วันจันทร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2553

อัพเดทอย่างต่อเนื่องกับ iHears โฉมใหม่ SHOUT BOX!!

หลังจากมีการอัพเดทรูปโฉมใหม่ของบล๊อก พร้อมทั้งเปิดห้องแชทตามคำเรียกร้องของเพื่อนๆทีมงาน แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่เห็นว่ามันยังไม่โดนใจเท่าไหร่คือห้องแชทนั้นต้องรอให้เพื่อนๆเข้ามาเล่นพร้อมๆกันถึงจะสามารถพูดคุยกันได้ แต่ถ้าเราเข้ามาคนเดียว แล้วอยากแชร์อะไรให้เพื่อนๆหล่ะเราจะทำอย่างไร ??




นี่เองเป็นปัญหาให้ขบคิดอยู่สักพักหนึ่ง แล้วจึงได้มาเป็น Shout box นั่นเอง!!!

แล้ว Shout box มันคืออะไรหล่ะ หลายคนอาจถาม...... Shout box ก็มีความคล้ายคลึงกับ Chat แต่ต่างกันตรงที่ Shout box นั้นไม่ต้องรอให้เพื่อนเข้ามาเล่นกับเรา เราสามารถ Shout(ตะโกน) ทิ้งไว้ ให้เพื่อนเข้ามาอ่านได้หลังจากนั้น ซึ่งสามารถโต้ตอบกันได้คล้ายแชท ฟังแล้วน่าลองขึ้นมากันบ้างมั้ยครับ เราลองไปศึกษาวิธีใช้ Shout box กันเลย



ขั้นแรกนี่ก็เป็นหน้าตาของ Shout box ของblog เรา ซึ่งค่อนข้างพื้นๆ (แต่ได้ผล)




โดยที่เราสามารถใส่ชื่อของเราที่ช่อง Name (ลูกศรสีแดง) แล้วใส่ข้อความที่เราอยากจะตะโกนให้เพื่อนฟังที่ช่อง Message (ลูกศรสีน้ำเงิน) เมื่อเสร็จแล้วกด Shout!(ไฮไลท์สีเหลือง)
ยังมีลูกเล่นอีกเล็กน้อยเพิ่มสีสันให้กับ Shout box ของเราลองกดปุ่ม + ข้างๆ Shout ดูสิครับ...



เชิญเข้าไปตะโกนให้สุดเสียงทางด้านล่างสุดของ iHears ในทุกเพจกันได้เลย

ขอให้สนุกกับลูกเล่นใหม่ๆที่เพิ่มเข้ามาไม่ซ้ำกันของ iHears ของเรา อย่าลืมตะโกนกันล่ะ!!




อ่านบทความทั้งหมด

วันศุกร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2553

iHears ปรับโฉมครั้งยิ่งใหญ่ ! ! !

กลับมาอีกครั้งกับห้องนั่งเล่นเจ้าเก่าที่ห่างหายไปสองสามสัปดาห์ กลับมาครั้งนี้ไม่มีคำว่าผิดหวังเพราะกลับมาพร้อมกลับโฉมใหม่ของบ้านเรา ซึ่งได้ทำการปรับเปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งหมด โดยได้รับการออกแบบและคัดสรรจากทีมงาน เพื่อความแปลกใหม่และทันสมัยกับการเปลี่ยนแปลงๆต่างๆที่จะเกิดขึ้นต่อไป

จากการที่ได้รับฟังข้อคิดเห็นของหลายคนพบว่า blog ของเรานั้นยังเป็นแบบ one-way คือ มีการโพสเรื่องใหม่ๆไปถึงจะมีคอมเมนท์กลับมา จึงมีการเสนอให้มีการสร้างอะไรที่มีการตอบโต้กันให้มากขึ้นกว่าเดิม ด้วยเหตุนี้เอง ทางทีมงานจึงได้คิดนำห้องแชทเพื่อเพิ่มการโต้ตอบซึ่งกันและกันระหว่างทีมงานได้อย่างเต็มที่

ซึ่งขั้นตอนในการเข้าห้องแชทก็ง่ายแสนง่ายตามนี้เลย
ภาพด้านบนเป็นหน้าตาแรกหลังจากเข้ามาที่หน้า blog ของเรา เพียงแค่คลิ๊ก OK เบาๆ ก็จะสามารถไปขั้นตอนต่อไปได้
ภาพด้านบนเป็นหน้าหลังจากที่เรากด OK ไปแล้วซึ่งทางด้านขวาจะเป็นรายชื่อของคนที่ออนไลน์อยู่ในหน้าเวปขณะนั้น ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีใครกำลังออนอยู่บ้าง และเราสามารถพิมโต้ตอบกับทุกคนได้ทันทีโดยไม่จำเป็นต้องกดไปที่ชื่อของคนใดคนหนึ่ง ซึ่งสิ่งที่พิมไปนั้นจะสามารถเห็นกันได้ทุกคน แต่... แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าใครเป็นใคร?
เราต้องทำการแสดงตัวโดยการพิมคำสั่ง /nick ชื่อที่ต้องการ(ภาษาอังกฤษเท่านั้น) เช่น ต้องการใช้ชื่อว่า SEXY ก็พิมว่า /nick SEXY ชื่อของเราทางด้านขวามือก็จะปรากฎเป็นชื่อ SEXY ในทันที

