วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

แฉแต่เช้า: ศุกร์ที่ 19 พย 2553

โดย ซ้อเจ็ดสิบเจ็ด

ผ่านไปแป๊บเดียวก็ปลายปีอีกแล้วนะ ช่วงนี้อากาศหนาว ๆ ร้อน ๆ พี่น้องโซลเวย์รักษาสุขภาพด้วย ไม่ต้องออกไปดื่มแก้หนาวกันมากนักก็ได้ ไม่รู้เป็นไงมาทำงานช่วงนี้เหมือนว่ามาเที่ยวสวนผลไม้ยังไงไม่รู้ (สวนละมุดอ่ะ) แค่ก้าวเท้าเข้ามาในตู้อืมหือละมุดเต็มปอดถึงกับขมคอเลยทีเดียวยังไงก็เพลาๆสักหน่อยน่ะเป็นห่วงสุขภาพตัวเองบ้าง
เหมือน ๆ ว่าเวลานี้หนุ่ม ๆ โซลเวย์ ของเราจะชอบฟังเพลงของไอน้ำกันมากน่ะเพลงอะไรอ่ะก็เพลงคนอกหักไง
โอ้โหเก่าเกินไปป่ะเนี้ยแต่เห็นหน้าแต่ละคนแล้วคงจะเกิดทันอยู่น้า 555555 แต่จะถึงอย่างไรก็ตามขอให้ทุกคนสู้ ๆ ๆ อย่าติดจมปักอยู่กับอดีตแล้วคอยแต่ทำลายตัวเองไม่ว่าจะโดยการสูบบุหรี่บ้างล่ะ (โอ้ยโดนใครรึป่าวว่ะเนี้ย) หรือไม่ก็ไปเจอกันแถว ๆ PMY เกือบทุกวัน ไม่รู้ว่าทำสัญญากับPMYไว้หรือไงก็ไม่ทราบ หวังว่าหมดสัญญา แล้วคงไม่ต่อแล้วน่ะแล้วมีอีกคนชอบเที่ยวจริงๆวันศุกร์ไม่ได้เลยเมาตลอดยังไงเมาแล้วก็ไม่ต้องต่อที่ไหนมากนักน่ะ เกรงใจเจ้าของรถเค้าอิอิอิเป็นห่วงหลอกถึงมาบอกกันครับพี่น้องคับ

- มีอีกคนหนึ่งคงเส้นคงวาดีจริง ๆ (ปากอ่ะ) จะพูดอะไรออกไปก็คิดซะก่อนเอาใจเค้ามาใส่ใจเราซะบ้างลองคิดดูถ้าโดนเข้ากับตัวเองจะรู้สึกแบบไหนคงจะแย่มากแน่ ๆ คงจะรับไม่ได้ยังไงก็นิดหนึ่งน่ะ

- เออ...พระเอกหนุ่มใหญ่ บ. ก็ลาออกไปแล้วนี่หว่า แต่ทำไมยังมีปัญหาเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ กันอยู่หว่า...ไม่ใช่เรื่องขโมยเงินน่ะ แต่ฝากถึงพระเอก ต. และพี่น้องอีกหลายคนครับ เรื่องของการยืมเงินน่ะ ไม่ว่าจะยืมมากยืมน้อยแค่ไหน แต่ยืมเค้าไปก็ต้องคืนให้ตรงเวลาด้วยล่ะ ไม่ว่าจะเก่งหรือดียังไง ถ้ามีเรื่อเงินมายุ่งเกี่ยวก็จบทุกคนนะคร้าบบบบพี่น้อง...

ยังไงอยากฝากไปถึงพี่ ๆ น้อง ๆ ทุกคนว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องค่อนข้างละเอียดอ่อนนะครับ บ่อยครั้งกลายเป็นเรื่องบาดหมางกันระหว่างเพื่อนร่วมงาน เพื่อนสนิท หรือแม้แต่พี่น้องญาติสนิทกัน ซึ่งอาจมีผลหนักไปจนถึงทำร้ายร่างกาย หรือฆ่าแกงกันไปเลย ซึ่งก็เห็นกันอยู่เป็นปกติตามข่าวโทรทัศน์หรือหน้าหนังสือพิมพ์.....

