วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2554

สัจจะ


"สัจจะ" แปลว่า ความสัตย์ ความซื่อ ถ้าขยายความตามศัพท์แยกได้ 3 ลักษณะคือ มีความจริง ความตรง และความแท้ จริง คือ ไม่เล่น ตรง คือ ความประพฤติทางกาย วาจา ตรงไม่บิดพลิ้ว ไม่บ่ายเบี่ยง แท้ คือ ไม่เหลวไหล ตรงข้ามกับคำว่า อสัจ ซึ่งแปลว่า ไม่จริง บิดพลิ้ว แต่ถ้าในทางปฏิบัติสัจจะ คือ ความรับผิดชอบ หมายความว่า ถ้าจะทำอะไรแล้ว ต้องตั้งใจทำจริง ทำอย่างสุดความสามารถให้เป็นผลสำเร็จ การที่ใครจะสามารถสร้างตัวขึ้นมาได้นั้น ต้องมีสัจจะเป็นพื้นฐาน เพราะคนที่มีสัจจะ เป็นพื้นฐานจะมีความรับผิดชอบต่องานที่ทำทุกอย่าง ไม่ปล่อยผ่านกับสิ่งที่ได้รับมา จะทำทุกสิ่ง ที่มาถึงมืออย่างสุดกำลัง และเต็มความสามารถ
ลักษณะของสัจจะ มีด้วยกัน 5 ประการ คือ

ประการที่ 1 สัจจะต่อความดี

ก็คือ การประพฤติตนเป็นคนเที่ยงแท้ มั่นคงต่อความดีไม่หันเหไปในทางชั่ว ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์เช่นไร ในทางปฏิบัติ การจะมีสัจจะต่อความดีได้นั้น ต้องคิดให้เห็นถึงคุณความดีได้อย่างแจ่มแจ้ง และเห็นโทษของความชั่วได้ชัดเจน พยายามรักษาความดีในตนไว้ ถ้าเป็นฆราวาสก็ต้องละ กรรมกิเลส 4, อคติ 4, อบายมุข 6 และต้องปรับความเห็นของตนให้ถูก ให้เป็นสัมมาทิฏฐิให้ได้ หากเป็นพระก็ต้องรักษาสิกขาวินัย สืบทอดพระพุทธศาสนา หากเป็นฆราวาส ก็ต้องทำมาหากินตั้งตนให้ได้ สร้างหลักฐานให้กับวงศ์ตระกูล ใครจะอยู่ในหน้าที่อะไรก็ต้องพยายามหาดีของตนให้ได้ หากหาดีนอกทางเสียแล้วก็จะเสียความจริงต่อความดี

ประการที่ 2 สัจจะต่อหน้าที่

คือ การที่ใครก็ตามที่เกิดมาย่อมมีหน้าที่ติดตัวมาด้วยกันทั้งนั้น ดังนั้น จึงควรมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตน ใครเป็นหัวหน้าก็ตั้งใจพัฒนาองค์กรและลูกน้อง ใครเป็นลูกน้องก็ตั้งใจทำงานในส่วนที่ตนเองรับผิดชอบให้ดี ไม่ให้มีความบกพร่อง ไม่ว่าใครจะเป็นอะไร ก็ทุ่มไปกับหน้าที่ของตัวให้เต็มที่ หากทำเช่นนี้ได้จึงเรียกว่า มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่

ประการที่ 3 สัจจะต่อการงาน

สัจจะต่อการงาน ก็คือการตั้งสัจจะลงไปในงาน หมายถึงการทำงานนั้นต้องทำจริง ไม่ทำเหยาะๆ แหยะๆ หรือทำเล่นๆ ดังนั้น เมื่อมีหน้าที่แล้วก็ย่อมมีงานตามมา จะเป็นอะไรก็มีหน้าที่และมีงานตามมา ยิ่งอายุมาก หน้าที่ก็ยิ่งมากเป็นเงาตามตัว เมื่อหน้าที่มาก งานก็มากด้วยเช่นกัน
คนที่ไม่จริงต่อการงาน มีอยู่ 3 ประเภทด้วยกัน คือ
พวก "ทุจฺจริตํ" คือ พวกที่ทำงานเสีย
พวก "สิถิลํ" คือ พวกที่ทำงานเหลาะแหละ
พวก "อากุลํ" คือ พวกที่ทำงานคั่งค้าง
หากทำอย่างนี้จะเสียสัจจะต่อการงาน วิธีแก้ก็คือ ทำให้ดี ทำให้เคร่งครัด ทำให้เสร็จสิ้น หากทำได้ก็จะกลายเป็นสัจจะต่อการงานอีกประการหนึ่ง เรามักได้ยินคำพังเพยว่า "เรือล่มเมื่อจอด" คำนี้ใช้กับผู้ที่เคยทำดีมาแล้ว แต่ประมาทเมื่อปลายมือ เพราะไม่ตั้งใจทำให้ดีที่สุดหรือทำสักแต่ว่าทำ เพราะฉะนั้น เมื่อทำความดีแล้ว ต้องทำให้ดีพร้อม จนใครๆ ก็ทำให้ดีกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว คือ ต้องทำงานชิ้นนั้นให้สำเร็จให้ได้และให้ดีที่สุด นี่คือความรับผิดชอบของคนที่มีสัจจะต่อการงาน

ประการที่ 4 สัจจะต่อวาจา

สัจจะต่อวาจา คือ จริงต่อวาจา นั่นก็คือคำพูดของเราเอง ไม่ว่าจะเป็นการพูดด้วยปาก หรือการเขียน ตลอดจนการแสดงอาการที่เป็นการปฏิญาณต่อผู้อื่นก็ตาม จัดอยู่ในเรื่องของวาจาได้ สัจจะต่อวาจามีอยู่ด้วยกัน 2 ประเภท คือ
พูดอย่างไรทำอย่างนั้น คือ เมื่อพูดออกไปแล้วก็ต้องพยายามทำให้ได้จริงตามที่พูด
ทำอย่างไรพูดอย่างนั้น คือ การพูดคำจริง เมื่อเราทำอะไรลงไปก็พูดไปตามนั้น การกระทำต้องตรงกับคำพูดของตัวเองเสมอ

ประการที่ 5 สัจจะต่อบุคคล

สัจจะต่อบุคคล คือ ต้องจริงต่อบุคคล ในที่นี้คือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับตัวเราจริงต่อบุคคลนั้น หมายถึง การเป็นผู้ที่ประพฤติต่อคนอื่นอย่างสม่ำเสมอ ไม่กลับกลอกเพื่อให้มาซึ่งประโยชน์ของตนโดยไม่สนใจผลกระทบที่มีต่อผู้อื่น

สรุปความได้ว่า คนที่มีสัจจะคือคนที่ทำอะไรทุ่มสุดตัว จะทำงานชิ้นใดก็ทุ่มทำให้ดีที่สุด คบใครก็คบกันจริงๆ ไม่ใช่ต่อหน้าสรรเสริญ ลับหลังนินทา ถ้าจะคบก็คือคบ ถ้าไม่คบก็ตัดบัญชี

ทุกวันนี้สังคมเราขาดความเชื่อในสัจจะ ทำให้เราใช้ชีวิตอย่างไม่มีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน ดำเนินชีวิตไปตามกระแสของคนรอบข้างและค่านิยมทางวัตถุ สัจจะที่เราให้ไว้ซึ่งอาจเป็นไปด้วยความไม่ตั้งใจหรือเพื่อให้ได้มาซึ่งประโยชน์เฉพาะหน้าเฉพาะตนมักจะไม่มีความหมายต่อเรา แต่มีความหมายต่อผู้ที่เราได้ให้สัจจะไว้เสมอ เมื่อเราไม่สามารถรักษาสัจจะที่มีให้กับตนเองและผู้อื่นได้ เราก็จะใช้ชีวิตอยู่อย่างผู้ตามตลอดไป

ข้อมูลสนับสนุนจาก วิกิพีเดีย
อ่านบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2554

จนกระทั่งโดนธนูปักที่เข่า (The Elder Scrolls V: Skyrim)


ช่วงนี้หลาย ๆ คนคงจะได้ยินวลีฮิตติดหู ".......จนกระทั่งโดนธนูปักที่เข่า" กันบ่อยเหลือเกิ๊นนน ซึ่งก็สร้างความขบขันกันเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ทั้งเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ จนถึงกับมีการตั้งแฟนเพจ จนกระทั่งโดนธนูปักที่เข่า กันเลยทีเดียว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ยังคงมีคนอีกจำนวนมากเช่นกันที่ยังไม่เก็ทและอดสงสัยไม่ได้ว่า เอ...วลีนี้มีความหมายว่าอะไรกันแน่ แล้วฮิตได้อย่างไร เอาล่ะ ถ้าไม่อยากตกเทรนด์ วันนี้มีคำอธิบายมาฝากกัน

สำหรับวลี "......จนกระทั่งโดนธนูปักที่เข่า" มีจุดกำเนิดมาจาก เกม The Elder Scrolls V: Skyrim โดยที่ในเกมนั้นจะมีตัวละครที่เป็นยาม และยามก็จะชอบพูดว่า "I used to be an adventurer like you, then I took an arrow in the knee." หมายความว่า เมื่อก่อนพวกเขาก็เป็นนักผจญภัยเหมือนเรานี่แหละ จนกระทั่งโดนธนูปักที่เข่า ก็เลยมาเป็นยาม ซึ่งดูเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ (พูดง่าย ๆ ก็คือ คิดว่ายามโม้หรือเปล่า ผู้เล่นโดนเยอะกว่ายังเห็นเป็นอะไรเลย มันต้องมีอะไรมากกว่านี้แหง) เพราะงั้นเมื่อผู้เล่นได้ฟังประโยคนี้จริงรู้สึกว่าตลก และนิยมนำมาล้อเลียนกันในเชิงทำนองเรื่องโกหกในอดีตที่ไม่เป็นจริง

ผู้ที่เอามาเล่นเพื่อเป็นการเบี่ยงเบนแก้สถานการณ์ข้อผิดพลาดของตัวเองหรือผู้อื่นอย่างนั้นอย่างนี้ กลบเกลื่อนเรื่องเลวร้าย จุดบกพร่อง ปมด้อยของตนหรือผู้อื่นโดยพุ่งเป้าโทษไปว่าที่เกิดเรื่องแย่ๆในชีวิตฉันเนี่ยเป็นเพราะ "โดนธนูปักที่เข่า"

วลี "......จนกระทั่งโดนธนูปักที่เข่า" จึงกลายเป็นคำฮิตติดปากในโลกไซเบอร์ ซึ่งตอนแรกเริ่มจากหมู่คนที่เล่นเกมนี้ จนลามไปยังกลุ่มคนผู้ใช้เฟซบุ๊กและทวิตเตอร์เป็นจำนวนมาก สำหรับการใช้วลีนี้ก็ง่ายนิดเดียว โดยจะใช้ในเชิงโกหก (ที่ฟังไม่ขึ้นเท่าไร แต่เน้นฮาหรือเปล่า???) โดยมีรูปแบบคือ "ก่อนหน้านี้ฉันเคย..... จนกระทั่งโดนธนูปักที่เข่า"

หากใครจะนำ วลีนี้ไปลองเล่นต่อเติมท้ายประโยคของตัวเราเองก็ไม่มีลิขสิทธิ์อันใด ทุกเพศทุกวัย สามารถครีเอทได้ตามความพอใจที่จะ "แถ" ไม่ยั้ง เข้ากระแสอินเทรนด์กันซะหน่อย จะได้ไม่เอาท์!! ไหนๆจะใช้ศัพท์วัยรุ่นแล้วก็ใช้อย่างเข้าใจ จะได้ไม่ เซาะกราว

ขอขอบคุณข้อมูลจากกระปุกดอทคอมและรูปภาพจาก Cool Girl
อ่านบทความทั้งหมด

28 ข้อคิดและสิ่งที่เรามองข้าม

By P'Kiatchay
ทุกวันนี้เรามีตึกสูงขึ้น มีถนนกว้างขึ้นแต่ความอดกลั้นน้อยลง เรามีบ้านใหญ่ขึ้น แต่ครอบครัวของเรากลับเล็กลง เรามียาใหม่ ๆ มากขึ้น แต่สุขภาพกลับแย่ลง เรามีความรักน้อยลง แต่มีความเกลียดมากขึ้น เราไปถึงโลกพระจันทร์มาแล้ว แต่เรากลับพบว่าแค่การข้ามถนนไปทักทายเพื่อนบ้านกลับยากเย็น… เราพิชิตห้วงอวกาศมาแล้ว แต่แค่ห้วงในหัวใจกลับไม่อาจสัมผัสถึง เรามีรายได้สูงขึ้น แต่ศีลธรรมกลับตกต่ำลง เรามีอาหารดี ๆ มากขึ้นแต่สุขภาพแย่ลง ทุกวันนี้ทุกบ้านมีคนหารายได้ได้ถึง 2 คน แต่การหย่าร้างกลับเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น……จากนี้ไป……ขอให้พวกเรา อย่าเก็บของดี ๆ ไว้โดยอ้างว่าเพื่อโอกาสพิเศษ เพราะทุกวันที่เรายังมีชีวิตอยู่คือ ……โอกาสที่พิเศษสุด……แล้ว


28 ข้อคิด และสิ่งที่เรามองข้าม
1.อย่าทำลายความหวังของใคร เพราะทั้งชีวิตเขาอาจเหลืออยู่แค่นั้นก็ได้