ง่ายมั้ยล่ะครับกับการเล่นห้องแชทของเล่นใหม่ของบล๊อก iHears ของเรา ใครมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับห้องแชท อยากให้มีอะไรเปลี่ยนแปลงแก้ไขเพิ่มเติม สามารถคอมเมนท์ได้ใยหัวข้อนี้ ทางทีมงานจะนำไปปรับปรุงแก้ไขพัฒนาให้ดีขึ้นต่อๆไป

ถ้าพร้อมแล้วพบกับห้องแชทแบบ temporary ในโพสนี้กันได้เลย

video chat provided by Tinychat
อ่านบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2553

Spice up your English with Laura... # 3 - The movie was a lot of fun

โดย ฝ่ายบุคคล

ตอนนี้ Talk of the town คงไม่มีเรื่องอะไรฮอตเกินไปกว่าหนังเรื่อง “รถไฟฟ้ามาหานะเธอ” ที่พี่เคน ธีรเดช เล่น เพื่อไม่ให้ตกเทรนด์ Laura กับแก๊งเพื่อนสาว (โสด) จึงชวนไปดูหนังกันมาแล้ว อู้ยย.. หล่อ เอ๊ย! สนุกครบรส โดนใจสุดๆ ถ้ามีโอกาสอย่าลืมไปดูให้ได้นะคะ ไม่ได้ค่าโฆษณาแต่ทำไปด้วยใจรักจริงจิ๊ง !!! วันนี้เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ Spice up your English with Laura ... จึงขอเสนอตอนที่ชื่อว่า The movie was a lot of fun. เพื่อให้เราได้เข้าใจและใช้คำว่า fun หรือ funny กันได้อย่างถูกต้อง
คำว่า "สนุก" แปลเป็นภาษาอังกฤษว่าอะไรกันแน่คะระหว่าง fun หรือ funny? คุณแอนดรูว์ บิ๊กส์ตั้งข้อสังเกตว่า คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าสองคำนี้แปลเหมือนกันเด๊ะจึงใช้เหมือนกันเป๊ะ จริง ๆ แล้ว 2 คำนี้มีความใกล้เคียงกันมากแต่คำว่า fun ให้ความหมายตรงกับคำว่าสนุก น่าทำ ไม่เครียดมากกว่า funny ค่ะ ดังตัวอย่างต่อไปนี้

· Did you enjoy that movie? I thought it was fun. (คุณชอบหนังเรื่องนั้นไหม ผมคิดว่ามันสนุกดีนะ)

· It's fun working with Pear. She makes the work so interesting. (ทำงานกับแพรสนุกดี เขาทำให้งานน่าสนใจ)

· You're a fun guy. (คุณนี่เป็นคนสนุกจัง)

ทีนี้ลองเอาคำว่า fun ออก และใส่คำว่า funny แทน โปรดสังเกตความหมายในภาษาไทยนะคะ

· Did you enjoy that movie? I thought it was funny. (คุณชอบหนังเรื่องนั้นไหม ผมคิดว่ามันตลกดีนะ)

· It's funny working with Pear. She makes me laugh all the time. (ทำงานกับแพรตลกดี เขาทำให้ฉันหัวเราะตลอดเวลา)

· You're a funny guy. (คุณนี่เป็นคนตลกจัง)

สังเกตได้ว่า funny แปลว่าตลกมากกว่าสนุก นั่นเป็นเพราะอะไรที่ funny จะทำให้คุณมีปฏิกิริยายิ้มและหัวเราะ แต่ fun เป็นอะไรที่สนุกและไม่น่าเบื่อเท่านั้น ตัวอย่างอื่นที่อาจช่วยให้เข้าใจง่ายขึ้นเช่น The show was fun. (งานแสดงนั้นสนุกจัง) และ The show was funny. (งานแสดงนั้นตลกจัง) ถ้าเราสนุกมากให้ใช้ a lot of fun หรือ much fun ...... อย่าพูดว่า very fun นะคะ เช่น The show was a lot of fun. หรือ The show was much fun. แต่ใช้ very กับ funny เช่น The show was very funny.

นอกจาก funny จะแปลว่า ตลก แล้วยังมีอีกความหมายหนึ่งว่า แปลก ผิดปกติ หรือพิลึก ด้วยเช่น

· There's something funny going on here. (มีอะไรแปลก ๆ เกิดขึ้นแถวนี้)

· That's funny. Porn said she was going to Siam Paragon but I just saw her at Platinum! (แปลกเนอะ พรบอกว่าจะไปเที่ยวสยาม พารากอน แต่เมื่อกี้เจอเค้าที่แพลทินัม!?!)

· You look funny in that tie. Take it off. (คุณใส่เนกไทดูตลกจัง ถอดออกดีกว่า)

ข้อควรระวังอย่างมากในการใช้ fun และ funny คือ ถ้าคุณอยากจะถามว่า "คุณกำลังสนุกสนานไหม" คนส่วนใหญ่มักถามว่า "Are you funny?" ซึ่งแปลว่า "คุณเป็นคนพิลึก ๆ ไหม" ที่ถูกควรใช้คำว่า Are you having fun? ค่ะ ท้ายนี้ถ้าต้องการอวยพรให้ใครสนุกกับเรื่องอะไร ให้ใช้คำว่า Have fun with ....

