เราเรียนรู้เสมอ ๆ ว่า อะไร-What (ไอ้ที่เราเรียนเนี่ยมันคืออะไร) ยังไง-How (มันทำงานยังไง เราจะใช้มันยังไงดี) ที่ไหน-Where (ไอ้เนี่ยมันอยู่ที่ไหน) เมื่อไหร่-When (แล้วเมื่อไหร่ เราถึงต้องไปยุ่งกับมัน) ใคร-Who (ใครบ้างต้องไปข้องแวะกับมัน) ทำไม-Why (ทำไมต้องไปยุ่งไปแคร์กับมันด้วย...จำเป็นแค่ไหน)

หาคำตอบ..ถามคำถามข้างบนกับตัวเองแล้วถ้าตอบไม่ได้อย่านั่งเฉย ๆ หรือรอเพื่อนมาเข้าฝันบอก...จริง ๆ แล้วเราจะรู้หรือไม่ มากน้อยแค่ไหน ต้องเริ่มจากตัวเราหาคำตอบเป็นอันดับแรก

เช็ค...หรือตรวจสอบว่าสิ่งที่เรารู้น่ะมันถูกมั้ย การสอบการเป็นเครื่องมือนึงของเรื่องนี้ พี่พยายามจะบอกกลาย ๆ น่ะครับว่าที่สอบ ๆ กันน่ะ อย่ากลัวกันนักเลย อันที่จริงการที่เรามานั่งทำงานกันอยู่ทุกวันนี้ มันก็มาจากที่เราอุตส่าห์ทนเรียน ทนสอบกันมาในโรงเรียนไม่ใช่หรือ แล้วยังมานั่งให้พี่สอบ (สัมภาษณ์) กันตั้งหลายรอบ....จนผ่านแล้วได้มาทำงานที่นี่ เพราะฉะนั้นจะว่ากันจริง ๆ การสอบก็เป็นการตรวจเช็คที่ดีนะครับ

ก่อนที่จะสอบ ก่อนที่จะทำงานกันแบบจริงจังมากขึ้นในอนาคต ลองคิดและถามตัวเองดูกันดีกว่าครับ ว่าเรารู้รึยังว่าเราไม่รู้อะไร..........................
อ่านบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2553

5 เม็ก!! ไม่พอ ระยองถองบ้านฉางจนลืมนับ

จบกันไปอีกครั้งกับฟุตซอลกระชับมิตร บ้านฉาง-ระยอง ครั้งที่ 2 โดยที่ครั้งนี้ทีมระยองหวังมาจัดการบ้านฉางให้ราบคาบหลังจากครั้งก่อนโดนส่องไกลจากแบงค์เล็กในนาทีสุดท้ายเข้าไป

เริ่มต้นด้วยการวอร์มกันประมาณครึ่งชั่วโมงพอหอมปากหอมคอ วันนี้คึกคักคนเยอะเป็นพิเศษ มีพี่เปิ้ล พี่นูน และคุณบ๊อบ มาร่วมเล่นและร่วมรับชม นัดนี้จำไม่ได้จริงๆว่าใครยิงไปบ้าง รู้แต่มันเยอะจริงๆ สรุปบ้านฉางโดนไปมากกว่าห้าเมก ! ไม่รู้ว่านัดหน้าจะมีแผนอะไรมารับมือกับทีมระยอง
บรรยายด้วยคำพูดอาจไม่เห็นภาพ เชิญรับชมสไลด์โชว์ที่ตากล้องของเราถ่ายมาวันนี้ได้เลย

และพบกันใครครั้งต่อไปกับกับฟุตซอลกระชับมิตร บ้านฉาง-ระยอง ครั้งที่ 3 เร็วๆนี้ !

อ่านบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ส่องกระจกความคิดกันดีกว่า

พวกเราอาจจะเคยได้ยินว่า เราเป็นอย่างที่เราคิด สิ่งนี้ดูเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อสำหรับบางคน แต่ถ้าไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่นะครับ วันๆหนึ่งคนเรานั้นมีความคิดร้อยแปดพันเก้าในหัวของเรา เราเคยสังเกตไหมว่าส่วนใหญ่เราคิดในเชิงบวกหรือลบ ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น