2.เมื่อมีคนเล่าว่าเขามีส่วนร่วมในเหตุการณ์สำคัญ จง เป็นผู้ฟังที่ดีอย่าไปคุยทับ อย่าไปขัดคอ

3.จงตั้งใจฟังให้ดี โอกาสทองบางทีมันก็มาถึงแบบแว่วๆเท่านั้น

4.หยุดอ่านคำอธิบายสถานที่ทางประวัติศาสตร์ตามทางบ้างเพราะมีอะไรดีๆบางอย่างซ่อนอยู่

5.จะคิดทำการใดจงคิดการให้ใหญ่เข้าไว้ แต่ให้เติมความสนุกสนานลงไปด้วยเล็กน้อย

6.หัดทำสิ่งดีๆให้กับผู้อื่นจนเป็นนิสัยโดยไม่จำเป็นต้องให้เขารับรู้

7.จงจำไว้ว่า ข่าวทุกชนิดล้วนถูกบิดเบือนมาแล้วทั้งนั้น

8.เวลาเล่นเกมกับเด็กๆก็ปล่อยให้เด็กชนะไปเถอะ

9.ใครจะวิจารณ์เราอย่างไรก็ตาม อย่าเสียเวลาไปโต้ตอบ แต่ให้ปรับปรุงตนเอง

10.จงให้โอกาสผู้อื่นเป็นครั้งที่ “สอง” แต่อย่าให้ถึง “สาม”

11.อย่าให้วิจารณ์นายจ้าง ถ้าทำงานไม่มีความสุขก็ลาออกดีกว่า

12.ทำตัวให้สบาย อย่าคิดมาก ถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายแล้วอะไรๆ มันก็ไม่สำคัญอย่างที่คิดไว้แต่แรกหรอก

13.ใช้เวลาให้น้อยๆในการคิดว่า”ใครผิด” แต่ใช้เวลาให้มากในการคิดว่า”อะไร” เป็นสิ่งที่ผิด

14.จงจำไว้ว่าเราไม่ได้ต่อสู้กับ ” คนโหดร้าย ” แต่กำลังสู้กับ ” ความโหดร้าย ” ในตัวคน

15.โปรดคิด คิด คิด และคิดให้รอบคอบ ก่อนที่จะให้เพื่อนเรามีภาระในการเก็บรักษาความลับ

16.ยอมที่จะแพ้ในสงครามย่อยๆ เมื่อการแพ้นั้นจะทำให้เราชนะในสงครามใหญ่

17.เป็นคนถ่อมตน จำไว้ว่าคนอื่นทำอะไรต่อมิอะไรสำเร็จกันมามากมายก่อนเราเกิดเสียอีก

18.ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายสักเพียงใด จงสุขุมเยือกเย็นเข้าไว้

19.มีมารยาทและอดทนกับคนที่สูงวัยกว่าเสมอ

20.อย่าให้ปัญหาของเราทำให้คนอื่นต้องเบื่อหน่าย ถ้ามีใครมาถามว่า ” เป็นไง?” ตอบไปเลยว่า ” สบายมาก”

21.อย่าพูดว่าเรามีเวลาไม่พอ เพราะทุกคนในโลกก็มีเวลาวันละ 24 ชม.เท่ากัน

22.จงเป็นคนใจกล้าและเด็ดเดี่ยว เมื่อเหลียวไปดูอดีต เราจะเสียใจในสิ่งที่ควรทำแล้วไม่ได้ทำ มากกว่าเสียใจในสิ่งที่ทำไปแล้ว

23.ประเมินตนเองด้วยมาตรฐานตนเอง ไม่ใช่มาตรฐานคนอื่น

24.จริงจัง และเคี่ยวเข็ญต่อตนเองให้มาก แต่จงอ่อนโยนและผ่อนปรนต่อผู้อื่น

25.ให้ความนับถือแก่ทุกคนที่ทำงานเพื่อเลี้ยงชีพโดยสุจริต ไม่ว่างานนั้นจะดูแย่แค่ไหนในสายตาคนรอบข้าง

26.คำนึงถึงการมีชีวิตให้ ” กว้างขวาง ” มากกว่าการมีชีวิตเพื่อ ” ยืนยาว ”

27.(บางครั้ง) อย่าไปหวังเลยว่าในชีวิตนี้จะมีความยุติธรรม

28.ว่ากันว่ามี 3 สิ่งที่ไม่ควรถูกทำให้แตกหรือทำลาย ได้แก่ ของเล่นเด็ก คำสัญญาและจิตใจของใครๆ ก็ตาม

จงแสวงหา การหยั่งรู้ จงนั่งตรงระเบียงบ้านเพื่อชื่นชมกับการมีชีวิตอยู่ โดยไม่ใส่ใจกับความ…..อยาก… จงใช้เวลากับครอบครัว เพื่อนฝูงคนที่รักให้มากขึ้น……. กินอาหารให้อร่อย ไปเที่ยวในที่ที่อยากจะไป ชีวิตคือโซ่ห่วงของนาทีแห่งความสุขไม่ใช่เพียงแค่การอยู่ให้รอด เอาแก้วเจียระไนที่มีอยู่มาใช้เสียน้ำหอมดี ๆ ที่ชอบ จงหยิบมาใช้เมื่ออยากจะใช้ เอาคำพูดที่ว่า…….สักวันหนึ่ง……..ออกไปเสียจากพจนานุกรม บอกคนที่เรารักทุกคนว่าเรารักพวกเขาเหล่านั้นแค่ไหน อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง ที่จะทำอะไรก็ตามที่ทำให้เรามีความสุขเพิ่มขึ้น ทุกวัน ทุกชั่วโมง ทุกนาที มีความหมาย เราไม่รู้เลยว่าเมื่อไรมันจะสิ้นสุดลง หัดคิดแต่ด้านบวก ***แล้วจะรู้ว่ามีแต่สิ่งที่เป็นไปได้*** หัดฝัน ***แล้วจะรู้ว่าโลกนี้น่าอยู่*** หัดพูดแต่ด้านบวก ***แล้วจะรู้ว่ามีคนอีกมากมายที่รักเรา*** หัดยิ้ม ***แล้วจะรู้ว่าเราคือคนที่น่ารัก*** หัดฟาดฟันกับอุปสรรค ***แล้วจะรู้ว่าเราคือคนที่เข้มแข็ง*** ลองทน ***แล้วจะรู้ว่าเรามีความอดทนยิ่งกว่าใคร*** ลองออกกำลังกายทุกวัน ***แล้วจะรู้ว่าเราคือมนุษย์เจ้าพลังคนหนึ่ง*** ลองคิดเอาชนะ ***แล้วจะรู้ว่าเราสามารถเอาชนะ ตัวเองได้ไม่ยาก*** ลองคิดให้ ***แล้วจะรู้ว่าเรามีความสามารถอย่างน่าแปลกใจ*** อย่านำความผิดหวังของเมื่อวานมาบดบังความฝันในวันพรุ่งนี้
อ่านบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Spice up your English with Laura... # 10 – "Fan Pan Tae ... Spice up your English with Laura..."


แหม วันหยุดติดต่อกันหลาย ๆ วันเนี่ย พาลขี้เกียจทำงานไปซะดื้อ ๆ แต่พอนึกถึงคุณผู้อ่าน Spice up your English with Laura ... แล้วก็ทำให้มีแรงฮึดขึ้นมา ซึ่งตอนนี้เป็นตอนที่ 10 แล้ว เหลือเชื่อค่ะ อย่ากระนั้นเลยถือเอาฤกษ์ดีตอนที่ 10 คืนกำไรให้คุณผู้อ่านที่กรุณาติดตามอ่าน เขียนมาถาม เขียนมาแซวกันเรื่อยมา แต่คุณ ๆ คะของฟรีไม่มีในโลกใบนี้ จะให้รางวัลเปล่า ๆ ก็จะเป็นการดูถูกกันเกินไป ... รับไม่ได้
ดังนั้น เพื่อเป็นการค้นหาแฟนพันธ์แท้ของ Spice up your English with Laura ... ขอใช้ชื่อตอนว่า Fan Pan Tae ... Spice up your English with Laura ... โดยให้คุณผู้อ่านทำ Quiz ทั้ง 12 ข้อจากเนื้อหาทั้ง 9 ตอนที่ผ่านมา โดยมีกติกาง่ายแสนง่ายผู้ที่ทำคะแนนสูงสุด 3 คนจะได้รับรางวัล ถ้ามีมากกว่า 3 คนจะตัดสินโดยการจับฉลากตามหลักการที่ว่า เก่งอย่างเดียวไม่ได้ต้องเฮงด้วย และเราจะติดตามหาแฟนพันธ์แท้ของเราอย่างนี้ไปทุก ๆ 10 ตอน จากนั้นส่งไปร่วมรายการแฟนพันธ์แท้ของเสี่ยตาปัญญาเพื่อเข้าร่วมชิงสุดยอดแฟนพันธ์แท้ประจำปี 2554 ว่ากันไปขนาดนั้น ชักจะฝันไปกันใหญ่ เอาเป็นว่าเชิญพบกับ Quiz ทั้ง 9 ข้อดังต่อไปนี้

Quiz 1: I didn't do anything over the weekend. I was .......... (boring / bored / bore)

Quiz 2: I .......... to work every day. (am driving / drive / drive a car)

Quiz 3: Did you enjoy that movie? I thought it was ............ (very fun / very funny / a lot of funny)

Quiz 4: I realized then that I had been ..............., but it was too late. (treated / tricked / traced)

Quiz 5: Pichayapa likes .............. in the shower. (sing a song / to sing / singing a song)

Quiz 6: We compare the first report ............. the second. (with / between / about)

Quiz 7: Eating at home is ............. than eating at a restaurant. So .................. (better / best), (go home is better / let's go home)

Quiz 8: She was ............. on her wedding day, she forgot who her groom was. (exciting / excited / nervous)

Quiz 9: Hello, Somchai. ................ your weekend ? (How about / How was / What about)

ช้าก่อน ... การตอบ Quiz ข้างต้นได้ อาจไม่หมายความว่าคุณเป็นแฟนพันธ์แท้ของ Spice up your English with Laura ... Quiz ทั้ง 3 ข้อต่อไปนี้ จึงเป็น quiz ชี้ชะตาว่าใครคือแฟนพันธ์แท้ของเราตัวจริง

Quiz 10: Spice up your English with Laura ... ฉบับแรกเกิดขึ้นเมื่อไร และชื่อตอนว่าอะไร

Quiz 11: ตอนที่มีการสอนออกเสียง TH เป็นตอนที่เท่าไร และชื่อตอนว่าอะไร

Quiz 12: จากทั้งหมด 9 ตอน ตอนที่เท่าไรที่มีการตอบปัญหาภาษาคาใจและตอบเกี่ยวเรื่องอะไร

ช่วยตอบมากันหน่อยนะคะ อิฉันมีของเด็ดของดีอยากมอบให้จากใจจริง ๆ ค่ะ ท้ายนี้ ถ้าใครมีคำถามอะไรก็สามารถส่งมาได้นะคะ รอตอบอยู่ค่ะ สวัสดีค่ะ
อ่านบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ผิดคือครู... ยอมรับและเรียนรู้จากมัน


"ผิด" คำนี้ทุกคนรู้จักมันดี..แต่ไม่มีใครชอบมันนัก ไม่มีใครยินดีที่จะกล่าวว่าตนเองได้ ทำผิดเป็นผู้ผิด และยอมรับผิด ธรรมชาติของมนุษย์โดยทั่วไปนั้นมีความรักตนเอง และมักจะมองตนเองว่าเป็นผู้ที่ถูกต้อง เสมอและก็ด้วยธรรมชาติของมนุษย์เองอีกเช่นกันที่มักจะมองหรือแสวงหาสิ่งต่าง ๆ จากภายนอกตัว อันรวมไปถึงการมองการค้นหา การขุดคุ้ยในความผิดของผู้อื่น

 มนุษย์จะสามารถพบความสุขได้มากขึ้น หากว่าพวกเขาทั้งหลายนั้นได้เบนความสนใจจากภายนอกกลับเข้ามาดูตัวเอง ศึกษาให้เข้าใจภาวะจิตใจและความต้องการแห่งตนเอง ปรับปรุงแก้ไขสิ่งต่าง ๆ ที่มันไม่ดี ไม่ถูกต้อง ให้มันดีมันถูกต้องเสีย ยอมรับอย่างผู้กล้าหาญว่าตนเองนั้น ก็มีความผิดมีส่วนที่ไม่ดีอยู่ และความผิดทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับผู้อื่นนั้นตนเองก็มีส่วนเป็นผู้กระทำ

ถ้าเราจะสังเกตุกันให้ดีแล้ว เราก็จะพบว่าในทุกยุคทุกสมัยที่ผ่านมาจวบจนปัจจุบัน ส่วนมากแล้วจะมีแต่คนที่บอกตัวเองเป็นผู้ถูกและชอบวิจารณ์ว่าบุคคลอื่นทำผิด คนพวกนี้มักจะเป็นผู้รู้ไปเสียทุกอย่างในความผิดของคนอื่น แต่ในเรื่องตัวเองแล้วกลับไม่กล้ารู้ไม่กล้าดู ไม่กล้าวิจารณ์และรวมทั้งไม่พอใจ ถ้าหากมีใครสักคนมาวิจารณ์ตน