- ตอนนี้เทรนด์แกล้งซ่อนรองเท้าหรือเอาของไปใส่กระเป๋าเป็นที่นิยมมากในกลุ่มพวกเรา ล่าสุดนายดิวหนุ่มเกาหลีของเราโดนแกล้งเอารองเท้าไปใส่ไว้ในถังขยะในห้องน้ำ เดชะบุญ...ที่หาเจอก่อน ไม่งั้นแม่บ้านสามสีของเราเก็บไปทิ้งไม่รู้อะไรจะเกิดขึ้น....สิ่งที่ทำกันก็สนุก ก็ขำกันดีหรอก แต่ถ้าไม่โดนบ้างก็ไม่รู้หรอก ยังไงก็อยากจะฝากเรื่องนี้ไว้ ว่าอย่าแกล้งกันน้องดิวกันรุนแรงนักเลย อือม์...ว่าแต่ช่วงนี้พี่น้องดิวเงียบหายไปช่วงหลังเลิกงานนะ...แล้วก็หน้าตาสดใสขึ้นด้วย มีอะไรดี ๆ รึเปล่าเอ่ย.....

- ขอปรบมือให้พี่อาร์ตดัง ๆ เลยคร้าบบบ เพราะตั้งแต่โดน comment เรื่องเล่นเกมส์เยอะ ตอนนี้ก็ไม่ค่อยเอามาเล่นที่โรงงานแล้ว ดูใส่ใจเอาการงานเอางานมากขึ้น ส่วนคนที่ยังชอบนอนหลับ หรือเล่นหมากรุกในเวลางานก็ดูพี่อาร์ตเค้าเป็นตัวอย่างกันเถอะครับ

- ตกเป็นเป้านิ่งในการโดนล้อว่าเป็นชาวเผ่าเกียมัว ยังไงก้อเพลา ๆ หน่อยนะครับ หยอกกันนิด ๆ หน่อย ๆ พอหอมปากหอมคอละกัน แต่แซวเยอะไปเดี๋ยวพี่โอ๊ตเค้าจะเสียใจนะ......อันที่จริงพี่โอ๊ตเค้าไม่ได้กลัวภรรยาหรอก แต่เค้ากลัวภรรยาทิ้งก็พี่เค้าอายุขนาดนี้แล้วดิ (อุ๊ย!!!)

- หน้าตาแจ่มใสกันมาทุกคน สำหรับ พี่น้องที่กลับมาจาก HPPO1 พี่จำนงค์ พี่เกียรติชาย พี่ถิรเมธ พี่จีรวัฒน์ พี่นิค พี่นูน และพี่เปิ้ล น้อง ๆ รอดูกันว่าจะจำนวนคนกลับมา จะมากกว่าจำนวนคนไปมั้ย แต่สุดท้ายก็เท่าเดิมครับ....ได้ยินว่าลงเครื่องมาแล้วแทบจะหากระเพรา, ตำปูปลาร้า กินกันแทบไม่ทัน อันนี้พอเข้าใจเพราะ รู้สึกว่าพี่ ๆ หลายคนจะผอมลงไป พร้อมกับกระเป๋าที่ดูจะแฟบ ๆ ไปนะครับ

- ผ่านโปรกันไปแล้วสำหรับ Operator trainee ทุกคนที่ยังรอดผ่านสมรภูมิมาได้ โดยสถิติแล้วพวกเราเข้ามา 26 แต่จำหน่ายไป 2 ด้วยเหตุผลส่วนตัวจริง ตอนนี้ 24 คน พร้อมแล้วกับภารกิจอันใหญ่ยิ่ง เปี่ยมด้วยพลังอันยิ่งใหญ่ ตอนนี้หลาย ๆ คนซุ่มอ่านหนังสือทบทวนเนื่องจากโดนพี่นิคจับขึ้นเขียงกันทุกสัปดาห์ สำหรับคนที่ว่าง ๆ อยู่ในตู้ ก็เตรียมตัวสอบกันด้วยนะครับ...