และถือโอกาสใช้ตัวอย่างของคำนี้เป็นการส่งท้าย Spice up your English with Laura ... สำหรับวันพฤหัสบดีนี้ ..... Have fun with the weekend! ขอให้สนุกกับวันหยุดสุดสัปดาห์นี้ พบกันศุกร์หน้า Bye for now!!
อ่านบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2553

วันอนุรักษ์ชายฝั่งสากล ปี 53

ผ่านไปด้วยดีครับ สำหรับงานวันอนุรักษ์ชายฝั่งสากล คุณบ็อบ เมย์ ผจก.โรงงาน ได้ฝากขอบคุณพวกเราทุกคนที่เข้าร่วมกิจกรรมเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาด้วย ส่วนพี่ ๆ เองอยากขอบคุณถึงความมีส่วนร่วมของพวกเราในการแสดงออกถึงความรับผิดชอบต่อสังคมซึ่งเป็นส่วนสำคัญในวัฒนธรรมการทำงาน iHears

ในฐานะที่ได้เข้าร่วมทำความสะอาดชายหาดเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา....พี่อยากขอบคุณทีมงานโอเปอเรชันดังรายชื่อ.....
พี่ใหญ่, พี่แตน, พี่มิตร, พี่เจี๊ยบ, พี่นนท์, พี่อาท, พี่โก๋, พี่โจ้, พี่อ๋อง, พี่ยา ที่เป็นหน้าหล่อ ๆ ของทีมงานไปร่วมพิธีเปิด และยังตามมาเป็นกองหนุนในช่วงสาย

พี่โอ๊ต พี่ตั้ม พี่อิฐ พี่ฝ้าย พี่จุก พี่ที พี่แบงค์เล็กและใหญ่ พี่เร พี่ดิว พี่สิทธิ์ พี่ต้าร์ พี่ภพ พี่กอล์ฟ เป็นพลังหนุ่มที่ไปเป็นแกนนำสำคัญในการทำความสะอาดชายหาดตั้งแต่ช่วงเช้า

หวังว่าจะได้รับพลังและความร่วมมืออย่างนี้จากทุกคนต่อไปครับ
อ่านบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2553

Spice up your English with Laura... # 2 - Hey you! You! You!



โดย ฝ่ายบุคคล

ขอเสนอตอนที่ชื่อว่า "Hey you! You! You!" ซึ่งนับว่าเป็นคำที่คนไทยมักพูดผิดเป็นอันดับที่ 1 อ้างอิงจากหนังสือของคุณแอนดรูว์ บิ๊กส์นั่นแหล่ะค่ะ

คนไทยมักใช้คำว่า "Hey you! Hey you you! Hey YOU!" เพื่อเรียกความสนใจจากชาวต่างชาติ โดยมักจะเข้าใจกันว่าไอ้คำเนี้ยมันน่าจะคล้าย ๆ กับที่บ้านเราใช้ร้องเรียกคนแปลกหน้าว่า "คุณ! คุณ! คุณครับ คุณนั่นแหละ" อะไรทำนองนั้น แต่ว่าความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ คำว่า Hey you ไม่ใช่คำสุภาพนะคะ ยิ่งไปกว่านั้นมันหยาบคายและอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพของคุณ
สมมติว่าคุณกำลังเดินอยู่ข้างถนนตามลำพัง ทันใดนั้นคุณได้ยินเสียงหนึ่งเหมือนจะเป็นการเรียกความสนใจจากคุณ คน ๆ นั้นเป็นคนแปลกหน้าและเขากำลังตะโกนเรียกคุณว่า "เฮ้อแก ... แกโว้ย,,, มึงนั่นแหละ" ขออภัยที่ต้องใช้คำไม่สุภาพในที่นี้นะคะ เพราะแปลความหมายออกมาเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ค่ะ ฝรั่งส่วนใหญ่ที่อยู่เมืองไทยนานแล้วจะเข้าใจและให้อภัยคนไทยในเรื่องนี้ว่าเราไม่ได้หาเรื่องเค้าอยู่ แต่ถ้าไปเจอฝรั่งขี้หงุดหงิดอาจไม่เข้าใจก็จะโกรธ... แล้วอาจโดดชกหน้าคุณได้

ดังนั้นเราไม่ควรร้องเรียกชาวต่างชาติว่า Hey you! เด็ดขาด ไม่มีกรณีใด ๆ ที่ทำให้มันฟังดูดีได้เลยค่ะ ถ้าอยากจะร้องเรียกให้เขาหันมาหาเรา อาจใช้คำ 2 คำดังต่อไปนี้

· Excuse me? หรือ Pardon me? แปลว่า ขอโทษค่ะ ขอโทษครับ ถามในรูปคำถามโดยอย่าลืมขึ้นเสียงสูงตอนท้าย (เอ๊กซ-ควิส-มี้) คำนี้จะใช้ได้ผลสุดสุด

· Sir? Madam? แปลว่า คุณผู้ชายคะ คุณผู้หญิงคะ คำนี้สุภาพม้ากมาก อาจมากไปนิดสำหรับชีวิตประจำวัน

สรุปว่า เราควรหันมาใช้ Excuse me? หรือ Pardon me! แทน Hey you! จะสุภาพและปลอดภัยกว่ากันเยอะเลยค่ะ