เราลองมาดูถึงปัญหาที่เป็นโรคระบาดหรือแฟชั่นของสังคมกันสักเรื่องหนึ่ง นั้นก็คือปัญหาการหย่าร้าง ปัญหาความไม่ลงรอยกัน ระหว่างสามีภรรยาไม่ว่าจะเป็นสามีหรือภรรยาต่างฝ่ายต่างก็โทษกันว่า..เหตุที่ต้องหย่าร้างอยู่ด้วยกันไม่เป็นสุข หรือที่ตนต้องประพฤติตนไม่ถูกต้องนั้นก็เป็นเพราะฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้ผิด เป็นผู้บีบบังคับตนให้ต้องทำไป ลักษณะเช่นนี้เป็นลักษณะของคนที่เห็นแก่ตนเองว่าเป็นผู้ถูกเสมอ ถ้าเราพิจารณากันให้ดีแล้ว เราก็จะรู้ได้แน่ชัดว่าคนเราจะทำผิดหรือถูกนั้น มันจะมีใครมาบังคับได้ หากไม่ใช่ของตนเองเป็นผู้บงการคำพูดหรือการกระทำของคนอื่นจะมามีอิทธิพลเหนือจิตใจของเราได้อย่างไร หากว่าเราไม่ไปสนใจและเก็บมันมาคิด เรื่องที่คนอื่นเขาพูด เขาทำ มันเป็นเรื่องของเขา เขามีมันสมอง มีจิตใจและมีปากเป็นของตัวเอง เราจะไปห้ามไม่ให้เขาพูดเขาทำหรือคิดนั้นมันทำไม่ได้ แม้แต่ตัวเองยังบังคับเอาไว้ไม่ได้ แล้วยิ่งเป็นคนอื่นด้วยเราจะไปทำได้อย่างไร สิ่งที่ทำได้ก็คือตัวเรา เราต้องเริ่มจากตัวเราเองก่อน หากเราชนะตัวเองสามารถบังคับตัวเองได้ เราก็จะชนะผู้อื่นได้ และสามารถบังคับผู้อื่นได้เช่นกัน เหตุที่เราไม่พอใจ พยายามดิ้นรนเพื่อหาทางออกนั้น มันเป็นไปเพราะคนอื่นหรือก็ไม่ใช่ เราเองต่างหากที่เป็นผู้ทำและเมื่อมันผิดพลาดแล้ว ทำไม..ทำไมเราจึงไม่ยอมรับว่ามันผิด ทำไมต้องไปโทษสิ่งอื่นภายนอก โทษคนอื่น หรือโทษฝ่ายตรงข้าม เวลาที่เราทำ ในสิ่งนั้น ๆ ...มีใครสักคนไหม..ที่เขาร่วมรู้เห็นหรือร่วมลงมือทำด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้เราจะโทษใครกันดี ถ้าไม่โทษตัวเอง สามีภรรยาบางคู่อ้างว่าเหตุที่ต้องมีเรื่องบาดหมางกันอยู่ด้วยกันไม่ได้นั้น เป็นเพราะตนเองทนนิสัยหรือความประพฤติอันไม่ดีของฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ ถ้ารู้ว่าจะเป็นอย่างนี้จะไม่ยอมแต่งงานด้วย ฟังดูก็น่าเห็นใจจริง ๆ แต่เวลาตอนที่รักกัน จะแต่งงานกันนั้น ฉันคิดว่าคงไม่มีใครสักคนเป็นแน่ที่จะเลือกแต่งงานกับคนไม่ดี ทุกคนต่างเลือกเฟ้น สรรหากันแล้วทั้งนั้นว่า แล้วอยู่ ๆ ก็มากล่าวโทษเอาง่าย ๆ ว่าเป็นคนไม่ดี ไม่น่าอยูด้วยอย่างนี้เธอว่าใครผิด เวลาที่รักกันก็รักกันเอง เลือกรักเขาเอง ดูแล้วดูอีกว่าดี จึงได้ยอมมอบกายมอบชีวิตให้ นี้แหละที่เขาเรียกว่า "ความรักทำให้คนตาบอด" เมื่อยามที่รักกันก็พยายามมองข้ามความผิดเล็ก ๆ น้อยของฝ่ายตรงข้ามไป ทำความคิดว่ามันเป็นเรื่องเล้กน้อยที่คงแก้ไขกันได้ พยายามตบแต่งปิดบังมิให้เห็นความไม่ดีของตน สวมหน้ากากเข้าใส่กัน ทำไม..ทำไมถึงไม่คิดกันบ้างว่าการแต่งงานนั้นเป็นการที่ชีวิตสองชีวิตจะต้องมาอยู่ร่วมกัน ทำทุกอย่างร่วมกัน ไม่ใช่เป็นเวลาแห่งการแก้ไขความบกพร่องหรือความประพฤติของกันและกัน แต่มันควรที่จะเป็นเวลาแห่งการสร้าง สรรค์และแสวงหาความสุขอันมั่นคงร่วมกัน

นอกจากเรื่องที่จะโทษกันเองระหว่างสามีภรรยาแล้ว บางรายก็ยังโทษบุคคลอื่นหรือเกรงกลัวบุคคลอื่นอีกด้วย กลัวการนินทาของชาวบ้าน หรือไม่ก็พลอยเป็นไปตามลมปากของชาวบ้าน ซึ่งอันที่จริงแล้วเขาน่าจะรู้ได้ว่า ลมปากของคนนั้นไม่เคยช่วยให้ใครได้ดี ส่วนมากชี้เก่ง แนะเก่ง พูดได้ดีแต่ทำไม่ได้ เวลาถึงทีของตัวเองเข้าบ้างก็ไม่ต่างกัน ต้องวิ่งร้องขอให้คนอื่นช่วย ใครล่ะที่จะดีไปกว่าตนเอง มันต้องยึดหลักตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เวลาจะได้ดีก็ได้ดีที่ตัวเอง เวลาเมื่อจะเสียก็เสียที่ตัวเอง มีใครบ้างที่จะมารับผิดชอบร่วมด้วย ดังนั้นเธอต้องจำเอาไว้ว่า "จะทุกข์หรือสุขนั้นอยู่ที่ใจและการกระทำของตนเอง"

ยามเมื่อเราผิดก็จะยอมรับผิดด้วยความกล้าหาญ อย่างน้อยที่สุดก็จงยอมรับผิดกับตัวเอง และหาทางปรับปรุงแก้ไขความผิดนั้นแล้ว ความถูกต้องก็จะกลับคืนมา แต่ถ้าหากความผิดนั้นมันไม่สามารถแก้ไขได้โดยง่าย และเราต้องตกเป็นผู้ที่ต้องทนอยู่กับความผิดที่เราเองเป็นผู้ทำแล้ว เราก็ต้องถือหลักที่ว่า "เมื่อเรามีหรือทำในสิ่งที่ตนปรารถนาไม่ได้ เราก็ต้องพอใจในสิ่งที่เรามีหรือได้ทำไปแล้ว" การที่เราจะต้องอยู่กับผลแห่งความผิดนั้น เราต้องรู้จักอยู่แบบแยบคายคือรู้จักปรับปรุงทั้งภาวะจิตใจแห่งตนเองและภาวะแวดล้อมต่าง ๆ ให้เหมาะสมพอที่เราจะอยู่กับมันไปได้อย่างไม่เป็นทุกข์มากนัก และสิ่งที่ควรจดจำก็คือความผิดที่เราได้ทำมาแล้วนั้นจะต้องเป็นครูแก่เรา และเราจะไม่ทำความผิดเช่นนั้นซ้ำอีกเป็นครั้งที่สอง

จิตใจเป็นเรื่องที่สำคัญมาก จะดีจะชั่วก็อยู่ที่ใจ จงอย่าไปโทษคนอื่นเพราะจิตใจเป็นของตัวเธอเอง ใครจะมาบีบบังคับนั้นไม่ได้ ที่กล่าวมานี้ก็เป็นเพียงตัวอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งความจริงยังมีอีกมาก แต่รวมความแล้วก็คือ มนุษย์มักจะไม่ยอมรับว่าตนเองผิด และหากว่าเธอมีลักษณะเช่นที่ว่านี้อยู่ก็จะรีบเปลี่ยนแปลงแก้ไขเสีย โดยยึดหลักการค่อยเป็นค่อยไป หมั่นฝึกจิตใจตัวเองให้ยอมรับในความบกพร่องของตนเอง มองหาความดีของบุคคลอื่นและมองข้ามความไม่ดีของบุคคลอื่นไปเสีย นำเอาความดีที่เราค้นพบเข้ามาปรับปรุงตัวเอง ถ้าเธอทำได้เช่นนี้เธอก็คงจะเป็นผู้หนึ่งที่เกิดมาแล้วได้พบความสุขความสงบ และไม่ต้องตกเป็นผู้ที่ใช้คำถามว่า "ใครผิด"

ที่มา : ธรรมและปรัชญา โดย ท่านปรมาจารย์วรธนัท อัศกุลโกวิท 1 กันยายน 2525
อ่านบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ประสบการณ์ของคนรุ่นก่อนคือมรดกอันล้ำค่า

By P'Nant


คุณสมบัติที่ดีอย่างหนึ่งของมนุษย์คือ การถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์จากรุ่นหนึ่งไปอีกรุ่นหนึ่งได้ ทำให้มนุษย์เรามีความก้าวหน้ามาถึงทุกวันนี้ เราจะเห็นว่าปัจจุบันพัฒนากว่าอดีต และอนาคตต้องพัฒนาก้าวหน้าไปมากกว่าปัจจุบันอย่างแน่นอน ใครก็ตามที่ไม่ยอมเรียนรู้ประสบการณ์ในอดีต ย่อมมีโอกาสผิดพลาดซ้ำกับคนรุ่นก่อน ใครก็ตามที่ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงสิ่งใหม่ๆ ย่อมมีโอกาสก้าวหน้าน้อยกว่าคนอื่น ในสังคมของคนทำงานมีคนอยู่สองกลุ่มใหญ่ๆ คือ คนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ แต่คนในสองกลุ่มนี้ก็สามารถแบ่งออกได้สองกลุ่มเช่นกันคือ กลุ่มคนที่ยึดติดกับอดีตไม่ค่อยชอบการเปลี่ยนแปลง กับกลุ่มคนที่ชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ๆชอบการเปลี่ยนแปลง


ดังนั้น การเป็นคนทำงานยุคใหม่หรือยุคเก่าจึงไม่ได้อยู่ที่อายุตัวหรืออายุงาน แต่อยู่ที่การปรับตัวในการทำงานมากกว่า เราจะเห็นว่าคนที่มีอายุตัวหรืออายุงานมากบางคน เป็นคนที่ชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา ไม่กลัวเทคโนโลยี พร้อมเปลี่ยนแปลงตัวเอง ในขณะที่คนรุ่นใหม่บางคนชอบทำงานแบบคนรุ่นก่อนๆ ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง ทำงานแบบไหนก็อยากทำเหมือนเดิมไปตลอด จึงสรุปไม่ได้ว่าคนทำงานยุคใหม่คือคนที่มีอายุน้อยเท่านั้นเพื่อให้คนทำงานที่มีความคิดทันสมัย (ทั้งคนที่อายุมากและอายุน้อย) มีเส้นทางการทำงานที่สดใส จึงขอให้ข้อคิดและแนวทางในการทำงานสู่ความสำเร็จดังนี้ ประสบการณ์ของคนรุ่นก่อนคือมรดกอันล้ำค่า

คนเราเกิดมามีชีวิตเพียงรอบเดียว ไม่เหมือนเกมส์คอมพิวเตอร์ที่มีชีวิตที่หนึ่ง สอง สาม ตายแล้วเล่นใหม่ได้

ดังนั้น ในช่วงชีวิตโดยเฉพาะชีวิตแห่งการทำงาน คนทำงานรุ่นใหม่จึงควรป้องกันความผิดพลาดให้กับตัวเองโดยการเรียนรู้จากประสบการณ์ของคนรุ่นก่อนๆ ซึ่งมีทั้งประสบการณ์ที่เป็นความผิดพลาดที่สามารถนำมาใช้ในการวางแผน ป้องกันไม่ให้เราผิดพลาดซ้ำเรื่องเดียวกันกับคนรุ่นก่อน และนำเอาประสบการณ์ที่ดีของคนรุ่นก่อน มาเป็นสะพานในการก้าวไปสู่ความสำเร็จในการทำงาน ดังนั้น