ฝากทิ้งท้ายกันถึงมหกรรมไอเฮียร์ปาร์ตี้ครั้งที่ 2 นะ คราวนี้งานเค้าใหญ่ มีทั้งกีฬากระชับมิตร ระหว่างทีมรวมดาราหลากสีจากเปอร์ออกซี่ไทย ของรางวัลใหญ่ ๆ ทั้งนั้น พร้อมการแสดงจากศิลปินและพิธีกรชื่อดังจำนวนมา (เปิด volume แล้วพูดชื่อดัง ๆ กันหน่อยนะ.....) พบกันวันที่ 27 พ.ย. นี้แน่นอน
อ่านบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

จงเป็น อูฐ ปลา หมา ควาย !!!

เฮ้ย !!อะไรมาสั่งให้ผมเป็น อูฐ ปลา หมา ควาย แบบนี้มันยังไงกันนะ แบบนี้ต้องอ่านต่อ

วันนี้กลับมาถึงห้องนั่งท่องอินเตอเนตไปสักพักไปเจออันนี้ชอบ อ่านแล้วไม่ซีเรียสดีเลยเอามาแบ่งปันกัน

ชีวิตการทำงาน ก็คงเปรียบเหมือนคลื่นของทะเล มีราบเรียบ และมีคลื่นโหมกระหน่ำ แต่เราจะทำตัวอย่างไรให้รู้สึกดี มีความสุขในการทำงาน ไม่บั่นทอนจิตใจให้ทำงานอย่างไม่มีความสุข อย่างเช่น การทำงานสายอาชีพของการบริการ อย่างงาน customerimages Service ที่ต้องทำงานเกี่ยวกับการดูแลลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นทางโทรศัพท์หรือเผชิญหน้ากัน ต้องบอกเลยว่าคนที่จะทำงานทางสายนี้ ต้องพบปะพูดคุย หรือชนกับลูกค้าแทนบริษัท มีบ้างต้องพบเจอกับคำกร่น บ่น ต่อว่า ซึ่งนี่ล่ะ คือสิ่งที่ทำให้การทำงานนั้นลดทอนความสุขลงไป

วันนี้เลยขอนำเสนอการดำเนินชีวิต โดยนำศิลปะการคลองตัวแบบสัตว์สี่ประเภท มาบอกกัน นั่นก็คือ “อดทนเหมือนอูฐ ไม่พูดเหมือนปลา ซื่อสัตย์เหมือนหมา โง่เหมือนควาย” หากนำลักษณะเด่นแต่ละอย่างของสัตว์ทั้ง 4 ประเภท มาใช้ในชีวิตการทำงานแล้ว จะทำให้ดีขึ้นได้อย่างไร?
•จงเป็นอูฐ หมายถึง ในการทำงานบริการลูกค้านั้น บอกตามตรงเลยว่า คุณต้องอาศัยความอดทน อดกลั้น ทนฟังลูกค้าต่อว่า บ่น หรือถึงขั้นด่าว่าก็มีมาก ฉะนั้น คุณอาจต้องนับ 1-10,000 ในใจ เพื่อเก็บอารมณ์ ห้ามโต้ตอบ หรืออย่าไหลไปกับอารมณ์ของลูกค้า เรียกว่า เค้าว่าอะไรมายิ้มรับ และทำได้เพียงรับฟังแต่โดยดีเท่านั้น

•จงเป็นปลา หมายถึง บางครั้งการนิ่งเงียบ ไม่เอ่ยปากพูดอะไร ก็จะเป็นการดี เช่น ถ้าเราเจอกับลูกค้าที่ไม่มีเหตุผล และไม่เปิดใจรับฟังข้อมูลชี้แจงใด ๆ การปล่อยให้เค้าได้ระบายอารมณ์ พูดในสิ่งที่อัดอั้นตันใจของเค้านั้น ก็ดีไปอีกแบบหนึ่ง คนบางคน เวลาที่ไม่พอใจหรือมีอะไรไม่ได้ดั่งใจขึ้นมา ก็เพียงต้องการให้ได้ระบาย ฉะนั้น ถ้าเราทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดี ก็ไม่เห็นเสียหาย ดีกว่าจะไปต่อปากต่อคำให้เรื่องยิ่งบานปลาย สำนวนไทยที่ว่า พูดไปสองไพเบี้ย ยังใช้ได้สำหรับอาชีพนี้