วันๆหนึ่งเราก็คิดวนเวียนแต่กับ เรื่องของเรา, เรื่องของเขา, ของของเรา, ของของเขา และ ก็เปรียบเทียบเรื่องเรากับเรื่องเขา ของเรากับของเขา น่าคิดไหมว่าทำไมเราไม่คิดถึงแค่แต่เรื่องของเราที่เราสามารถบริหารจัดการกระบวนการคิดได้ มากกว่าจะคิดถึงบุคคลอื่นซึ่งนอกเหนือความสามารถของเราในการควบคุมอย่างสิ้นเชิง จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพี่มักจะพูดกับพวกเราเสมอๆว่า ให้อยู่กับปัจจุบัน โดยเฉพาะเรื่องการฝึกอบรม
เมื่อเราเห็นว่าเราสูญเสียเวลาไปกับความคิดที่ไร้ประโยชน์และควบคุมไม่ได้ ทำไมเราไม่กลับมาสนใจความคิดของตนเองให้มากขึ้นเหล่าครับ นี่ก็เป็นสิ่งสำคัญในการขับเคลื่อนจิตสำนึกในวัฒนธรรมองค์กร เนื่องจากถ้าเรามุ่งพัฒนาตนเอง ด้วยการจดจ่อกับความคิดที่มีต่อตนเอง ก็จะเป็นวิถีทางการพัฒนาบุคลิคในการทำงานที่ตรงประเด็นที่สุด ถ้าเราหยุดความคิดให้ช้าลง เราจะแปลกใจว่าทำไมเราถึงได้คิดลบต่อตนเองได้มากมาย เช่น เราคงไม่ได้รับการคัดเลือกให้อยู่ในองค์กรต่อ ความรู้ของเราทำไมถึงด้อยกว่าเพื่อน บางทีเพราะเขามีประสบการณ์ตรงกว่า เขาฉลาดกว่า บางทีคิดไปถึงว่าเขาก็ไม่ได้พยายามมากกว่าเราแต่กลับได้ดี อาจเพราะบุญเก่าทำมามาก ฯลฯ สิ่งเหล่านี้นอกจากไม่มีประโยชน์แล้ว ยังส่งผลเชิงลบต่อตนเอง แล้วเราคิดเชิงลบไปทำไมครับ

สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ กระบวนการคิดในเชิงบวกต่อตนเองครับ นี่เป็นสิ่งเดียวที่เราสามารถควบคุมได้ขณะเรามีสติ มันจะเป็นการดีกว่าหรือไม่ถ้าเรายัดเยียดความคิดเชิงบวกให้กับตนเองทุกๆวัน ในที่สุดการแสดงออกหรือการตอบสนองต่อบุคคลรวมถึงสถานการณ์ต่างๆก็จะเป็นในเชิงบวก และ สมเหตุผล ขณะที่เราป้อนความคิดเชิงบวกให้กับตนเอง พลังงานเชิงบวกก็จะส่งผ่านออกสู่สิ่งแวดล้อมรอบๆตัว และ ดึงดูดให้บุคคลหรือสิ่งแวดล้อมที่มีพลังงานใกล้เคียงกันเข้ามา จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมคนที่คิดบวกจึงถูกล้อมรอบด้วยสิ่งดีๆ จนในที่สุดสิ่งที่คิดก็จะถูกทำให้เป็นจริง

กลไกดังกล่าวนั้นอธิบายง่ายๆดังนี้
1. เมื่อเรารับข้อมูลมาจากสิ่งแวดล้อม (ข้อเท็จจริง) เช่น บุคคลรอบๆตัว เป็นต้น
2. เราจะเกิดความคิด ซึ่งพื้นฐานส่วนใหญ่จะมาจากการสั่งสมของความคิดในอดีต ถ้าปกติเป็นคนที่มีทัศนคติดี ก็จะตีความสิ่งที่รับรู้ในแง่ดีเป็นต้น
3. จากนั้นเราก็จะเกิดความรู้สึกต่อสิ่งที่คิด ตามการตีความดังกล่าว
4. จึงเกิดการตอบสนองต่อสิ่งที่มากระทบ แน่นอนว่าถ้าการตีความเป็นในเชิงบวกจนรู้สึกบวก การตอบสนองย่อมออกมาในเชิงบวก
5. การตอบสนองจากการกระทำของเรานั้น (feed back) ก็กลายเป็นความจริงของเราในที่สุด

จะเห็นว่าความเป็นจริงของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน มันล้วนเกิดจากการตีความสิ่งที่รับรู้ตามทัศนคติของตนเอง และ การตอบสนองที่คนนั้นๆได้รับมาจากสิ่งแวดล้อม เราจึงไม่ควรหวั่นไหวต่อความคิดเห็นที่บุคคลอื่นมีต่อเรามากนัก เนื่องจากเราควบคุมไม่ได้และมันก็เป็นเป็นความจริงของเขา แต่เราก็ควรทำแค่การรับฟังและพิจารณาด้วยสติว่า ความคิดเห็นดังกล่าวนั้นจริงหรือเท็จ เพื่อปรับปรุงและพัฒนาตัวเรา (i Hears) โดยไม่เก็บมาเป็นอารมณ์