อย่าดูถูกหรือมองข้ามประสบการณ์ของคนรุ่นก่อนว่าโบราณคร่ำครึไม่ทันสมัย? บริหารงานแบบใหม่ แต่ใส่ใจในการบริหารคนแบบเก่า ใครอยากจะประสบความสำเร็จในการทำงาน จงเรียนรู้เทคโนโลยีและเครื่องมือการบริหารจัดการสมัยใหม่ให้มาก แต่ควรนำเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่ มาทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเหลือน้อยลงเช่น ใช้อินเตอร์เน็ตในการทำงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของงาน แต่ควรจะมีเวลาพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานแบบซึ่งหน้าบ้าง ไม่ใช่อะไรๆ ก็ให้เทคโนโลยีพูดแทน นอกจากนี้ เราจะเห็นว่าคนทำงานรุ่นก่อนๆ มีความสัมพันธ์กันดีมาก คนที่เคยทำงานในองค์กรเดียวกัน ถึงแม้ว่าจะจากกันไปกี่ปีก็ตาม เวลามาเจอกันความสัมพันธ์ก็ยังแน่นเฟ้นเหมือนเดิม จึงอยากให้คนทำงานรุ่นใหม่ อย่าลืมวัฒนธรรมในการทำงานร่วมกันของคนรุ่นก่อนๆ เพราะยิ่งเทคโนโลยีมีความก้าวหน้ามากเท่าไหร่ คนที่ใช้เทคโนโลยีเป็นเพียงอย่างเดียวอาจจะไม่ประสบความสำเร็จ แต่คนที่จะประสบความสำเร็จนั้น จำเป็นต้องเข้าใจคนมากขึ้นด้วย มีวินัยในตัวเอง นำพาตัวเองให้อยู่รอดในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยสิ่งล่อใจ ความก้าวหน้า ความทันสมัยในด้านต่างๆ มักจะเป็นดาบสองคมเสมอ ยิ่งเทคโนโลยีมีความก้าวหน้ามากขึ้นเท่าไหร่ยิ่งทำให้คนเกิดกิเลศมากขึ้นเท่านั้น เช่น เทคโนโลยีการสื่อสารก้าวหน้า ยิ่งทำให้คนอยากได้โทรศัพท์มือถือ มีธุรกิจบัตรเครดิต มีธุรกิจซื้อสินค้าแบบเงินผ่อน ฯลฯ ยิ่งทำให้คนเกิดความอยากที่จะสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ดังนั้น คนทำงานรุ่นใหม่จึงต้องเจอกับสิ่งล่อตาล่อใจ ที่จะทำให้เกิดกิเลสมากกว่าคนทำงานรุ่นก่อนๆ พูดง่ายๆ คือคนรุ่นใหม่มีความยากลำบากในการดูแลตัวเองมากกว่าคนรุ่นเก่า เพราะสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยสิ่งล่อใจในด้านต่างๆเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น คนทำงานรุ่นใหม่ จึงต้องมีความเข้มงวดกับการปกครองและดูแลตัวเองให้มากกว่า คนทำงานรุ่นก่อนๆ จัดระบบการเก็บสะสมสะเบียงเพื่อชีวิตในอนาคตคนทำงานรุ่นก่อนๆ บางคนเกษียณอายุไปแล้ว ไม่มีเงินติดไม้ติดมือกลับไปอยู่บ้านก็สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ เพราะที่บ้านมีมรดกที่ดินเรือกสวนไร่นาจากพ่อแม่ หรือไม่ก็สามารถดำรงชีพแบบพอเพียงแบบชาวบ้านได้ แต่คนรุ่นใหม่เรียนจบมาพร้อมกับการขายนาขายไร่ของพ่อแม่ ถ้าทำงานไปแบบไม่เก็บสะสมอะไรไว้เลย แล้วจะใช้ชีวิตในบั้นปลายได้อย่างไร สิ่งที่คนรุ่นใหม่ ควรจะสะสมเป็นสะเบียงให้กับชีวิตตัวเองในระยะยาวคือ ประสบการณ์ชีวิตทั้งในงานและนอกงาน สะสมความดีที่ทำให้กับตัวเองและผู้อื่น สะสมเงินทองเพื่อไว้ใช้จ่ายในยามจำเป็น สะสมความสัมพันธ์กับเพื่อนฝูงไว้บ้าง และสุดท้ายอาจจะต้องสะสมธรรมะเก็บไว้ในใจบ้าง เพราะชีวิตคนเรายิ่งอยู่นานมากขึ้นเท่าไหร่ สิ่งรุมเร้าที่จะเข้ามาในชีวิตเรานั้นมีมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปัญหาทางกายและปัญหาทางใจ ดังนั้น การสะสมธรรมะไว้ก็จะนำไปใช้ได้ในยามจำเป็น ไม่ใช่เพิ่งไปสวดมนต์ก็ตอนป่วย ไม่ใช่ไปทำดีช่วยเหลือคนอื่นตอนที่ตัวเองตกทุกข์ได้ยากแล้ว หลวงวิจิตรวาทการกล่าวไว้ว่า “มีเรือดีดี ไม่ขี่ข้าม ไปเอาเรือรั่วน้ำมาข้ามขี่ อยากได้แต่งานดีดี แต่เอาคนผีผีมาใช้งาน” คำกล่าวนี้ให้แง่คิดในการเลือกคนเข้ามาร่วมงานด้วย ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 ประเภทด้วยกัน คือ

1. พวกพายเรือทวนน้ำ คนประเภทนี้มีความคิดก้าวหน้า แต่มีนิสัยดื้อรั้น หัวแข็ง และก้าวร้าว การทำงานร่วมกับคนประเภทนี้ต้องใช้ความอดทน อดกลั้น และใช้เวลาจูงใจมากกว่าปกติ แต่ก็จะทำให้ได้ผลงานที่แปลกใหม่และสร้างสรรค์

2. พวกพายเรือตามน้ำ คนทำงานประเภทนี้เป็นคนหัวอ่อน ว่านอนสอนง่าย และยอมทำตามกฎระเบียบทุกอย่างด้วยดี จึงทำงานร่วมกันได้ด้วยความสบายใจและได้ผลงานตามที่ต้องการ

3. พวกลอยตามยถากรรม คนทำงานประเภทนี้เป็นอันตรายต่อหน่วยงาน เพราะเป็นแรงงานที่ไม่สร้างประโยชน์ ทำงานไปวันๆ โดยไม่มีจุดหมาย ไม่ทะเยอทะยาน ไม่สร้างสรรค์ และขาดความกระตือรือร้น

4. พวกมือไม่พาย เอาเท้าราน้ำ คนทำงานประเภทนี้เป็นอันตรายต่อหน่วยงานเช่นกัน เพราะชอบยุแยงตะแคงรั่ว สร้างความร้าวฉานให้เกิดขึ้น และชอบวิพากษ์วิจารณ์มากกว่าสร้างสรรค์ผลงาน
อ่านบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เทคนิคการป้องกันและแก้ไขอารมณ์ขุ่นมัว


โดยธรรมชาติแล้วน้ำมีความใสอยู่ในตัว จะขุ่นมัวก็ต่อเมื่อเจือปนด้วยสิ่งต่างๆ เช่น ฝุ่น โคลน สี การป้องกันการขุ่นมัวของน้ำทำได้โดยการป้องกันไม่ให้สิ่งเจือเข้ามาปน เช่น -การใส่ปล่องเป็นขอบของบ่อน้ำเพื่อป้องกันดินเจอปนลงในบ่อน้ำ -การใช้ท่อส่งน้ำประปาเพื่อป้องกันไม่ให้อะไรเจือปนระหว่างส่ง น้ำ-ไปยังผู้ใช้ตามบ้านเรือน -การเก็บน้ำไว้ในขวดเพื่อป้องกันไม่ให้ฝุ่นตกลงไปในน้ำ แต่ถ้าน้ำที่เราต้องการใช้นั้นมีสิ่งเจือปนอยู่ก่อนแล้ว ก็มีแนวทางในการแก้ไขให้น้ำขุ่นกลับมาเป็นน้ำใสได้เหมือนเดิมได้อย่างไร ลองไปติดตามอ่านต่อได้เลย

Credited : http://www.peoplevalue.co.th/
เจือจางน้ำขุ่นด้วยการเติมน้ำใสลงไป ถ้าเราไม่ต้องการน้ำใสร้อยเปอร์เซ็นต์ แค่เพียงใสระดับหนึ่งก็พอแล้ว เราสามารถเติมน้ำใสลงไปเพื่อให้มีปริมาณมากกว่าน้ำที่ขุ่นอยู่ก็สามารถช่วยให้น้ำใสขึ้นมาในระดับหนึ่งได้

 รอให้น้ำขุ่นตกตะกอน สิ่งเจือปนในน้ำบางอย่างไม่สามารถละลายกลายเป็นเนื้อเดียวกับน้ำได้ จะทำได้แค่เพียงปะปนกับน้ำเท่านั้น ถ้าทิ้งไว้สักระยะหนึ่งสิ่งเจือปนก็จะตกตะกอนลงไปอยู่ข้างล่างได้ เมื่อถึงเวลานั้นก็ค่อยๆเทหรือตักเอาส่วนที่เป็นน้ำใสออกมาได้ แต่การใช้วิธีนี้อาจจะต้องเสียน้ำที่อยู่ติดกับตะกอนไปบ้าง


กรองสิ่งเจือปนออกจากน้ำ สิ่งเจอปนบางอย่างที่ละลายเป็นเนื้อเดียวกับน้ำไปเรียบร้อยแล้ว ไม่สามารถทำให้ตกตะกอนได้ อาจจะต้องใช้วิธีการกรองสิ่งเจือปนออกจากน้ำ เช่น กรองด้วยตะแกรง กระดาษ ผ้า ถ่าน สารเคมี ฯลฯ เหมือนกับเครื่องกรองน้ำที่มีใช้อยู่ตามบ้านเรือนที่สามารถกรองสิ่งเจือปนชนิดต่างๆได้ จิตใจคนไม่ต่างอะไรจากน้ำตามธรรมชาติที่แรกๆก็ใสเพราะไม่มีอะไรมาเจือปน คนเกิดมาใหม่ๆก็มีจิตใจสะอาดปราศจากอารมณ์ขุ่นมัว เพราะไม่มีดีไม่มีชั่ว แต่เนื่องจากคนต้องอยู่ปะปนกับคนอื่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ บางครั้งก็สามารถป้องกันไม่ให้อารมณ์ขุ่นมัวได้ แต่บางครั้งก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น จึงขอแนะนำเทคนิคการป้องกันและแก้ไขอารมณ์ขุ่นมัวให้กลับมาอารมณ์เป็นปกติดังต่อไปนี้


ป้องกันอารมณ์ขุ่นมัวโดยการหลีกเลี่ยงสิ่งยั่วยุทางอารมณ์ การป้องกันไม่ให้อารมณ์ขุ่นมัว จะต้องสร้างเกราะป้องกันจิตใจ เพื่อไม่ให้สิ่งยั่วยุทางอารมณ์เข้ามาทำร้ายจิตใจได้ เช่น การสร้างภูมิคุ้มกันทางอารมณ์โดยใช้หลักธรรมคำสั่งสอนทางศาสนา การหลีกเลี่ยงกับความเสี่ยงต่อสิ่งยั่วยุทางอารมณ์โดยการไม่ยั่วยุคนอื่นก่อน นอกจากนี้ จะต้องไม่สะสมตะกอนทางอารมณ์ เพราะบางครั้งการรับเอาสิ่งที่ไม่ดีเข้ามาในจิตใจ สิ่งนั้นอาจจะยังไม่ทำให้อารมณ์ขุ่นมัวทันที แต่ถ้ารับมาเรื่อยๆ สะสมตะกอนทางอารมณ์ไว้มากเกินไป วันหนึ่งเมื่ออารมณ์ถูกเขย่า ตะกอนที่สะสมไว้นั้น จะทำให้อารมณ์ขุ่นมัวได้ เราจะเห็นว่าคนที่เก็บกด มักจะไม่ค่อยแสดงอารมณ์ให้ใครเห็นบ่อยๆ เพราะเขามักจะเก็บไว้ทีละเล็กทีละน้อย แต่เมื่อวันหนึ่งสิ่งที่เก็บกดไว้มากจนเก็บและกดไว้ไม่ไหวแล้ว เขาก็จะปล่อยให้เชื้อเพลิงระเบิดออกมา กลายเป็นระเบิดทางอารมณ์ที่อันตรายทั้งต่อตัวเองและคนรอบข้าง


สกัดการกระจายและนำเอาสิ่งยั่วยุทางอารมณ์ออกจากใจให้เร็วที่สุด ถ้าเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับสิ่งยั่วยุทางอารมณ์ได้ สิ่งยั่วยุสามารถทะลุเข้าไปในพื้นที่ชั้นในของจิตใจเราซึ่งจะก่อให้เกิดอารมณ์ขุ่นมัวได้ ถ้าสิ่งยั่วยุนั้นเพิ่งเข้ามาให้รีบเอาออกจากจิตใจทันที เพราะถ้าทิ้งไว้นาน สิ่งยั่วยุทางอารมณ์บางอย่างสามารถขยายตัวไปสู่การสร้างความขุ่นมัวทางอารมณ์ได้ เหมือนกับการที่เม็ดสีตกลงในน้ำ ถ้าทิ้งไว้นานเม็ดสีจะละลายเพิ่มมากขึ้นๆ จนสามารถทำให้น้ำใสกลายเป็นน้ำขุ่นได้ จะเห็นว่าคนที่เป็นสามีภรรยากัน ถ้าทะเลาะกันและปล่อยให้เวลาผ่านไปยิ่งนานเท่าไหร่ โอกาสที่ใครคนใดคนหนึ่งจะเป็นฝ่ายง้อหรือเข้ามาขอโทษหรือทำดีก่อน จะเป็นเรื่องยากขึ้นเรื่อยๆตามระยะเวลาที่ผ่านไป แต่รีบขอโทษหรือทำดีกับอีกฝ่ายหนึ่งก่อน อารมณ์ที่ยังไม่แพร่กระจายไปทั่วทั้งจิตใจ อาจจะให้อภัยได้ง่ายกว่าอารมณ์ที่ถูกละลายไปทั่วทั้งจิตใจแล้ว