ก่อนจบ มีคำถามถามมาว่า How about กับ What about มีวิธีการใช้ต่างกันอย่างไร How about นั้นใช้ในการชักชวน หรือใช้เป็นคำถามรองเพื่อถามกลับ (รายละเอียดอ่านได้ในฉบับแรก) ส่วน What about นั้นใช้ในการถามว่าอะไรบางสิ่งบางอย่างเป็นอย่างไร หรือเพื่อชี้ประเด็นหรือเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ดังตัวอย่างบทสนทนา

ก้อย: How about going to the cinema? (เราไปดูหนังกัน ดีไหม)
เตย: What about your exam tomorrow? (แล้วเรื่องการเตรียมสอบของเธอวันพรุ่งนี้ล่ะ)
ก้อย: Oh, I'll study after the movie. (อ๋อ ฉันจะทบทวนหลังจากดูหนังเสร็จเอง)
อ่านบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2553

Spice up your English with Laura... # 1 - How about Pattaya ???


โดย ฝ่ายบุคคล

ยินดีต้อนรับสู่ Spice up your English with Laura ... ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในความพยายามที่จะสร้างโอกาสในการพัฒนาทักษะทางภาษาอังกฤษให้กับเพื่อน ๆ ชาว Solvay ด้วยการส่งสาระความรู้สั้น ๆ เกี่ยวกับภาษาอังกฤษที่คนไทยมักพูดผิดใช้ผิดมาให้เพื่อนๆได้เรียนรู้และทำความเข้าใจกันทุก ๆ วันศุกร์ สาระที่จะนำมาเสนอเหล่านี้ มีพื้นฐานความรู้มาจากหนังสือ "Oops! ผิดอีกแล้ว" ของคุณแอนดรูว์ บิ๊กส์ ซึ่งได้รวบรวมมาจากประสบการณ์ส่วนตัวหลังจากใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทยกว่า 20 ปี
ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจว่าการพัฒนาความสามารถทางภาษานั้นเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา ความพยายามในการฝึกฝนทุกวัน แต่ถ้าเราหมั่นเรียนรู้วันละนิด ซักกะติ๊ด Little bit and little more แล้วหล่ะก้อ รับรองว่าภาษาอังกฤษของเราก็จะดีขึ้น ๆ ตามลำดับ เอาหล่ะค่ะเรามาเริ่มกันเลยจากคำง่าย ๆ ที่ใช้กันบ่อย ๆ ได้ยินกันทุกวัน โดยวันนี้ขอเสนอในตอนที่ชื่อว่า "How about Pattaya?"

สาเหตุหลักที่ทำให้คนไทยพูดภาษาอังกฤษผิด ก็คือคนไทยชอบแปลตรงตัวจากไทยเป็นอังกฤษ คนไทยชอบถาม How about เพื่อถามถึงหลายอย่าง เช่น How about work? How about holiday? How about your weekend? How about your fried rice? คำถามเหล่านี้มักจะเป็นการถามว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งเป็นการแปลตรงตัวจากภาษาไทยที่ว่า อะไรบางอย่างเป็นอย่างไรบ้าง

คนไทยใช้คำว่า อย่างไร มากกว่าฝรั่งใช้คำว่า how ฝรั่งจะไม่ใช้คำถาม how about ในลักษณะที่เป็นคำถามแรก หากตั้งใจจะถามขอให้ถามโดยใช้คำถามต่อไปนี้

1. อยากถามว่า สถานที่ สถานการณ์ เหตุการณ์ อาหารหรือบุคคล เป็นอย่างไร ให้ใช้ How ควบกับ verb to be คือ How is/are/ was/were/ will be เช่น How are you? (คุณสบายดีไหม) How is work? (งานเป็นไงบ้าง) How was your holiday? (เสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง) How's John? (ไอ้จ้อนสบายดีบ่)

2. ถ้าอยากถามถึงลักษณะนิสัยของใครหรือสิ่งใด ให้ใช้ What is (สิ่งนั้น) like? ไม่ใช่เป็นการถามถึงเหตุการณ์เฉพาะนะคะแต่เป็นการถามถึงภาพรวมของสิ่งนั้น ซึ่งจะให้ความหมาย และเข้าใจง่ายกว่า How about เช่น What’s Somchai like? (สมชายเป็นคนแบบไหนนะ) What's Pattaya like? (พัทยาเป็นอย่างไร ... สำหรับคนที่ไม่เคยไป แล้วอยากรู้ข้อมูลก่อน)

3. ไม่ได้หมายความว่าฝรั่งไม่ใช้ How about นะคะ แต่เขาใช้ในการชักชวนมากกว่า เช่น How about going to the movies tonight? (คืนนี้เราไปดูหนังกันดีไหม) How about dinner? (เรากินข้าวมื้อเย็นกันดีไหม) How about asking her out? (เอาเป็นว่าคุณชวนเธอออกไปเที่ยวดีไหม)

4. อย่างที่บอกตั้งแต่แรกว่า เขาไม่ใช้ how about เป็นคำถามแรก แต่เป็นคำถามรองได้นะคะ ส่วนใหญ่ใช้ถามกลับหลังจากที่มีใครมาถามเราก่อน ดังตัวอย่างบทสนทนาต่อไปนี้

ติ๊ก: How's your Somtam and Lab? (ส้มตำกับลาบที่เธอกำลังกินอยู่เป็นอย่างไรบ้าง)