•จงเป็นหมา หมายถึง เราต้องทำงานอย่างซื่อสัตย์สุจริตต่อลูกค้าและต่อบริษัท เพราะถ้าคุณรักจะทำงานตรงสายของการบริการลูกค้าแล้ว คุณก็ต้องไม่ลืมว่า คุณจะต้องพร้อมเสมอ ที่จะต้อง Service สิ่งดี ๆ ให้กับลูกค้า อย่าลืมว่า ถ้าไม่มีรายได้จากลูกค้าเข้ามายังบริษัท คุณก็ไม่มีเงินเดือนใช้เช่นกัน ลูกค้าก็นายจ้างของคุณ ถ้าคิดดังนี้ การนำเสนอสิ่งดี ๆ ให้กับนายย่อมถูกต้องเสมอ ต้องแสดงถึงความจริงใจในการบริการและความซื่อสัตย์ในการทำงานให้ลูกค้าเห็นว่าเรามี

•จงเป็นควาย หมายถึง อย่าเพิ่งงงว่า เอ๊....ควายทำไมมาเกี่ยวกะเรื่องของการทำงาน คนเรามักจะมองว่า ควายนั้นเป็นสัตว์ที่โง่ แต่บางครั้งการทำงาน เราเองก็ต้องทำเป็นโง่บ้างเพื่อให้ลูกค้าของเราดูฉลาดมากขึ้น ถ้าคุณเจอลูกค้าที่ชอบแสดงออก อวดรู้ว่าเค้านั้น รู้โน่น รู้นี่ ขี้โม้ ชอบโอ้อวด ให้จำไว้เถิดว่า คนพวกนี้ เค้ามักจะชอบแสดงภูมิปัญญาของตนเองให้คนอื่นได้รู้ จะเป็นไรไปเล่า ถ้าสิ่งที่เค้าพูดออกมานั้น คุณก็รู้ไม่ได้น้อยหรือมากกว่าเค้าด้วยซ้ำ แต่การแกล้งโง่ บางครั้งก็สามารถทำให้คนอื่นรู้สึกดีได้นี่ และถ้าคน ๆ นั้น คือลูกค้า การแกล้งโง่ของคุณก็สามารถทำให้คนบางคนรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองได้มาก จนกระทั่งส่งผลดีกับการทำงานบริการของคุณก็เป็นได้
อ่านบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

วัฒนธรรมองค์กรกับแรงจูงใจกลุ่ม

คราวนี้กลับมาพร้อมกลับแนวคิดเกี่ยวกับแรงจูงใจที่อยากจะแบ่งปันพวกเรา เคยสงสัยไหมว่าการที่เราจะทำอะไรบางอย่าง ทำไมบางทีก็อยากจะทำ บางทีก็ไม่อยากทำ ทำไมความรู้สึกมันต่างกันนัก จริงๆแล้วทางทฤษฎีของทางตะวันตกก็พยายามจะอธิบายเรื่องนี้โดยอธิบายในรูปแบบของแรงจูงใจในการทำงาน โดยเฉพาะกับพนักงาน ฟังดูดีใช่มั้ย แต่มันยากนะก็คนมาจากที่ต่างๆกันใครจะไปรู้หล่ะว่าคนไหนเหมาะกับแรงจูงใจอย่างไหน ฝรั่งเขาก็มีทฤษฎีมากมายมาจัดกลุ่มคนในรูปแบบต่างๆ เช่น ในเชิงมานุษยนิยมก็ต้องทฤษฎีของมาสโลว์ ที่ได้อธิบายถึงลำดับความต้องการของมนุษย์โดยที่ความต้องการจะเป็น ตัวกระตุ้น ให้มนุษย์แสดงพฤติกรรมเพื่อไปสู่ความต้องการนั้น ดังนี้ถ้าเข้าใจความต้องการของมนุษย์ก็สามารถ อธิบายถึงเรื่องแรงจูงใจของมนุษย์ได้เช่นเดียวกัน
แล้วเราจะรู้ความต้องการของมนุษย์ได้อย่างไรหล่ะ จริงๆมันก็มีแบบทดสอบมากมายที่จะให้เราทำและบอกเราว่า เรามีแรงจูงใจรูปแบบไหน บางคนในพวกเราอาจจะได้ทำมาแล้ว สุดท้ายผลลัพธ์ก็ไม่พ้น 5 รูปแบบดังต่อไปนี้

1) แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ (Achievement Motive) หมายถึง แรงจูงใจที่เป็นแรงขับให้บุคคลพยายามที่จะประกอบพฤติกรรมที่จะประสบสัมฤทธิผลตามมาตรฐานความเป็นเลิศ (Standard of Excellence) ที่ตนตั้งไว้ บุคคลที่มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์จะไม่ทำงานเพราะหวังรางวัล แต่ทำเพื่อจะประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว ้ ผู้มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์จะมีลักษณะสำคัญ ดังนี้

- มุ่งหาความสำเร็จ (Hope of Success) และกลัวความล้มเหลว (Fear of Failure)

- มีความทะเยอทะยานสูง

- ตั้งเป้าหมายสูง

- มีความรับผิดชอบในการงานดี

- มีความอดทนในการทำงาน

- รู้ความสามารถที่แท้จริงของตนเอง

- เป็นผู้ที่ทำงานอย่างมีการวางแผน

- เป็นผู้ที่ตั้งระดับความคาดหวังไว้สูง

2 ) แรงจูงใจใฝ่สัมพันธ์ (Affiliative Motive) ผู้ที่มีแรงจูงใจใฝ่สัมพันธ์ มักจะเป็นผู้ที่โอบอ้อมอารี เป็นที่รักของเพื่อน มีลักษณะเห็นใจผู้อื่น ซึ่งเมื่อศึกษาจากสภาพครอบครัวแล้วผู้ที่มีแรงจูงใจใฝ่สัมพันธ์มักจะเป็นครอบครัวที่อบอุ่น บรรยากาศในบ้านปราศจาก การแข่งขัน พ่อแม่ไม่มีลักษณะข่มขู่ พี่น้องมีความรักสามัคคีกันดี ผู้มีแรงจูงใจใฝ่สัมพันธ์จะมีลักษณะสำคัญ ดังนี้

- เมื่อทำสิ่งใดก็จะเป็นไปเพื่อได้รับการยอมรับจากกลุ่ม

- ไม่มีความทะเยอทะยาน มีความเกรงใจสูง ไม่กล้าแสดงออก

- ตั้งเป้าหมายต่ำ

- หลีกเลี่ยงการโต้แย้งมักจะคล้อยตามผู้อื่น

3 ) แรงจูงใจใฝ่อำนาจ (Power Motive) สำหรับผู้ที่มีแรงจูงใจใฝ่อำนาจนั้น พบว่า ผู้ที่มีแรงจูงใจแบบนี้ส่วนมากมักจะพัฒนามาจากความรู้สึกว่า ตนเอง "ขาด" ในบางสิ่งบางอย่างที่ต้องการ อาจจะเป็นเรื่องใดเรื่องหนึ่งก็ได้ทำให้เกิดมีความรู้สึกเป็น "ปมด้อย" เมื่อมีปมด้วยจึงพยายามสร้าง "ปมเด่น" ขึ้นมาเพื่อชดเชยกับสิ่งที่ตนเองขาด ผู้มีแรงจูงใจใฝ่อำนาจจะมีลักษณะสำคัญ ดังนี้ชอบมีอำนาจเหนือผู้อื่น ซึ่งบางครั้งอาจจะออกมาในลักษณะการก้าวร้าว

- มักจะต่อต้านสังคม

- แสวงหาชื่อเสียง

- ชอบเสี่ยง ทั้งในด้านของการทำงาน ร่างกาย และอุปสรรคต่าง ๆ

- ชอบเป็นผู้นำ

4 ) แรงจูงใจใฝ่ก้าวร้าว (Aggression Motive) ผู้ที่มีลักษณะแรงจูงใจแบบนี้มักเป็นผู้ที่ได้รับการเลี้ยงดูแบบเข้มงวดมากเกินไป บางครั้งพ่อแม่อาจจะใช้วิธีการลงโทษที่รุนแรงเกินไป ดังนั้นเด็กจึงหาทางระบายออกกับผู้อื่น หรืออาจจะเนื่องมาจากการเลียนแบบ บุคคลหรือจากสื่อต่าง ๆ ผู้มีแรงจูงใจใฝ่ก้าวร้าว จะมีลักษณะที่สำคัญดังนี้