ทำอารมณ์ให้นิ่งก่อนแล้วค่อยหาสิ่งแปลกปลอมที่ตกลงในบ่อน้ำอารมณ์ บางครั้งจิตใจของคนเราถูกกระทบจากสภาพแวดล้อมหรือบุคคลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เหมือนทำเหรียญบาทหล่นหาย(ตกลงในน้ำที่มีโคลนตม) จงอย่าตกใจกระโดดตามเหรียญบาทที่ตกลงไปในน้ำ เพราะจะทำให้น้ำที่มีโคลนอยู่ขุ่นมากขึ้น และจะทำให้ไม่สามารถมองเห็นเหรียญที่เพิ่งตกลงไป ควรทำใจให้เย็น รอคอยน้ำส่วนที่ขุ่นเนื่องจากแรงกระแทกของเหรียญที่ตกลงไปจางหายไปก่อน เพราะเราสามารถมองเห็นเงาสะท้อนของเหรียญได้ และสามารถหยิบขึ้นมาได้โดยไม่ยาก จะเห็นว่าเวลาคนเราหงุดหงิด โศกเศร้า เสียใจ เรามักจะทำอะไรไม่ถูก คิดอะไรไม่ออก เหมือนคนที่เพิ่งสูญเสียคนรักไป จะคิดและทำอะไรไม่เป็นเลยโดยเฉพาะในวันแรกที่คนรักจากเราไป จะต้องให้เวลาผ่านไปสักสองสามวัน(ในช่วงงานศพ) จึงค่อยๆทำใจได้ เพราะความขุ่นมัวทางอารมณ์เริ่มจางหายไปแล้ว และสติค่อยๆกลับคืนมาสู่สภาพจิตใจที่ปกติมากยิ่งขึ้น


เจือจางอารมณ์ขุ่นด้วยการเติมอารมณ์ดีให้มากขึ้น ถ้าใครคิดว่าการนำเอาสิ่งยั่วยุอารมณ์ออกจากจิตใจหรือการปล่อยให้อารมณ์ตกตะกอนเป็นเรื่องที่ยาก อีกวิธีหนึ่งคือการเติมอารมณ์ดีเพิ่มลงไปในจิตใจ เพื่อละลายความขุ่นมัวให้เจือจางลง ยิ่งสัดส่วนของอารมณ์ดีมีมากกว่าอารมณ์ขุ่นมัว ยิ่งจะทำให้อารมณ์ที่ขุ่นมัวจางหายไปมากขึ้นเท่านั้น คนที่อารมณ์ไม่ดี ถ้าพยายามดูตลก ดูหนัง ฟังเพลง หรืออ่านหนังสือที่ทำให้จิตใจคิดเชิงบวก ก็จะช่วยให้ละลายอารมณ์ขุ่นมัวได้ หรือพยายามพูดคุยกับคนอื่นๆที่อารมณ์ดีหรือมีทัศนคติเชิงบวก ยิ่งได้คุยในเรื่องดีๆมากขึ้น ยิ่งจะช่วยให้อารมณ์ขุ่นมัวเล็กๆน้อยๆ จางหายไปได้ง่ายและเร็วขึ้นได้ ใครอยู่ในครอบครัวแล้วคนในครอบครัวมีปัญหากัน ขอให้ออกไปเจอะเจอกับผู้คนที่เขาเป็นคนปกติหรือไปพบเจอผู้คนที่เป็นคนอารมณ์ดีก็จะช่วยลดอารมณ์ที่ไม่ดีลงได้บ้าง ถึงแม้ว่าอารมณ์นั้นยังคงอยู่ แต่ถ้าจิตใจของเราถูกครอบครองด้วยอารมณ์ดีมากกว่า อารมณ์ไม่ดีก็จะถูกบดบัง และอาจจะถูกลืมไปได้ในที่สุด

หาเครื่องกรองสิ่งเจือปนออกจากอารมณ์ เนื่องจากคนเรามีหลายอารมณ์ แม้อารมณ์ไม่ดีก็ยังมีหลายรูปแบบ อารมณ์ไม่ดีบางอย่างต้องกรองสิ่งแปลกปลอมในอารมณ์ออกด้วยข้อมูลข้อเท็จจริง อารมณ์ไม่ดีบางอย่างต้องกรองออกด้วยสติ อารมณ์ไม่ดีบางอย่างต้องกรองออกด้วยสมาธิ อารมณ์ไม่ดีบางอย่างต้องกรองออกด้วยปัญญา คนบางคนที่อารมณ์ไม่ดีเพราะเครียดหรือกังวลจากปัญหาชีวิตที่ยังมาไม่ถึง จำเป็นต้องกรองออกด้วยการหาข้อมูลข้อเท็จจริงมาอธิบายเพื่อให้คลายกังวล

คนบางคนที่เครียดเพราะปัญหาหนี้สิน จำเป็นต้องกรองออกด้วยการวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาและหาแนวทางป้องกันแก้ไข คนบางคนที่อารมณ์ขุ่นมัวเพราะคำพูดของคนอื่น อาจจะต้องใช้สติปัญญาในการกรองเพื่อคัดแยกสิ่งที่ไม่จริงออกไป ไม่ปล่อยให้หลุดเข้าไปถึงจิตใจส่วนลึกของชีวิตได้ ปัญหาชีวิตบางอย่างเกิดจากหลายสาเหตุเป็นปัญหาที่สลับซับซ้อน อาจจะต้องใช้เครื่องกรองหลายชั้นทั้งข้อมูลข้อเท็จจริง สติ สมาธิ และปัญญา เหมือนกับเครื่องกรองน้ำที่ต้องกรองด้วยไส้กรองหลายชั้นจึงจะทำให้น้ำไม่สะอาดกลายมาเป็นน้ำสะอาดที่สามารถดื่มได้ 

สรุป การบริหารอารมณ์เพื่อรักษาให้อารมณ์สดชื่นและสดใสอยู่เสมอ จำเป็นต้องทำทั้งการป้องกันและการแก้ไข เพราะบางอย่างป้องกันได้ บางอย่างป้องกันไม่ได้ เมื่อแก้ไขไม่ได้ก็ต้องเตรียมรับมือกับการแก้ไข ซึ่งก็มีหลายวิธีดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ขอให้เลือกใช้ให้เหมาะสมกับอารมณ์ ใครคิดว่าวิธีไหนเหมาะกับตนเองก็เลือกใช้วิธีนั้น หรือถ้าเลือกใช้วิธีใดวิธีหนึ่งแล้วไม่ได้ผลก็ลองปรับเปลี่ยนวิธีอื่นๆหรือวิธีใหม่ๆที่ไม่ได้กล่าวไว้ในที่นี้ก็ได้
อ่านบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2554

การบริหารความสุขในการทำงานด้วย P-D-C-A

By Nick
วันนี้นอนดึกเนื่องจากไปนั่งกินชาเขียวมา นอนไม่หลับตาค้าง แล้วก็นั่งท่องอินเตอร์เนตเข้าเวปประจำ(อีกแล้ว) แล้วก็ไปเจอะบทความเข้า(อีกแล้ว) เลยอยากนำมาแบ่งปัน(อีกแล้ว)

ชีวิตคนทำงานไม่มีใครที่ไม่ต้องการความสุข เพราะความสุขที่เกิดขึ้นเป็นเสมือนน้ำหล่อเลี้ยงให้พฤติกรรรมคนปรับเปลี่ยนและพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น อันนำไปสู่ผลการปฏิบัติงานตามที่องค์กรต้องการ ดังนั้นความสุขจึงเป็นสิ่งที่ทุกคนแสวงหา การบริหารความสุขในชีวิตการทำงานจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก โดยเฉพาะสังคมไทยในยุคเศรษฐกิจเช่นนี้ ปัญหาต่างๆ ที่รุมเร้าเข้ามา เป็นเหตุให้พนักงานทั้งหลายต้องกล้าเปลี่ยนแปลง กล้าคิดใหม่เพื่อทำให้ตนเองมีความสุข



ทคนิคหนึ่งที่ผมอยากจะแนะนำให้ทุกท่านลองนำไปปฏิบัติ ด้วยการบริหารตนเองให้มีความสุขตามหลักของ P-D-C-A นั่นก็คือ
►Plan
ในการทำงานหากขาดเป้าหมายที่ชัดเจน ทำงานไปวันๆ ย่อมเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้พนักงานเกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย และความรู้สึกเบื่อนี้เองจะเป็นอันตรายเนื่องจากจะนำไปสู่ผลการทำงานที่ถดถอย หรือเป็นต้นเหตุของการสูญเสียคนดีมีฝีมือ ดังนั้นการวางแผนผลการปฏิบัติงานที่ชัดเจน (Performance Planning) รู้เป้าหมายว่าในแต่ละวันต้องทำอะไรบ้าง และเพื่อทำให้ได้เป้าหมายที่ต้องการ จะต้องแสดงออกหรือมีพฤติกรรมเช่นไรนั้น จะช่วยทำให้เกิดความคิดที่เป็นระบบ ทำงานเป็นขั้นเป็นตอนมากขึ้น และเมื่องานที่ได้รับมอบหมายบรรลุผลสำเร็จ ย่อมเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้คนทำงานเกิดความรู้สึกโล่งอก โล่งใจ ซึ่งความรู้สึกเช่นนี้มักจะเป็นแรงผลักดันให้เกิดความคิดสิ่งใหม่ ๆ ที่สามารถนำมาใช้เพื่อการปรับปรุงงานให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้การวางแผนงานที่ชัดเจนจำเป็นจะต้องมีการจดบันทึกว่าในแต่ละวันงานที่ต้องทำให้สำเร็จมีอะไรบ้าง เพราะแผนงานที่ถูกเขียนขึ้นมาอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรจึงเป็นเสมือนเข็มทิศหรือเครื่องนำทางให้สามารถทำงานแต่ละชิ้นอย่างเป็นระบบและเป็นขั้นเป็นตอน
►Do
แผนงานที่ดีย่อมมีการปฏิบัติ การตรวจสอบ การติดตามผลงานที่ทำไปแล้วว่าสำเร็จหรือไม่สำเร็จบ้าง ด้วยการให้ข้อมูลป้อนกลับกับตนเอง (Performance Feedback) ซึ่งไม่จำเป็นต้องรอผู้อื่นที่จะมาบอกว่างานแต่ละชิ้นคุณเองสามารถทำสำเร็จหรือไม่ การ Feedback กับตนเองก็คือ การหาโอกาสบอกหรือพูดคุยกับตนเองในแต่ละวัน ผมขอแนะนำว่าควรจะเป็นตอนกลางคืนก่อนนอนจะดีกว่า เพื่อสำรวจว่าวันนี้คุณได้ทำงานเสร็จไปกี่อย่างบ้าง และงานใดบ้างที่คุณทำไม่สำเร็จเป็นเพราะเหตุใด เพื่อที่ว่าคุณจะได้นำปัญหาที่เกิดขึ้นมาวางแผนว่าควรจะทำอย่างไรให้งานชิ้นนั้นประสบผลสำเร็จในวันถัดไป ทั้งนี้ขั้นตอนการปฏิบัติสำหรับหลาย ๆ คนคิดว่าเป็นขั้นตอนที่ยากกว่าการวางแผนงาน เนื่องจากไม่สามารถทำงานให้บรรลุตามแผนที่กำหนดขึ้น เพราะจิตไม่อยู่กับที่ เกิดความกระวนกระวายใจ จิตไม่สงบ ขาดสมาธิ ซึ่งผมขอแนะนำว่าในระหว่างการทำงานแต่ละอย่างนั้น ควรคิดถึงงานชิ้นนั้นอย่างเดียวทั้งกายและใจ จิตที่มีสมาธิจะทำให้เกิดปัญญาที่จะบริหารงานแต่ละอย่างสำเร็จเร็วกว่าเวลาที่กำหนดขึ้น และเมื่อคุณทำงานสำเร็จ เชื่อแน่ว่าคุณจะรู้สึกภาคภูมใจ รู้สึกมีความสุขกับงานแต่ละอย่างที่สำเร็จลุล่วงไป
►Check
ความสุขเกิดขึ้นจากการให้ ให้ในสิ่งที่ผู้รับได้รับประโยชน์จากงานของคุณ ซึ่งการบริหารความสุขของตนเอง ก็คือการบริหารจิตใจของผู้อื่นด้วยเช่นกัน ดังนั้นตัวคุณเองจะต้องประเมินผลงานที่ทำขึ้นมาว่าผู้รับหรือลูกค้ามีความพึงพอใจกับผลงานแต่ละชิ้นมากน้อยแค่ไหน การประเมินผลงาน (Performance Appraisal) จึงเป็นขั้นตอนสำคัญที่ผลักดันให้คุณจะต้องปรับปรุงผลงานของตัวคุณเองอยู่เสมอ ด้วยการวางแผนงานใหม่อีกสักครั้ง หากงานที่ทำไปแล้ว ถึงแม้คุณทำงานได้สำเร็จตามแผนที่กำหนดขึ้น แต่ผู้รับไม่ชอบ ไม่พอใจ คุณจะต้องปรับเปลี่ยนแผนงานใหม่ เพื่อสร้างผลงานให้ลูกค้าหรือผู้รับของคุณเกิดความพึงพอใจทั้งในแง่ของคุณภาพและปริมาณงานที่ส่งมอบ ซึ่งวิธีการประเมินผลงานที่คุณสามารถทำได้และไม่ยุ่งยากก็คือ การสอบถามและพูดคุยกับลูกค้าของคุณว่าเขาชื่นชอบในผลงานที่ทำให้ไปมากน้อยแค่ไหน ทั้งนี้คำว่า “ลูกค้า” นั้นผมไม่ได้มองเพียงแค่ลูกค้าภายนอกอย่างเดียวเท่านั้น ผมจะมองไปถึง ผู้บังคับบัญชา ผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อนร่วมงาน คู่ค้า ด้วยเช่นกัน
►Act
การปรับเปลี่ยนกระบวนการ และวิธีการทำงานของคุณว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ลูกค้าไม่พอใจบ้าง เพื่อที่ว่าคุณจะได้หาวิธีการทำอย่างไรก็ตามในการตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า เพราะหากลูกค้ามีความสุข คุณเองย่อมมีความสุขในการทำงานด้วยเช่นกัน การสำรวจและจดบันทึกว่ามีแนวทางไหนบ้างในการปรับเปลี่ยนและพัฒนากระบวนการทำงานของคุณให้ดีขึ้น การพัฒนาผลงานของคุณ (Performance Development) จะทำให้คุณมีการปรับปรุง และการปรับเปลี่ยนตนเองอยู่เสมอ ไม่ซ้ำซากจำเจกับวิธีการทำงานแบบเดิม ๆ เพราะความซ้ำซากทำงานแต่แบบเดิม ๆ ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คุณเกิดความรู้สึกไม่มีความสุขในการทำงาน