เตย: Great! How about yours? (อร่อยมากค่ะ แล้วของเธอหล่ะ)

ติ๊ก: Not bad. And how's your job? (ก็ไม่เลว แล้วงานของเธอเป็นอย่างไรบ้างจ๊ะ)

เตย: Very busy. How about your work? (ยุ่ง ๆ ค่ะ แล้วของเธอหล่ะ)

ติ๊ก: So-so. I have to return to my work now. See you later. (งั้น ๆ ฉันต้องกลับไปทำงานต่อแล้วหล่ะ แล้วค่อยพบกันอีกนะคะ)

เตย: See you. (แล้วพบกันค่ะ)

สรุปว่า เราควรหันมาใช้ How is ... ? กับ What is (something) like? แทน How about ... ? กันดีกว่านะคะ
อ่านบทความทั้งหมด

วันศุกร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2553

ห้องสมุด


ห้องนี้เกิดจากคำแนะนำของพวกเราหลายๆคนที่อยากมีส่วนร่วมในบล็อกแห่งนี้มากกว่าแค่การเข้ามาอ่านและแสดงความคิดเห็น จากข้อเสนอแนะดังกล่าวทำให้พี่มาคิดถึงห้องต่างๆในบ้านของเรา ได้แก่ ห้องนั่งเล่น และ ห้องน้ำ ว่าจะใช้ห้องไหนเป็นห้องที่ตอบสนองต่อข้อเสนอแนะของพวกเรา พี่พบว่าห้องนั่งเล่นมีไว้เพื่อรวบรวมเรื่องสบายๆเหมือนกับการที่เรามาคุยกันในบรรยากาสผ่อนคลาย เรื่องที่มาแชร์ควรเป็นเรื่องเบาๆหน่อย ห้องน้ำก็มีไว้ปลดทุกข์ ส่วนแนวคิดก็จะเป็นเรื่องที่มุ่งเน้นองค์ความรู้ที่ประยุกต์และเชื่อมโยงกับการสร้างวัฒนธรรมองค์กร จึงไม่มีห้องไหนที่เหมาะกับข้อเสนอนี้
พี่เลยคิดถึง “ห้องสมุด” ที่น่าจะตอบสนองต่อความต้องการของพวกเราเพราะสามารถรวบรวมเรื่องที่เป็นสาระที่ออกแนวจริงจังหน่อย เป็นแหล่งความรู้ที่หลากหลายและความรู้ในห้องนี้น่าจะมาจากการที่พวกเรามีส่วนร่วมในการแบ่งปันเรื่องต่างๆที่มีประโยชน์ อาจเป็นเรื่องเทคนิคการเล่นดนตรี กีฬา วิธีการดัดต้นไม้ ภาษาอังกฤษ เป็นต้น

การมีส่วนร่วมก็ง่ายๆแค่พวกเรานำเรื่องที่ต้องการจะมาแชร์ให้กับเพื่อนๆมาให้พวกพี่ช่วยกันแนะนำก่อนโพสลงในบล็อก เพื่อให้มั่นใจข้อมูลดังกล่าวถูกต้องและเหมาะสมในการเผยแพร่ ชื่อหรือนามแฝงของพวกเราจะถูกระบุลงในบทความของเรา

พี่เลยขอถือโอกาสนี้เปิดตัวห้องสมุด และขอเชิญชวนนักเขียนหน้าใหม่ๆเข้ามาแบ่งปันเรื่องราวที่มีประโยชน์ด้วยครับ พวกเราสามารถแสดงความคิดเห็นได้ในบทความนี้เพื่อปรับปรุงห้องนี้ได้ตลอดเวลาครับ
อ่านบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2553

Technology and Market : Push/Pull


เห็นชื่อภาษาอังกฤษแล้วอย่าเพิ่งตกใจ พี่ได้ไอเดียนี้มาจากการประชุมเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ขณะที่ผู้บริหารของโซลเวย์ได้นำเสนอการเติบโตของบริษัทซึ่งแน่นอนว่าเป็นมุมมองในแง่ของธุรกิจ และบอกให้พนักงานในระดับผู้บริหารรับรู้ถึงวิสัยทัศน์ต่อการขยายธุรกิจในอนาคต พี่เลยอยากถ่ายทอดแนวคิดเชิงธุรกิจให้กับทีมงานเพื่อเป็นพื้นฐานในการอธิบายกลยุทธ์ของบริษัทและน่าจะทำให้เรามั่นใจในการเจริญเติบโตขององค์กรในอนาคต
เรื่องการขยายธุรกิจของบริษัทใดๆนั้นจริงๆแล้วมันมีอยู่ 4 มุมมองหลักเป็นตัวขับเคลื่อน