จากกลไกดังกล่าวสิ่งที่สำคัญจึงอยู่ที่กระบวนการที่ 2 หรือ กระบวนการคิด จะเห็นว่าสิ่งนี้สอดคล้องกับวัฒนธรรมองค์กร iHears ของพวกเรา ซึ่งได้แก่ตัวอักษร a (Attitude) นั่นเอง ถ้าเราสามารถบังคับตัวเองให้มีการคิดที่เป็นบวก กระบวนการที่เหลือจะเป็นบวกทั้งสิ้น ดังนั้นการที่พวกเราคิดว่าการทำสิ่งที่ดีนั้น ไม่จำเป็นต้องบังคับนั้นก็ไม่ได้ถูกต้องทั้งหมด การบังคับตัวเองให้ปรับกระบวนการคิดให้เป็นบวกนั้น เป็นเรื่องที่ยากมาก ต้องอาศัยความพยายามอย่างมาก ลองคิดดูว่า จะเป็นไปได้หรือไม่ที่คนที่เคยคิดแต่เรื่องลบๆมาตลอด จะเปลี่ยนความคิดตัวเองให้เป็นบวกโดยปราศจากการบังคับตนเอง

วัฒนธรรมองค์กร iHears ของพวกเราจึงเป็นเครื่องมือหนึ่งในการช่วยปรับวิธีการคิด พูดง่ายๆคือการบังคับให้พวกเราปฏิบัติตามค่านิยมดังกล่าว เนื่องจาก เรารู้ว่าเป็นสิ่งที่กลุ่มของเราคาดหวัง และจึงกลายมาเป็นการประเมินในมิติที่สองที่นอกจากการประเมินผลทางวิชาการ

พี่เชื่อว่า เมิ่อเราคิดบวก จนเกิดความรู้สึกบวก โดยมีเจตนาในการกระทำตามสิ่งที่คิดอย่างแน่วแน่ สิ่งแวดล้อมในการทำงานที่พวกเราอยากเห็นต้องเกิดขึ้นจริงครับ แผนการพัฒนาตนเองในแต่ละด้านของ iHears จึงมีบทบาทสำคัญที่ช่วยพัฒนาบุคลิคในการทำงานของพวกเรา พี่จึงขอเชิญชวนให้พวกเรานำเสนอแผนการพัฒนาตนเองรายบุคคลและคุยกับพี่เป็นการส่วนตัวในคราวหน้าครับ
อ่านบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ฟุตซอลกระชับมิตร บ้านฉาง-ระยอง ครั้งที่ 1


จบลงไปแล้วกับฟุตซอลแมตซ์กระชับมิตร บ้านฉาง-ระยองครั้งที่หนึ่ง เปิดสนามโซลเวย์สเตเดี้ยม โดยการเปิดสนามวอร์มอัพกันเกือบหนึ่งชั่วโมง เมื่อการแข่งขันจริงชิงน้ำขวดหนึ่งลังเริ่มขึ้น ทีมบ้านฉางเน้นลูกเหนียว ออลสตาร์ระยองเจาะไม่เข้าผลจบครึ่งแรกไป 0-0 หลังจากเริ่มครึ่งหลังได้ 10 นาที ทีมระยองขึ้นนำไปได้ แต่เหตุการณ์ที่ทำให้ทีมระยองชวดน้ำขวดเกิดขึ้นเมื่อแบงค์เล็ก หวดตูมเดียวจากหัวกระโหลกเสียบสามเหลี่ยมเข้าไปโดยที่ประตูแบงค์ใหญ่ทำได้
แค่มอง ผลจบลงเสมอกันไป 1-1 ชวดน้ำขวดกันไปทั้งสองทีม

การแก้มือกันมีอีกเมื่อไหร่นั้น ติดตามกันต่อไป
อ่านบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ในที่สุด....