สรุปว่าความสุขในการทำงานทุกวันนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นการได้รับเงินเดือนที่เพิ่มขึ้นทุกปีเท่านั้น แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ตัวคุณเองเกิดความสุขได้ก็คือ การวางแผน การปฏิบัติ การตรวจสอบ และการปรับปรุง หรือการปฏิบัติตามหลัก
P-D-C-A ซึ่งจะเป็นหนทางให้ตัวคุณเองและคนรอบข้างเกิดความสุขในการทำงาน

Credit: http://www.peoplevalue.co.th/index.php?lay=show&ac=article&Id=539104744&Ntype=10
อ่านบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2554

ความสำเร็จก้าวที่สอง (The Second Step)


พี่เปิ้ล

ได้อ่านบทความเรื่องความคิดเชิงบวกแล้วก็ทำให้คิดถึงวัฒนธรรมองค์กรที่พวกเราตั้งใจร่วมกันว่าจะทำให้เกิดขึ้นจริงในองค์กร หลังจากได้พูดคุยกับพี่ๆน้องๆหลายๆคน พี่ก็ยังมั่นใจว่าพวกเราหลายๆคนยังคงชัดเจนในเป้าหมายของตนเองและยังคงเดินต่อไปตามที่ตั้งใจ ถึงแม้ว่าจะรู้สึกเหนื่อยกับงานในช่วงนี้ประกอบกับข้อมูลที่รับฟังมาจากหลายๆฝ่ายที่ทำให้คิดไปต่างๆนาๆ แต่พี่ก็ยังหวังว่าเราจะใช้ความคิดในเชิงบวกในการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้มาและร่วมกันสร้างทีมงานของเรากันต่อไป
สภาวะการทำงานรูปแบบนี้คงเป็นแค่ชั่วคราวเท่านั้นและอีกไม่นานพวกทีมงานชาวต่างชาติที่มาช่วย start up โรงงานก็จะทยอยกันกลับเรื่อยๆ พวกเราก็จะได้กลับมาสู่การทำงานในรูปแบบซะที ในช่วงนี้ก็คงต้องอาศัยพวกพี่ๆในการบริหารจัดการงานให้น้องอย่างเหมาะสม รวมถึงการให้ข้อมูลต่างๆกับน้องๆซึ่งบางทีพวกเราคิดว่าเป็นเพียงการเล่าสู่กันฟังแต่พวกน้องๆคิดไปไกลเกินกว่าที่พวกเราคาดไว้เพราะพวกพี่ๆอาจประเมินความสำคัญที่พวกเรามีต่อน้องๆต่ำเกินไป อย่างไรก็ตามพี่ก็ยังยืนยันว่าพี่พร้อมรับผิดชอบในการตัดสินใจอย่างมีหลักการของพวกเราเสมอ ถึงแม้ว่าช่วงนี้ยังตึงเครียดไปบ้างแต่พวกเราก็ยังคงก้าวต่อไปกับความสำเร็จก้าวที่สองคือการ start up โรงงานผลิตไฮโดรเจนเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2554 ซึ่งความสำเร็จนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าพวกเราเป็นทีมงานที่ดีและพร้อมจะสร้างองค์กรร่วมกัน พี่ขอขอบคุณความทุ่มเทที่พวกเรามีให้ตลอดมารวมถึงต้องขอโทษที่ทำให้พวกเราหงุดหงิดไปบ้างกับการที่พี่ไม่สามารถให้คำสัญญาอะไรกับพวกเราได้มากนักเพราะพี่ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่ตัดสินใจเปลี่ยนแปลงทุกอย่างในองค์กรได้ แต่พี่ยืนยันถึงความตั้งใจของพี่ในการพัฒนาองค์ความรู้ของพวกเรารวมถึงตระหนักถึงความสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างสวัสดิการพื้นฐานเพื่อให้องค์กรสามารถแข่งขันในตลาดแรงงานได้ และพี่เข้าใจความต้องการพื้นฐานของพวกเราเป็นอย่างดีไม่ว่าจะเป็นความคาดหวังในด้านผลตอบแทนที่พวกเรามีต่อการทุ่มเทในการ start up ฯลฯ ขอให้พวกเรามั่นใจว่าอนาคตต้องพัฒนาไปในทิศทางที่ดีและพวกเรามีโอกาสเติบโตในองค์กรเสมอ
ช่วงนี้พวกพี่กำลังเร่งสอบทบทวนความรู้เพื่อสนับสนุนให้พวกเราก้าวต่อไปตามโครงสร้างที่วางไว้ พี่อยากให้พวกเรามีทัศนคติที่ดีต่อการสอบทบทวนความรู้และเข้าใจวัตถุประสงค์ของการสอบว่าเป็นไปเพื่อความก้าวหน้าของพวกเรา หวังว่าการสอบทบทวนความรู้คงไม่เพิ่มความเครียดให้กับพวกเรานะ ร่วมกันสู้ต่อไปครับ
อ่านบทความทั้งหมด

วันศุกร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2554

จงคิดเชิงบวก (Positive thinking)

By. มิตร ทีม งานหนุ่มไฟแดงๆๆ
เก็บมาฝาก คิดเชิงบวก หมายถึง การรู้จักเปลี่ยนมุมมองที่เรามีต่อสิ่งต่างๆ ซึ่งโดยมากมักแสดงตัวให้เราได้สัมผัสในแง่ลบ แต่พอเราพลิกมุมมองใหม่ เราจะได้อะไรดีๆ จากเรื่องลบๆ เหล่านั้น เช่น ในชีวิตจริงของเราซึ่งทำงานกับคนหมู่มาก มักจะพบกับคำชมและคำด่าอยู่เสมอ ๆ เมื่อแรกเผชิญกับคำชม เราก็ฟู ครั้นพบกับคำด่าก็แฟบ แต่เมื่อเรียนรู้ที่จะปรับเปลี่ยนมุมมองต่อคำชมและคำด่า ก็รู้สึกว่า ได้คุณค่าจากคำด่าคำชมเป็นอันมาก
ครั้งหนึ่งมีกบตัวเล็กๆ ฝูงหนึ่งได้มาร่วมกันจัดการแข่งขันเพื่อปีนขึ้นไปบนยอดเสาไฟฟ้า กลุ่มชนชาวกบมากมายมายรอชมและเชียร์การแข่งขันครั้งนี้ การแข่งขันเริ่มต้นขึ้น พูดอย่างตรงไปตรงมาว่าไม่มีกบตัวใดจะเชื่อว่า เจ้ากบตัวเล็กๆ เหล่านั้นจะปีนขึ้นไปจนถึงยอดเสาได้หรอก มีเสียงพูดลอยๆมาให้ได้ยินเป็นต้นว่า " เขาไม่มีทางจะขึ้นไปถึงยอดได้หรอกมันยากลำบากขนาดนั้น" หรือ "เขาไม่มีโอกาสจะประสบความสำเร็จหรอกเสามันสูงขนาดนั้น"เจ้ากบตัวน้อยๆเหล่านั้นก็เริ่มร่วงหล่นลงมาทีละตัว กบบางตัวส่งเสียงร้องตะโกนว่า "มันยากเกินไป ไม่มีใครทำได้หรอก" กบน้อยส่วนใหญ่จึงเริ่มเหนื่อยและยอมแพ้ แต่มีกบตัวหนึ่งซึ่งยังคงปีนอย่างมุ่งมั่น สูงขึ้นและสูงขึ้น เจ้าตัวนี้ไม่มีทางยอมแพ้ และ เมื่อสิ้นสุดการแข่งขัน กบตัวอื่นๆ ต่างยอมแพ้หมด ยกเว้นกบตัวน้อยๆตัวนั้น ด้วยความพยายามสุดกำลัง มันสามารถปีนขึ้นสู่ยอดเสาได้ กบทุกๆตัวอยากรู้จังว่า เจ้ากบตัวเล็กๆตัวนี้มีพลังในการปีนขึ้นไปสู่ยอดเสาอันเป็นเป้าหมายจนประสบความสำเร็จได้อย่างไร? เรื่องกลับกลายเป็นว่า....แท้จริงแล้ว เจ้ากบตัวผู้ชนะนั้นหูหนวก??? ดังนั้น เพื่อเวลาจะทำงานใดๆ ให้ประสบความสำเร็จ บ่อยครั้งเราอาจต้องเป็นเหมือนกบตัวนั้น นั่นคือ ต้องทำตัวเป็นคนหูหนวกเสียบ้าง จงพยายามคิดเชิงบวก ความฝันทั้งหลายที่เรามีเราสามารถทำให้มันเป็นจริงได้ด้วยความพยายามอย่างสุดกำลังและด้วยการ ให้กำลังใจตนเองอยู่เสมอ อย่าคิดมากเวลาที่มีคนคอยบั่นทอนกำลังใจจงบอกกับตัวเองอยู่เสมอว่า "ฉันทำได้" "ฉันจะทำให้สำเร็จ" ถ้าหลับตายังมองเห็นเป้าหมาย ลืมตาย่อมมองเห็นเส้นทางสู่ความสำเร็จ สุขทุกข์อยู่ ที่ใจ มิใช่หรือ ถ้าใจถือ ก็เป็นทุกข์ ไม่สุกใสถ้าไม่ถือ ก็เป็นสุข ไม่ทุกข์ใจ เราอยากได้ ความสุข หรือทุกข์นา อย่าดูถูก บุญกรรม ว่าทำน้อย จะไม่ต้อย ตามต้อง สนองผลเหมือนตุ่มน้ำ วางหงาย รับสายชล ย่อมเต็มล้น ด้วยอุทก ที่ตกลง อันความดี ทำไว้ กับใครนั้น ไม่มีวัน ลับหาย ในภายหน้ากายอาจเลือน ลับหาย จากสายตา ดีไม่ลา ลับหาย จากสายใจ อันยศศักดิ์ ชื่อเสียง เพียงความฝัน ฝ่ายรูปโฉม โนมพรรณ ฉันบุปผาอันชีวิต เปรียบหมาย เหมือนสายฟ้า อนิจจา ไม่ได้มี จีรังกาล โดย ทีมงานหนุ่มไฟแดงๆๆ
อ่านบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เทคนิคการพัฒนา “ลูกน้อง” ให้เป็น “หัวหน้า (To be a BOSS !!)

By พี่โหน่ง


วันนี้พี่ไปเจอบทความดีๆมาฝากเพื่อนำไป apply ใช้ในการบริหารทีมในองค์กรหรือในกะของตนเองหลายท่านคงเคยได้ยินคำกล่าวในลักษณะที่ว่า “ คลื่นลูกใหม่ มักจะแรงกว่าคลื่นลูกเก่า ” ซึ่งสามารถนำมาเปรียบเทียบกับคนทำงานในรุ่นต่างๆ ขององค์กรได้เหมือนกันนะครับ เราจะเห็นว่าคนรุ่นก่อนๆ กว่าจะก้าวมาเป็นผู้บริหารหรือผู้จัดการได้ ต้องใช้เวลากันสิบปียี่สิบปี แต่เด็กรุ่นใหม่หลายคนที่เป็นผู้บริหาร และเป็นผู้จัดการตั้งแต่อายุงานยังไม่ถึงสิบปี