1) Technology Push เป็นการผลักดันความเจริญเติบโตของธุรกิจโดยอาศัยการพัฒนาด้านเทคโนโลยี หมายถึงการที่ธุรกิจนั้นๆพยายามสร้างความต้องการในสินค้าโดยอาศัยการวิจัยและสร้างเทคโนโลยีที่โดดเด่น ส่วนมากจะสัมพันธ์กับแผนการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ หรือ วัฏจักรของนวัตกรรม เช่น ในอุตสาหกรรมไอทีต่างๆ พวกเราจะเห็นว่าบริษัทที่เป็นผู้นำในด้านนี้ (Leader) จะพยายามคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆมากระตุ้นความอยากของพวกเราตลอดเวลา และ แต่ละครั้งที่มันออกใหม่ราคาจะแพงมากแต่พอคู่แข่งอื่นๆ (Follower) ทำตามจนมีสินค้าประเภทเดียวกันออกตามมา ราคาก็จะเริ่มถูกลง คนที่เป็นผู้นำก็ต้องคิดเทคโนโลยีใหม่ๆออกมาอีก เป็นวัฏจักรแบบนี้เรื่อยไป ใครหยุดก็จะออกจากวงการนี้ไปโดยอัตโนมัติ ลองนึกถึงการพัฒนาของคอมพิวเตอร์หรือมือถือแล้วเราจะนึกออก

2) Technology Pull เป็นมุมมองเชิงตั้งรับมักจะอาศัยการพัฒนาเทคโนโลยีที่มีอยู่ในตลาดเพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นของลูกค้า เปลี่ยนลูกเล่นของสินค้าเพื่อจูงใจให้ลูกค้าซื้อผลิตภัณฑ์ เช่น ไมเนอร์เชนจ์รุ่นรถยนต์ เพื่อดึงยอดการขาย จะเห็นว่าเป็นการทำเพื่อยืดยอดขายแต่ก็ได้แต่ระดับหนึ่งเท่านั้นและจะทำเมื่อวงจรของสินค้านั้นๆอยู่ในจุดที่อิ่มตัวทางการตลาด

3) Market Pull เป็นมุมมองทางการตลาดที่ใช้ความต้องการทางการตลาดเป็นตัวดึงให้เกิดความเจริญเติบโตของธุรกิจ หมายถึงการที่ธุรกิจนั้นๆอาศัยการวิจัยทางการตลาดและเห็นช่องทางทางการตลาดที่มีต่อสินค้านั้นๆ เช่น ลูกค้ามีความต้องการต่อสินค้านั้นๆแต่กำลังการผลิตยังไม่พอเพียง ก็เป็นโอกาสของธุรกิจที่จะขยายกำลังการผลิต เป็นที่แน่นอนว่าธุรกิจใดที่เห็นโอกาสก่อนก็จะมีโอกาสมากกว่าในฐานะของผู้นำในด้านนี้ (Leader)

4) Market Push เป็นมุมมองในเชิงรุกโดยอาศัยการสร้างโอกาสทางการตลาด ธุรกิจสร้างความต้องการทางการตลาดให้เกิดขึ้นโดยการให้ความรู้ในเรื่องผลิตภัณฑ์แก่ลูกค้า จนลูกค้าเกิดความตระหนักในประโยชน์ของผลิตภัณฑ์ ซึ่งจะทำให้ธุรกิจได้ค้นพบตลาดใหม่ๆและเป็นผู้นำในการสร้างมาตรฐานของผลิตภัณฑ์นั้นๆในอนาคตหรือเป็นผู้นำทางการตลาด

เมื่อเราจับคู่มุมมองทางเทคโนโลยีและมุมมองทางการตลาดดังกล่าวจะทำให้เราได้กลยุทธ์ที่จะตอบสนองความต้องการของตลาดในรูปแบบต่างๆ 4 ประเภท

1) Technology Pull vs Market Pull = Reacting to demand (กลยุทธ์เชิงตั้งรับ ผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด ณ.ขณะนั้น)

2) Technology Pull vs Market Push = Seeding demand (กลยุทธ์ที่สร้างความต้องการของลูกค้าโดยอาศัยการขับเคลื่อนทางการตลาด)

3) Technology Push vs Market Pull = Meeting demand (กลยุทธ์เติมเต็มความต้องการของตลาดโดยอาศัยเทคโนโลยี)

4) Technology Push vs Market Push = Anticipating demand (กลยุทธ์ทางธุรกิจเชิงรุกโดยการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าในอนาคตซึ่งอาศัยการวิจัยทางการตลาด)

มาถึงตอนนี้พวกเราคงจะเข้าใจว่าทำไม โซลเวย์ ถึงตัดสินใจสร้างโรงงานผลิตไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่ประเทศไทย และถ้าเราสามารถเชื่อมโยงสภาวะของการเจริญเติบโตของบริษัทกับกลยุทธ์ต่างๆข้างต้นได้ เราจะเห็นว่าการทำงานของพวกเรานั้นมีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมปลายน้ำและลูกค้าอย่างมาก การรับพวกเราเข้าเป็นส่วนหนึ่งของทีมงานก็เป็นผลจากกลยุทธ์เชิงรุกของบริษัทด้วยเช่นกัน

จากข้อมูลข้างบนพวกเราคิดว่าบริษัทเราใช้กลยุทธ์ใดอยู่ในขณะนี้ (ใครตอบถูกใจจะมีรางวัล)
อ่านบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2553

เรารู้รึยัง ว่าเราไม่รู้อะไร??