หลังจากการสอบอันหนักหน่วงได้ผ่านพ้นไป หลายคนอาจสมหวังบ้าง ผิดหวังบ้าง ขอให้สู้ต่อไป ขอให้คิดเสมอว่ามันไม่ใช่ครั้งสุดท้ายขอชีวิต ยังมีโอกาสรอเราอยู่เสมอ ขอเพียงแค่เราต้องเต็มที่กับโอกาสที่เข้ามาและใช้โอกาสนั้นพิสูจน์ตัวเอง ให้เป็นที่ประจักษ์!!! และอยากให้ทุกคนตั้งใจกับสิ่งที่จะเจอข้างหน้า และเราต้องร่วมแรงร่วมใจกันคนเร็วช่วยเหลือคนที่ช้า และพยายามแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันให้มากๆ "S Synergy" การทำงานร่วมกันเป็นทีม เพื่อให้เราทุกคนก้าวไปพร้อมๆกัน

วันนี้ก็มีข่าวดีข่าวใหญ่ระดับโลกมาฝากว่าขณะนี้ blog iHears ของเรานั้นสมารถเซิร์จเจอใน GOOGLE แล้ว!!!!

ตามสัญญาหลังจากการสอบจะมาเฉลยตัวอักษรที่แต่ละคนเลือกว่ามีความหมายอย่างไร เชิญชมได้ตามด้านล่างนั้นเลย

คำเฉลย

ISTJ - The Duty Fulfiller ' ผู้สำเร็จ '

-
มีสมาธิสูง, เงียบ, เป็นคนรักครอบครัว
-
ละเอียด, จริงจัง และ ไว้ใจได้
-
ทำงานหนัก, เจ้าระเบียบ และ มีความรับผิดชอบสูง
-
อาจจะทำให้ถูกเอาเปรียบได้ เพราะความที่เขาซื่อสัตย์และเป็นที่พึ่งได้
-
ไม่เก่งเรื่องของความรู้สึก

ISTP - The Mechanic ' ช่างเครื่อง '

-
เงียบ, ชอบผจญภัยและ กีฬา
-
ชอบเสี่ยง, เป็นตัวของตัวเอง, แก้ปัญหาเก่ง
-
มองโลกในแง่ดีแต่อาจโกรธง่ายตอนเครียด
-
ปกติไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรให้คนอื่นอยู่ ทั้งดีและไม่ดี

ISFJ - The Nurturer ' ผู้ดูแล '

-
เงียบ, ใจดี, มีสติ
-
มีความรับผิดชอบ แก่ภาระและหน้าที่
-
คิดถึงคนอื่นก่อนตัว, จำคนเก่ง
-
เสียกำลังใจเมื่อถูกวิจารณ์
-
ชอบเก็บความรู้สึกไว้กับตัวเอง

ISFP - The Artist ' ศิลปิน '

-
เงียบ, ใจดี, จริงจัง และ อ่อนไหว
-
ไม่ชอบการโต้แย้ง, ไม่ชอบระเบียบ
-
ความคิดสร้างสรรค์ และ ไม่เหมือนใคร, รักขอบสวยของงาม
-
เข้าใจยาก, เปิดเผยตัวเองกับคนใกล้ชิดเท่านั้น
-
ใช้ชีวิตอย่างจริงจัง

INFJ - The Protector ' ผู้ป้องกัน '
- ความคิดสร้างสรรค์, อ่อนไหว, เป็นตัวของตัวเอง
-
เก่งเรื่องคน และ สถานการณ์
-
เป็นคนลึกซึ้ง, ซับซ้อน, ชอบความเป็นส่วนตัว
-
เข้าใจยาก, มีความมั่นใจในตัวเองสูง, ดื้อรั้นต่อความคิดของผู้อื่น
-
ไม่ชอบการโต้แย้ง

INFP - The Idealist ' นักอุดมการณ์ '
- เงียบ, ซื่อสัตย์, ชอบอุดมการณ์
-
ชอบช่วยเหลือ และ เข้าใจคนอื่น
-
ไม่ชอบการโต้แย้ง
-
ซื่อสัตย์ต่อตนเอง
-
มีความคิดสร้างสรรค์

INTJ - The Scientist ' นักวิทยาศาสตร์ '
-
ฉลาด, มุ่งมั่น, ไม่เหมือนใคร
-
เป็นผู้นำที่ดี, มีความมั่นใจสูง, มองการณ์ไกล
-
ชอบคิดคนเดียว และ ชอบอยู่คนเดียว, ชอบด่วนสรุป,ไม่ชอบรายละเอียด, คิดว่าตนเองถูกเสมอ
-
บอกความรู้สึกไม่เก่ง, จะมีปัญหากับความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด

INTP - The Thinker 'นักคิด '
-
ความคิดสร้างสรรค์, เป็นตัวของตัวเอง, มีเหตุมีผลและมีความสามารถสูง
-
ไม่อยากถูกนำหรือนำคนอื่น, ไม่ชอบระเบียบ
-
ใช้เวลาในหัวตัวเองมาก, ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
-
เงียบ, ไม่ค่อยรู้ว่าคนอื่นรู้สึกยังไง
-
มีอารมณ์ซับซ้อน, ไม่อยู่นิ่ง และ แปรปรวน

ESTP - The Doer ' ผู้กระทำ '
-
เป็นมิตร, ยืดหยุ่นง่าย, เข้าใจความรู้สึกของผู้อื่นเก่ง
-
ไม่ชอบคำอธิบาย แต่ต้องการแค่ผลลัพธ์
-
ใช้ชีวิตที่สนุกสนาน จึงทำให้ผ่านไปเร็ว
-
รักสนุก, สามารถทำร้ายจิตใจผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว
-
ไม่ชอบเคารพกฎระเบียบ
-
เบื่อง่าย

ESTJ - The Guardian ' ผู้พิทักษ์ '
-
มีระเบียบ, ซื่อตรง, ตรงไปตรงมา
-
มีความมั่นใจในตัวเอง, มีความสามารถ, ทำงานหนัก , เป็นผู้นำ
-
ชอบความปลอดภัย และ ความสงบสุข
-
บอกความรู้สึก และ ความห่วงใยไม่เก่ง

ESFP - The Performer ' ผู้แสดง '
- อยู่คนเดียวในโลกไม่ได้, มีมนุษยสัมพันธ์ดี, รักสนุก และทำงานเป็นทีมได้ดี
-
มองโลกในแง่ดี, ต้อนรับทุกคน แต่ก็เกลียดทุกคนได้เหมือนกัน
-
ไม่ชอบงานประจำ, คิดมากเวลาเครียด
-
รักสวยรักงาม

ESFJ - The Caregiver ' นักใส่ใจ
-
มีน้ำใจ , คนชอบ , มีสติ , มีความรับผิดชอบ
-
เก่งเรื่องคน , เข้าใจ, สนใจ และ ปรับตามคนได้
-
ชอบให้คนชอบ, ชอบบริการผู้อื่นก่อนตนเอง
-
รักสงบ และความปลอดภัย, ไว้ใจได้, กระตือรือร้น
-
อ่อนไหว, ต้องการการเห็นด้วยจากผู้อื่น

ENFP - The Inspirer ' ผู้มีแรงบันดาลใจ '
-
มีความคิดสร้างสรรค์, กระตือรือร้น, ยืดหยุ่น
-
ต้อนรับไอเดียใหม่ ๆ เสมอ แต่จะเบื่อกับรายละเอียด
-
มีมนุษยสัมพันธ์ดี, ชอบให้คนชอบแต่ก็สามารถหลอกใช้ผู้อื่นได้ด้วย
-
เป็นคนร่าเริง และชอบเป็นอิสระ

ENFJ - The Giver ' ผู้ให้ '
-
มีมนุษยสัมพันธ์ดีมาก, ห่วงใยความรู้สึกของผู้อื่นเสมอ
-
ไม่ชอบอยู่คนเดียว, ต้องการอยู่กับผู้อื่นตลอดเวลา
-
มีความสามารถที่จะทำในสิ่งที่เขาชอบหลาย ๆ อย่าง
-
มีความมั่นใจในตัวเอง, เจ้าระเบียบ

ENTP - The Visionary ' ผู้มีวิสัยทัศน์
-
มีความคิดสร้างสรรค์, ฉลาด , แก้ปัญหาเก่ง
-
ชอบไอเดียใหม่, ไม่ชอบทำอะไรซ้ำ ๆ
-
ชอบคุย, คุยเก่ง, หัวไว
-
ไม่สนใจเรื่องความรู้สึก แต่เพียงจะให้งานสำเร็จ
-
บางครั้งอาจจะเคร่งครัดกับคนรอบข้าง

ENTJ - The Executive ' ผู้บริหาร '
- เป็นผู้นำตั้งแต่เกิด, พูดต่อหน้าคนเก่ง, ฉลาด, มีความรู้
-
เห็นความสำคัญในความรู้ และ ความสามารถ,ไม่มีความอดทนกับคนทำงานไม่เก่ง
-
แก้ปัญหาเก่ง, สามารถเข้าใจปัญหาซับซ้อน
-
เจ้ากี้เจ้าการ, ไม่มีความอดทน, เด็ดขาด, น่าเกรงขาม

ขอให้ iHears สถิตอยู่กับท่าน.....
อ่านบทความทั้งหมด