คนที่เป็นหัวหน้าในยุคก่อนๆ บางคนมีความเชื่อที่ผิดๆ คือ ต้องเก็บและรักษาลูกน้องที่เก่งๆ ให้ทำงานเป็นลูกน้องของตัวเองนานๆ เหตุผลก็มีหลายอย่าง เช่น ถ้าลูกน้องเก่งๆ ยังเป็นลูกน้องอยู่ ตัวเองก็สบาย หรือไม่อยากให้ลูกน้องได้ดีกว่าตัวเอง
หรือไม่ก็รับไม่ได้ที่ลูกน้องขึ้นมาเป็นหัวหน้าตัวเอง และผมก็ยังเชื่อว่าลึกๆ แล้วในปัจจุบันนี้ก็ยังมีหัวหน้าบางคน ยังมีความคิดและความเชื่อแบบนี้อยู่ เพียงแต่อาจจะแสดงออกให้เห็นไม่ชัดเจนมากนักเท่านั้น อาจจะให้เหตุผลที่ดูดีขึ้น เช่น เขาเพิ่งทำงานตรงนี้มาเพียงไม่กี่ปี น่าจะให้เขาอยู่ต่ออีกหน่อย เราต้องใช้เวลาพัฒนาเขามานาน ควรจะใช้งานให้คุ้มก่อนแล้วค่อยเลื่อนตำแหน่ง หรือคนใหม่ที่จะมาแทนยังไม่เก่งพอ อย่าเพิ่งปล่อยเขาขึ้นไปเลย ถ้าเราเชื่อว่าคลื่นลูกใหม่จะไปไกลและสดใสกว่าคลื่นลูกเก่าแล้ว ผมคิดว่าเราในฐานะที่เป็นหัวหน้าคน ก็ไม่ควรไปฝืนธรรมชาติ แต่เราควรจะฉกฉวยโอกาสจากสัจธรรมในข้อนี้มาให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อตนเอง ต่อลูกน้องและต่อองค์กรจะดีกว่านะครับ
อยากให้คนที่เป็นหัวหน้าหรือกำลังจะเป็นหัวหน้าในอนาคต เห็นความสำคัญของลูกน้องให้มากขึ้นนะครับ อย่าคิดเพียงว่าลูกน้อง คือคนที่ทำงานตามคำสั่งของเราเพียงอย่างเดียวนะครับ เพราะลูกน้องนั้นเป็นทั้งลูกและเป็นทั้งน้อง เราจะต้องห่วงหาอาทร เราจะต้องดูแลเขาให้ได้ดี พ่อแม่ทุกคนอยากให้ลูกได้ดีกว่าตัวเอง ไม่อยากให้ลูกเหมือนหรือแย่กว่าตัวเอง พี่ทุกคนอยากเห็นน้องตัวเองประสบความสำเร็จ แล้วทำไมหัวหน้าจึงไม่นำเอาแนวคิดมาใช้กับลูกน้องบ้างละครับ
เราควรจะคิดเสียใหม่ว่า ทำอย่างไรให้ลูกน้องประสบความสำเร็จดีกว่าและเร็วกว่าเรา ผมคิดว่าเราแค่เปลี่ยนเพียงความคิดในเรื่องนี้เพียงอย่างเดียว ก็น่าจะช่วยให้ลูกน้องเรามีโอกาสก้าวหน้ามากขึ้นแล้วครับ อย่าลืมนะครับว่าคนที่เป็นลูกน้องเราอยู่ในขณะนี้ เขามีอะไรดีๆ กว่าเราตั้งหลายอย่าง เพียงแต่ ณ เวลานี้เขาด้อยกว่าเราเพียงบางอย่างเท่านั้น จึงทำให้เขาต้องมาเป็นลูกน้องเรา เช่น เพิ่งจบการศึกษามาใหม่ ประสบการณ์การทำงานน้อย ความรู้ในงานน้อยกว่าเรา หรือโอกาสทางตำแหน่งหน้าที่ยังมาไม่ถึง

จงคิดเสียว่าไม่มีลูกน้องคนไหน ที่จะด้อยกว่าเราทุกเรื่องในทุกเวลาของชีวิต

สิ่งที่ผมและองค์กรอยากจะเห็นคือ หัวหน้าที่สอนลูกน้องได้ ลูกน้องต้องไปได้ดีและไกลกว่าหัวหน้า เพราะลูกน้องมีโอกาสได้เรียนรู้ และเรียนลัดจากประสบการณ์ในการทำงานของหัวหน้า อะไรที่เคยทำผิด อะไรที่เคยทำพลาดมา จะได้นำมาบอกลูกน้องให้ป้องกัน ลูกน้องน่าจะมีเวลาลองผิดลองถูกน้อยกว่าหัวหน้า ดังนั้น โอกาสในการพัฒนาจึงน่าจะมีมากกว่าเช่นกัน ผมคิดว่าหัวหน้าที่ดีควรทำหน้าที่เป็นโค้ช เหมือนโค้ชกีฬา เพราะถ้านักกีฬาประสบความสำเร็จ นั่นก็หมายถึงความสำเร็จของโค้ชเช่นกัน ความภูมิใจของเราไม่ได้อยู่ที่เขาทำงานให้เราดีวันนี้เท่านั้น (เป็นเพียง ความดีใจที่ผลงานเราออกมาดี) แต่...ความภูมิใจที่แท้จริงและยิ่งใหญ่คือคนที่เคยเป็นลูกน้องเรา เขาประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานหรือในชีวิตและคนอื่นพูดถึง เราจะเห็นว่าทุกครั้งที่คนอื่นชื่นชมความสำเร็จของอดีตลูกน้องเรา เราอดไม่ได้ที่จะอาศัยผลแห่งความสำเร็จของเขาสร้างกำลังใจให้กับเรา บางครั้งแค่เพียงอดีตลูกน้องเรา เขาบอกกับคนอื่นว่าเขาเคยเป็นลูกน้องเรามาก่อน เพียงแค่นี้เราก็เกิดความภูมิใจมากแล้วครับ ยิ่งถ้าลูกน้องเราที่ประสบความสำเร็จเอ่ยถึง แม้เพียงชื่อเราว่ามีส่วนทำให้ เขาประสบความสำเร็จ ยิ่งทำให้เรามีคุณค่าในสายตาคนอื่นมากยิ่งขึ้นไปอีก ดังนั้น ขอให้คิดเสียว่าสังขารและมันสมองของเรามันเติบโตช้ากว่าลูกน้องแล้ว ทำอย่างไรเราจึงจะเอาประสบการณ์ที่มีอยู่ ให้ลูกน้องไปใช้เป็นเสบียงในการเดินทางไปสู่ความสำเร็จในชีวิตให้ได้ นี่คือโจทย์ที่สำคัญของคนที่เป็นหัวหน้าทุกคน

แนวทางที่ผมคิดว่า หัวหน้าน่าจะลองนำมาใช้ในการพัฒนาลูกน้องให้เป็นหัวหน้า เช่น
ฝึกให้ลูกน้องคิดแทนหัวหน้าก่อนที่หัวหน้าจะคิดทำ


เมื่อมีงานอะไรเข้ามา ถ้ายังมีเวลาลองมอบหมายให้ลูกน้องคิดแทนเราไปก่อนหนึ่งครั้ง
ถ้าดีก็เอาความคิดลูกน้องมาปฏิบัติ ถ้ายังไม่ดีก็ให้คำแนะนำเขาไป
ถ้าทำอย่างนี้บ่อยๆ คนที่เป็นลูกน้องก็จะมีตำแหน่งทางสังคมเป็นลูกน้อง แต่สมองได้เป็นหัวหน้าไปเรียบร้อยแล้ว

ให้โอกาสลูกน้องให้เป็นหัวหน้า

โดยการมอบหมายงานให้ทำงานแทน รักษาการแทน สลับกันเป็นผู้นำในแต่ละเรื่อง
หรือแม้กระทั่งลองเป็นประธานในที่ประชุมแทนหัวหน้า และหัวหน้าลองเป็นผู้เข้าร่วมประชุมบ้าง
จะทำให้ลูกน้องได้มีโอกาสเรียนรู้ ข้อจำกัดของการเป็นหัวหน้ามากยิ่งขึ้น ดีกว่าปล่อยให้เขาไปเจอเองเมื่อถึงเวลา

ร่วมกับลูกน้องวางเส้นทางความก้าวหน้าในอาชีพ

หัวหน้าควรจะมีทั้งบทบาทของการเป็นหัวหน้า และที่ปรึกษาเรื่องราวในชีวิตของลูกน้องด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการวางแผนความก้าวหน้าในชีวิตของลูกน้อง ว่าเขาควรจะเติบโตไปทางไหน
ต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง และต้องให้คำแนะนำอย่างจริงใจ และพร้อมที่จะสนับสนุนให้ลูกน้องมีโอกาสเติบโต

พัฒนาลูกน้องตามความถนัดและเหมาะสม

หัวหน้าควรจะกำหนดแนวทางในการพัฒนาลูกน้องให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล
เพราะเรามีเวลาจำกัด มีทรัพยากรจำกัด ดังนั้น อาจจะต้องมีจัดลำดับความสำคัญของลูกน้องที่ต้องพัฒนา
อาจจะกำหนดส่งพวกเขาให้ถึงฝั่งเป็นรุ่นๆ ไป เพราะคงเป็นไปไม่ได้ที่ทุกคนจะถึงฝั่งพร้อมๆ กัน

ลูกน้องที่เก่งเหมือนคลื่นที่มาแรง จงอย่าแซงแต่จงเกาะไปกับกระแส

ถ้าใครมีลูกน้องที่เก่ง มีไฟในการทำงานสูง เราไม่ควรไปปิดกั้นหรือปิดโอกาสเขา
เพราะเราไม่สามารถปิดกั้นได้ตลอด วันใดที่เขาพบช่องที่จะไปเราอาจจะพัง
ขอให้หัวหน้าจงสนับสนุนคนที่เก่งและมีไฟ เพราะถ้าเราดูแลเขาดีในช่วงที่เขายังเป็นลูกน้องเราอยู่
ผมเชื่อมั่นว่าวันที่เขาขึ้นไปเป็นหัวหน้าเราหรือผู้บริหารของเรา เขาคนนั้นจะไม่มีวันลืมเราอย่างแน่นอน

สรุป โจทย์ที่สำคัญของคนที่เป็นหัวหน้าคือ ทำอย่างไรให้ลูกน้องขึ้นมาเป็นหัวหน้าเราหรือเป็นหัวหน้าคนอื่นโดยที่เรามีส่วนร่วมกับความสำเร็จของเขา และเป็นคนที่คนในองค์กรให้การยอมรับในความสามารถ ผมคิดว่าต่อไปองค์กรอาจจะต้องตั้งโจทย์ สำหรับการเลื่อนตำแหน่งหัวหน้าเสียใหม่ว่า ใครสามารถทำให้ลูกน้องเติบโตและก้าวหน้าได้มากและดีกว่ากัน คนๆ นั้นจะได้รับการยกย่องให้เป็นโค้ชแห่งการพัฒนาคนในองค์กร เพราะหัวหน้าหลายคนอาจจะไม่เก่งเรื่องความสามารถในการทำงาน แต่อาจจะเก่งในด้านการพัฒนาคนอื่นให้เก่งได้ สุดท้ายนี้หวังเป็นอย่างยิ่งว่า หัวหน้าที่ได้อ่านบทความนี้จะนำแนวคิดที่ได้ไปใช้ในการพัฒนาลูกน้องให้ประสบความสำเร็จ ในชีวิตการทำงานต่อไปนะครับ
“หัวหน้าจะได้ดีเพราะลูกน้องครับ”
ที่มา :www.hrcenter.co.th

" บทความเพื่อเป็นกำลังใจในการทำงาน จาก "ในหลวงของเรา"



ประสบการณ์ดี ๆ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงรับสั่งให้กำลังใจในการทำงาน
องคมนตรีสุเมธ ท่านได้เล่าให้ฟังว่า
"ตอนนั้นผมกำลังทำงานอยู่ในสภาพจิตใจที่แย่มาก มันไม่มีกำลังใจจะทำอะไร
ท้อแท้กับงานมาก ไม่มีใครเข้าใจ เหมือนทำดีแต่ไม่ได้ดี" ในหลวงท่านทรงเสด็จมาพอดี
และท่านได้เห็นสีหน้าผมไม่สู้จะดี ท่านได้สอบถามจนได้ความว่าผมกำลังท้อแท้กับงาน
ท่านจึงตั้งคำถามและรับสั่งว่า ท่านสุเมธเคยขายเศษเหล็กไหม
เศษเหล็กเหล่านั้น เวลาขาย คุณค่ามันต่ำมาก คงได้เงินมาไม่กี่บาท
แล้วถ้าเราเอาเศษเหล็กเหล่านั้นมาหลอมรวมกันเป็นแท่ง เวลาหลอมนี่ เหล็กมันคงรู้สึกร้อนมาก
พอหลอมเสร็จเรานำมาทำเป็นดาบ คงต้องนำมาตีให้แบนอีก
เวลาตีก็ต้องเอาไปเผาด้วยไฟ ต้องตีไปเผาไปอยู่หลายรอบกว่าจะเป็นรูปเป็นร่างดาบอย่างที่เราต้องการ
ต้องผ่านความเจ็บปวด ความร้อนอยู่นานแถมเมื่อเสร็จแล้วถ้าจะให้สวยงามดังใจ
ก็ต้องนำไปแกะสลักลวดลายเวลาที่แกะสลักลวดลายก็คงต้องใช้ของแข็งมีคมมาตีให้เป็นลวดลายอีก
แต่เมื่อเสร็จเป็นดาบที่งดงามก็จะมีคุณค่าที่สูงมากเทียบกับเศษเหล็กคงจะต่างกันลิบลับ
จะเห็นว่ากว่าที่เศษเหล็ก ไม่มีคุณค่ามากนักจะกลายเป็นดาบอันงดงามนั้น
ต้องผ่านอุปสรรคมามากมายทั้งความเจ็บปวดต่าง ๆ กว่าจะประสบความสำเร็จ
ดังนั้น
ขอให้จำไว้อย่างหนึ่งว่า
"ใครไม่เคยถูกตี ถูกทุบ เจอเรื่องเลวร้ายในชีวิตมาเลยนั้น จงอย่าได้หาญคิดการใหญ่”
บทความนี้น่าจะเป็นกำลังใจให้กับหลายๆคนที่ท้อแท้กับการทำงาน ให้อ่านบนความนี้แล้วชีวิตการทำงานจะดีขึ้นแน่นอน


อ่านบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ก้าวแรกของความสำเร็จ (The First step is always the hardest)

โดย พี่เปิ้ล

ในที่สุดวันพฤหัสบดีที่ 18 สิงหาคม 2554 ก็กลายเป็นวันแรกของการผลิต H2O2 ของพวกเรา ถือว่าเป็นความสำเร็จก้าวแรกของทีมงานเราและคงจะไม่สายไปที่จะแสดงความยินดีกับความสำเร็จกับทุกๆคน เบื้องหลังของความสำเร็จนี้ล้วนมาจากความร่วมแรงร่วมใจกันของพี่ๆน้องๆทุกคนที่ทำงานกันอย่างทุ่มเทภายใต้สภาวะการณ์ที่กดดัน