ผ่านไปแล้ว 2 เดือนนับจากวันที่พวกเราเข้ามา ผ่านไปไวเหลือเกินนะครับ หลายคนได้เรียนรู้มากขึ้นถึงในชีวิตการทำงานซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับการใช้ชีวิตอยู่ในรั้วโรงเรียน สำหรับคนที่เคยทำงานมาแล้ว (แม้กระทั่งตัวพี่เอง) ก็รู้สึกได้ว่าชีวิตการทำงานที่นี่ก็แตกต่างกับที่อื่น ไม่เพียงแต่ในเรื่องของความรู้และนวัตกรรมที่เราต้องเรียนรู้ แต่ในเชิงวัฒนธรรมการทำงานก็เช่นกัน

จากการพูดคุยกับน้อง ๆ หลายคนทั้งในแบบเป็นทางการบ้าง ไม่เป็นทางการบ้าง ทำให้รู้ถึงปัญหาของ หลายคนที่ค่อนข้างคล้ายคลึงกัน ว่าตัวเองควรจะไปอ่านไปดูตรงไหน และตอบอะไรผิดอะไรพลาดไปจนทำให้ต้องมานั่ง (ซ่อม) อยู่ตรงนี้ อยากถือโอกาสนี้มาเล่าให้ฟังครับ อย่างน้อยก็ให้เราเช็คตัวเอง แล้วก็แก้ไขไม่ต้องให้มานั่งซ่อมอีกครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 ละกัน เพราะพี่เองก็ไม่รู้ว่าถึงตอนนั้นเราจะมีเวลามานั่งซ่อมกันอีกรึเปล่า......
ว่ากันแล้วเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ มันก็อิงกับเรื่องแผนภูมิการเรียนรู้ ของมาสโลว์ ในความหมายที่อยากจะสื่อออกมา อาจจะไม่เหมือนกับทฤษฏีเป๊ะ ๆ แต่อยากให้เข้าใจในเชิงกว้าง ๆ ถึงพัฒนาการในการเรียนรู้ ของมนุษย์ธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ในการพัฒนาศักยภาพของคน คนหนึ่งอาจแบ่งได้เป็น 4 ระดับ

ระดับ 4 ประเภทไม่ตระหนัก ว่าไม่รู้ เป็นประเภทที่ว่าไม่รู้ว่าตัวเองไม่รู้อะไร หรือไม่รู้ว่าต้องมีทักษะอะไร หรือขาดตกในเรื่องใดจึงจะเป็นคนมีศักยภาพ
ระดับ 3 ประเภท ตระหนักว่าไม่รู้ เป็นประเภทที่รู้แล้วว่าตัวเองกำลังจะไปทำอะไร แล้วตัวเองยังขาดทักษะอะไร หรือทำอะไรไม่ได้
ระดับ 2 ประเภทไม่ตระหนักว่ารู้ เป็นประเภทที่จริง ๆ แล้วมีทักษะหรือความเชี่ยวชาญอยู่โดยไม่รู้ตัว อาจเป็นพรสวรรค์ หรือจริง ๆ ก็ได้รับการอบรมบ่มนิสัยมาจากพ่อแม่ครูอาจารย์ในวัยเยาว์นั่นแหละ แต่ไม่รู้ว่าทักษะที่ตัวเองมีอยู่จากวัยเยาว์มันนำมาใช้ในสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบันได้ เช่น เรามักมองว่าคนจีนรุ่นพ่อแม่เราเป็นพวกหัวการค้า ค้าขายอะไรก็ร่ำรวย เด็ก ๆ ที่เกิดมาในครอบครัวคนจีนไปทำมาค้าขายอะไร หยิบจับอะไร ก็เป็นเงินทองไปหมด ทั้ง ๆ ที่พวกเค้าก็ไม่ได้เรียนสูงจบเศรษฐศาสตร์ การเงิน เอ็มบีเอ หรืออะไร ๆ ที่คนสมัยใหม่ชอบเรียนกันหรอก บางคนเรียนจบประถมด้วยซ้ำ แต่ด้วยความที่พ่อแม่หรือญาติผู้ใหญ่จำกัดกรอบความเป็นอยู่ให้เป็นเด็กรักดี ช่างจดจำ เรียนรู้นอกห้องเรียน ประหยัด มัธยัสถ์ อดทนและคิดการไกล ซึ่งท้ายที่สุดเป็นคุณสมบัติที่บ่มเพาะให้การเป็นพ่อค้า เจ้าสัวที่ประสบความสำเร็จโดยไม่ได้มีดีกรีอะไร
ระดับ 1 ตระหนักว่ารู้ รู้แล้วว่าเรารู้และเข้าใจในเรื่องนั้น คนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่พัฒนาจากคนในระดับที่ 3 สำหรับกลุ่มที่ 2 เอง การเปิดโลกทรรศน์ หรือการทดสอบเปรียบเทียบตัวเองกับโลกภายนอกก็สามารถส่งผลให้ปรับระดับกลายเป็นระดับที่ 1 ได้เช่นกัน

สาระอันหนึ่งที่มาสโลว์พูดเอาไว้ด้วยคือ คนที่ตระหนักว่ารู้แล้วในท้ายที่สุดเมื่อไปทำงานใด ๆ ก็จะทำไปโดยอัตโนมัติโดยไม่ได้มานั่งนึกถึงลำดับขั้น เหมือนกับทำไปโดยสัญชาตญาณ ซึ่งจะกลับไปคล้ายกับระดับที่ 2 คือไม่ตระหนักว่ารู้ (แต่ช้านนนนทำได้เอง......)