- ถือความคิดเห็นหรือความสำคัญของตนเป็นใหญ่

- ชอบทำร้ายผู้อื่น ทั้งการทำร้ายด้วยกายหรือวาจา

5 ) แรงจูงใจใฝ่พึ่งพา (Dependency Motive) สาเหตุของการมีแรงจูงใจแบบนี้ก็เพราะการเลี้ยงดูที่พ่อแม่ทะนุถนอมมากเกินไป ไม่เปิดโอกาสให้เด็กได้ช่วยเหลือตนเอง ผู้ที่มีแรงจูงใจใฝ่ พึ่งพา จะมีลักษณะสำคัญ ดังนี้

- ไม่มั่นใจในตนเอง

- ไม่กล้าตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ด้วยตนเอง มักจะลังเล

- ไม่กล้าเสี่ยง

- ต้องการความช่วยเหลือและกำลังใจจากผู้อื่น

หลังจากประเมินจากการอ่านการจำแนกแรงจูงใจข้างบนแล้วบางคนอาจจะมีลักษณะผสมกันก็ไม่ต้องตกใจหรอกเป็นเรื่องปกติเพราะเวลาเราวิเคราะห์ตัวเรามันมองรวมไปทั้งหมดทุกสถานการณ์ ซึ่งพี่คิดว่าบุคลิคลักษณะของเราที่แสดงออกมันก็ขึ้นกับสถานการณ์ด้วยแต่ก็เอาไอ้ที่คิดว่าตรงกับเราเยอะๆนั่นแหล่ะ หรือถ้าเราจะมุ่งในเรื่องงานก็คงต้องคิดในมิติของงานอย่างเดียวก็น่าจะใกล้เคียงพอจะเรียกได้ว่า เป็นแรงจูงใจในการทำงานของเรา เรื่องของเรื่องคือทั้งตัวเราและหัวหน้างานต่างก็ต้องหาแรงจูงใจในการทำงานร่วมกัน ในส่วนหัวหน้างานก็จะยากหน่อยตรงที่ว่า ในส่วนตัวแล้วยังไม่รู้ชัดเจนเลยว่าตัวเองเป็นประเภทไหน แล้วยังต้องไปคาดคะเนว่าลูกน้องแต่ละคนมีแรงจูงใจอย่างไร ถ้ามีลูกน้องสัก 40 คนก็มึนแล้ว พี่ก็เคยคิดเหมือนกันว่าแล้วจะทำอย่างไรถึงจะสร้างบรรยากาศที่สร้างแรงจูงใจในการทำงานทั้งหัวหน้างานและลูกน้องให้เกิดขึ้นในองค์กร ก็เลยเป็นที่มาของ วัฒนธรรมองค์กร ของพวกเรา ซึ่งวิธีการนี้เราไม่ได้มุ่งเน้นวิเคราะห์แรงจูงใจรายบุคคล แต่เราจะนำแรงจูงใจมาแชร์ (share) กัน ฟังแล้วดูแปลก แต่มันก็เกิดขึ้นได้จริง เพราะเมื่อทุกคนได้มีส่วนร่วมในการสร้างแรงจูงใจในการทำงานร่วมกัน หรือ เราเรียกว่า วัฒนธรรมองค์กร (iHears) เราก็ไม่ต้องกังวลมากนักว่าเราเป็นคนที่มีแรงจูงใจประเภทไหนเพราะแรงจูงใจในการทำงานของพวกเราได้ถูกบรรจุไว้ในนั้นแล้ว แค่นี้เราก็มีความรู้สึกที่ดีในเวลาทำงานและทำงานอย่างมีความสุข

พวกเราลองวิเคราะห์ดูซิว่าเรามีแรงจูงใจประเภทไหนในการทำงาน และด้วยวัฒนธรรมองค์กร (iHears) ของพวกเราได้ตอบสนองแรงจูงใจส่วนบุคคลมากน้อยแค่ไหน
อ่านบทความทั้งหมด