ทีนี้ถ้าเรามาจัดอยู่ในระดับ 1 กับ 2 มันก็คงไม่ต้องมากลุ้มมากหรอก เพราะว่าเรามันเป็นผู้รู้ไปแล้ว (ช่วยไม่ได้จริง ๆ คนมันเก่ง...) สำหรับระดับที่ 3 นี่ก็ยังโอเค เพราะว่ามันรู้แล้วว่าเราไม่รู้อะไร ก็ไปหาไปขวนขวายให้ตัวเองรู้มากขึ้นซะ แต่ถ้าตกอยู่ในระดับ 4 แบบที่หลาย ๆ คนถามนี่สิน่าหนักอก..

ถ้าอยากหลุดจากระดับจิตแบบที่ 4 แล้วจะทำไง จะมานั่งคิดว่าเราแย่กว่าคนอื่น สู้เพื่อนไม่ได้คงไม่สร้างสรรค์เป็นแน่ รังแต่จะสร้างพลังในเชิงลบแก่ตัวเอง และคนรอบข้างไปเรื่อย ๆ ถ้าใครคิดแบบนี้ให้ลองกลับไปนั่ง ‘ส่องกระจกทางความคิด’ ดูก่อน...จนเริ่มจะมีความคิดให้ตัวเองว่าจะทำยังไงได้ให้มันดีขึ้น....นั่นแหละแปลว่าเราเริ่มมาอยู่ในเส้นทางที่มันถูกมันควรแล้ว ทีนี้มาดูกันว่าเราจะมาแก้ไขยังไงให้หลุดออกจากระดับจิตแบบที่ 4

เปิดโลกทรรศน์ พูดง่าย ๆ คือเปิดใจนั่นแหละ ลองหาเพื่อนที่ดี พี่ที่ดี น้องที่ดี ที่ใกล้ชิดและรู้จักเรามาพอสมควร เล่าให้เค้าฟังว่าที่เราคิดเราเป็นเราเข้าใจน่ะมันถูกรึยัง....เปิดใจแล้วก็ต้องรับฟังด้วยนะ....แบบนี้แหละที่เราพูดกันบ่อย ๆ ว่า “เปิดใจรับฟัง และพัฒนาไปสู่สิ่งที่ดีกว่า”

ศึกษาดูงานประเทศเพื่อนบ้าน การหมกตัวอยู่ในข้าวสีเหลือง ๆ เป็นข้าวหมกไก่ไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นหรอก ลองลุกขึ้นมามองเพื่อนทำ ฟังเพื่อนคุย ร่วมคิดตามเพื่อน ๆ พี่ ๆ การออกไปพบไปคุยกับคนข้างนอกในเชิงสร้างสรรค์บ้างน่ะ มันก็ทำให้เราเรียนรู้ในสิ่งที่ขาดหายไปได้ แล้วก็จะได้เทียบกันไปด้วยว่าเราน่ะรู้ในแบบที่คนทั่วไปเค้ารู้ด้วยรึเปล่า

คำถามง่าย ที่บางครั้งตอบยาก ๆ แต่ควรถามตัวเองบ่อย ๆ อันนี้สำคัญครับ ลองถามตัวเองในเรื่องที่เราเรียนรู้เสมอ ๆ ว่า อะไร-What (ไอ้ที่เราเรียนเนี่ยมันคืออะไร) ยังไง-How (มันทำงานยังไง เราจะใช้มันยังไงดี) ที่ไหน-Where (ไอ้เนี่ยมันอยู่ที่ไหน) เมื่อไหร่-When (แล้วเมื่อไหร่ เราถึงต้องไปยุ่งกับมัน) ใคร-Who (ใครบ้างต้องไปข้องแวะกับมัน) ทำไม-Why (ทำไมต้องไปยุ่งไปแคร์กับมันด้วย...จำเป็นแค่ไหน)

หาคำตอบ..ถามคำถามข้างบนกับตัวเองแล้วถ้าตอบไม่ได้อย่านั่งเฉย ๆ หรือรอเพื่อนมาเข้าฝันบอก...จริง ๆ แล้วเราจะรู้หรือไม่ มากน้อยแค่ไหน ต้องเริ่มจากตัวเราหาคำตอบเป็นอันดับแรก

เช็ค...หรือตรวจสอบว่าสิ่งที่เรารู้น่ะมันถูกมั้ย การสอบการเป็นเครื่องมือนึงของเรื่องนี้ พี่พยายามจะบอกกลาย ๆ น่ะครับว่าที่สอบ ๆ กันน่ะ อย่ากลัวกันนักเลย อันที่จริงการที่เรามานั่งทำงานกันอยู่ทุกวันนี้ มันก็มาจากที่เราอุตส่าห์ทนเรียน ทนสอบกันมาในโรงเรียนไม่ใช่หรือ แล้วยังมานั่งให้พี่สอบ (สัมภาษณ์) กันตั้งหลายรอบ....จนผ่านแล้วได้มาทำงานที่นี่ เพราะฉะนั้นจะว่ากันจริง ๆ การสอบก็เป็นการตรวจเช็คที่ดีนะครับ

ก่อนที่จะสอบ ก่อนที่จะทำงานกันแบบจริงจังมากขึ้นในอนาคต ลองคิดและถามตัวเองดูกันดีกว่าครับ ว่าเรารู้รึยังว่าเราไม่รู้อะไร..........................
อ่านบทความทั้งหมด