พี่เริ่มมาร่วมงานกับโครงการนี้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2551 ก็นับว่าเป็นระยะเวลาที่นานพอสมควรกว่าจะถึงวันแห่งการผลิต แต่พี่ก็เชื่อว่าเวลาที่มีค่าอย่างนี้ไม่ได้หากันง่ายๆ ในชีวิตของการทำงานในโรงงาน บางคนอาจจะไม่เคยได้มีโอกาสสัมผัสกับการสร้างโรงงาน สร้างทีมงาน จนถึงกับการผลิตอย่างเต็มรูปแบบอย่างพวกเรา และที่สำคัญต้องถือว่าพวกเราเป็นทีมงานประวัติศาสตร์ของโซลเวย์ที่สร้างและดำเนินการผลิตโรงงานผลิต H2O2 ที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่การดำเนินการผลิตถือว่าเป็นเพียงการเริ่มต้นของพวกเราเท่านั้น สิ่งที่จะทำให้พวกเราเป็นองค์กรที่แตกต่างและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวคงไม่ใช่มาจากเทคโนโลยีที่ดีที่สุดหรือที่มีขนาดใหญ่ที่สุด เพราะในอนาคตก็คงจะมีโรงงานที่ขยายขนาดขึ้นเรื่อยๆเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเชิงการตลาดของบริษัท แต่สิ่งที่สามารถสร้างความแตกต่างที่ดีที่สุดคือวิถีการทำงานหรือวัฒนธรรมองค์กรของพวกเรา

ที่ผ่านมาเราคงมีความรู้สึกว่ากิจกรรมบางอย่างอาจจะไม่สำเร็จรวดเร็วอย่างที่ใจเราอยากให้เป็นเช่น ระบบเอกสารต่างๆ, เอกสารประกอบการทำงาน, รายงานประจำกะ,5ส,การสอบ ฯลฯ แต่พี่ก็เชื่อว่าทุกคนเข้าใจว่าการจะทำทุกอย่างให้สำเร็จพร้อมๆกันในขณะที่ทรัพยาก (เวลา, กำลังคน) ที่เรามีค่อนข้างจำกัดเป็นไปได้ยาก แต่พี่ก็ดีใจที่ทุกคนก็ยังมีข้อเสนอแนะที่ดีและมีความตั้งใจในการทำงานช่วยเหลือกันจนถึงวันนี้
จากนี้ไปเราคงต้องเริ่มต้นการเป็นเจ้าของบ้านที่เราร่วมกันสร้างมาและปลูกฝังการทำงานแบบครอบครัวเดียวกัน หรือ Home (ใน iHears)ให้เกิดขึ้นจริงในองค์กรและสิ่งนี้จะช่วยเติมเต็มส่วนต่างๆในวัฒนธรรมองค์กรไม่ว่าจะเป็น นวัตกรรม จริยธรรมในการทำงาน ทัศนคติที่ดี ความรับผิดชอบต่อสังคม และ การทำงานเป็นทีม ให้สมบูรณ์ขึ้น รวมถึงช่วยกันพัฒนาระบบการทำงานที่มีมาตรฐานที่ดีเพื่อก้าวต่อไปอย่างยั่งยืน

พี่ขอขอบคุณกับความทุ่มเทของพี่ๆน้องๆทุกคนกับความสำเร็จก้าวแรก การ Start up โรงงานผลิต H2 โรงงานกลั่น H2O2 และ การเป็นทีมงานที่ดีที่สุดจะเป็นความสำเร็จก้าวต่อไปที่รอคอยพวกเราอยู่ครับ
อ่านบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เทคนิคการบริหารเจ้านาย (Manage your BOSS !)


เกิดจากการกินชาเขียวแล้วนอนไม่หลับทำให้ต้องมานั่งท่องราตรีในอินเตอร์เนต เข้าไปอ่านเวปประจำไปเจอะบทความอันนึงเข้า เฮ้ยย... มันน่าสนใจนะ มีใครกล้าคิดอะไรแบบนี้ด้วยเหรอ(วะ) เลยเอามาแบ่งปันกันดู อ่านไปอ่านมาส่วนตัวผมชอบนะ บางครั้งการมองในมุมกลับบ้าง มันเป็นอะไรที่น่าสนใจ มันทำให้รู้ถึงใจเขาใจเรา แถมยังได้ประโยชน์อีกต่างหาก ไม่เชื่อ กดเข้าไปเลยอย่าช้าที



ในชีวิตจริงของการทำงานไม่ว่าในองค์กรแบบไหน องค์กรภาครัฐ บริษัทเอกชนหรือแม้กระทั่งองค์กรการกุศล เสียงบ่นเกี่ยวกับเจ้านายมักจะอยู่ในร่องเสียงเดียวกัน (มองในแง่ลบ) เสียงสะท้อนที่เกิดขึ้นคล้ายๆกัน เช่น


เผด็จการชอบสั่งงานลูกน้อง “คุณต้องทำอย่างนี้” “ห้ามทำอย่างนั้น
รับแต่ความดีและความชอบ แต่โยนความผิดให้ลูกน้อง
จุกจิกเรื่องส่วนตัว สนใจในเรื่องไม่เป็นเรื่อง
ชอบสั่งงานตอนใกล้เลิกงาน เป็นอาจิณ
เปลี่ยนความคิดทุกวัน วันนั้นจะเอาอย่างนี้ วันนี้จะเอาอย่างนั้น
เจ้าอารมณ์ หงุดหงิด โมโหง่าย เอาแต่ใจตัวเอง
เจ้านายไม่เก่ง ดีแต่ประจบเจ้านาย(ของเจ้านาย)
มีแต่จับผิด ไม่เคยจับถูก ไม่เคยชมลูกน้อง
รักลูกน้องไม่เท่ากัน ลำเอียง อคติ เลือกที่รักมักที่ชัง
เจ้านายเจ้าชู้ (สาวๆที่มีเจ้านายเป็นผู้ชาย)
ขี้โม้โอ้อวดว่าตัวเองเก่ง ดูถูกลูกน้อง
ฯลฯ

ปัญหาของ “เจ้านาย” ส่วนใหญ่อยู่ที่ใจของลูกน้องมากกว่าเกิดจากตัวเจ้านาย ลองพิจารณาดูดีๆซิครับว่า ไม่ว่าเราจะมีเจ้านายแบบไหน เราก็ยังสามารถหาข้อไม่ดีของเจ้านายมาบ่นได้อยู่ดี วันแรกๆที่เข้าไปทำงานกับเจ้านายคนนั้นใหม่ ทุกอย่างดูเหมือนจะสดใสไปหมด แต่พอทำงานไปสักระยะหนึ่ง รู้สึกว่าความสัมพันธ์ทางใจของลูกน้องที่มีต่อหัวหน้าเริ่มเปลี่ยนไป ทั้งๆที่หัวหน้ายังเป็นคนเดิม นิสัยเดิม เพราะใจเราเปลี่ยนไปต่างหาก


เรามักจะหาข้อผิดมาดิสเครดิตทางใจของเจ้านาย เหมือนการแข่งกีฬาที่มีระบบการให้คะแนนแบบเต็มไว้ก่อน แล้วเมื่อทำผิดค่อยนำมาหักทีละจุดๆ เช่น ยิมนาสติกก่อนเล่นทุกคนมีคะแนนเต็มสิบ ถ้าพลาดตรงไหนก็จะถูกหักคะแนนในจุดนั้น (เหมือนรายการทำผิด อย่าเผลอ อะไรทำนองนั้น) สุดท้ายแล้วคนที่เก่งที่สุดคือคนที่ได้คะแนนเสมอตัว (ได้คะแนนเท่ากับคะแนนเต็มที่ให้ไว้) ไม่เหมือนกีฬาบางประเภท เช่น ฟุตบอลมีการนับแต้มที่ทำได้และบวกขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด


แน่นอนว่าถ้าเราให้คะแนนเจ้านายแบบยิมนาสติก ดีที่สุดคือเขาจะมีคะแนนในใจเราเพียงแค่เสมอตัว ไม่รักและไม่เกลียด แต่ถ้าเราให้คะแนนเจ้านายแบบฟุตบอล ทำดีเมื่อไหร่ใส่คะแนนบวก ถูกใจเราเมื่อไหร่ก็ใส่คะแนนบวก ถ้าคิดอย่างนี้เจ้านายทุกคนก็มีโอกาสมีกำไรบ้าง ไม่ใช่มีทางเลือกเพียง “เจ๊า” กับ “เจ๊ง” ในสายตาของลูกน้อง

ในเมื่อเราหลีกเลี่ยงปัญหาเจ้านายไม่ได้ เราก็มีทางเลือกและทางออกเพียงไม่กี่ทางคือ

ทะเลาะกับเจ้านาย ทะเลาะกับเจ้านายทีไร ลูกน้องเสียเปรียบวันยังค่ำ เพราะโอกาสที่เจ้านายจะถูกย้ายไปหน่วยงานอื่นนั้นยากกว่าลูกน้องจะถูกย้าย เพราะตำแหน่งเจ้านาย(หัวหน้า) มีน้อยกว่าตำแหน่งลูกน้อง โอกาสที่ลูกน้องจะไปชี้แจงให้ผู้บริหารระดับสูงรับทราบก็น้อยกว่าเจ้านาย เพราะผู้บริหาร(ซึ่งทุกคนก็มีตำแหน่งเป็นเจ้านายาอีกตำแหน่งหนึ่ง)มักจะมองว่าลูกน้องคนไหนทะเลาะกับเจ้านาย แสดงว่าหัวแข็งปกครองยาก ดูแล้วโอกาสรอด.....ยากมากครับ
เซย์กู๊ดบายไปหาเจ้านายใหม่ นี่ก็เป็นทางออกอีกทางหนึ่งที่หลายๆคนชอบใช้ ไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะต้องทนอยู่กับเจ้านายมีปัญหา หนีปัญหาดีกว่า คนที่คิดแบบนี้ผมรับรองได้เลยว่าชีวิตนี้เขาจะเปลี่ยนงานเป็นอาชีพ เพราะไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนก็จะมีปัญหากับหัวหน้าอยู่ดี หัวหน้าคนนี้อาจจะมีปัญหาอย่างหนึ่ง หัวหน้าอีกคนก็จะมีปัญหาอีกอย่างหนึ่ง เราไม่สามารถหาเจ้านายในฝันได้หรอกครับ
ทนอยู่จนกว่าใครคนใดคนหนึ่งจะจากไป บางคนใช้วิธี “ใครเหนียวกว่ากัน” คนประเภทนี้ไม่หนีและไม่สู้ซึ่งหน้า เจ้านายจะให้ทำอะไรก็ไม่ขัด แต่ก็ทำแบบขอไปที ไม่ให้มีความผิดจนเจ้านายไล่ออกได้ หรือไม่ทำเสียจนดูเหมือนเอาใจเจ้านาย กลุ่มนี้จะยึดคติที่ว่าจะอยู่ไปจนกว่าจะมีทางไปที่ดีหรือไม่ก็เจ้านายจำใจต้องจากไปเอง
เปลี่ยนใหม่หันมาเอาใจนายดีกว่า บางคนมีเหตุผลส่วนตัวที่จะต้องอยู่กับองค์กร ไม่สามารถเปลี่ยนไปอยู่ที่อื่นได้ เช่น สามีหรือภรรยาอยู่ที่นี่ บริษัทนี้อยู่ใกล้บ้าน ที่นี่สวัสดิการดี อายุมากแล้ว ออกไปอยู่ที่อื่นคงจะยาก ในเมื่อเสียเปรียบหัวหน้าทุกประตู อย่างนี้ก็แปรพักตร์ไปอยู่ฝั่งเจ้านายดีกว่า ไม่ต้องสนใจว่าเราจะชอบเจ้านายหรือไม่ แต่ขอให้เป้าหมายหลักของเราอยู่ก็พอแล้ว ยอมให้คนอื่นว่า “ชเลียร์” ก็ไม่เป็นไร เพราะยังไงก็ยังมีงานทำ มีเงินเดือนใช้
บริหารเจ้านายซะ มีไม่กี่คนที่คิดถึงวิธีนี้ เพราะส่วนใหญ่จะแก้ปัญหาเจ้านายด้วยอารมณ์มากกว่าการใช้สติ ลูกน้องมักจะมองเจ้านายไปในแง่ลบมากว่าแง่บวก การบริหารเจ้านายเป็นทางเลือกและทางออกที่ลูกน้องยุคใหม่ควรจะนำไปใช้ เพราะนอกจากจะอยู่ร่วมกันกับเจ้านายได้อย่างสบายแล้ว ยังสามารถพัฒนาทักษะในการบริหารจัดการคน(ที่สูงกว่า) ได้เป็นอย่างดี

ลองมาดูกันต่อไปนะครับว่าทำไมเราต้องเลือกวิธีการบริหารเจ้านายมากกว่าวิธีอื่น หรือถ้าเราไม่บริหารเจ้านายแล้วจะเกิดอะไรขึ้น


ถ้าเราไม่บริหารนาย นายจะบริหารเรา
โดยธรรมชาติแล้ว เจ้านายต้องบริหารลูกน้องอยู่แล้ว เจ้านายมักจะวางแผน สั่งงาน ติดตามงาน ควบคุมงาน ประเมินผลงานของลูกน้อง ถ้าเราเป็นลูกน้องโดยธรรมชาติเหมือนกัน รับรองได้ว่าวันๆหนึ่งเราจะต้องนั่งรอว่าเจ้านายจะสั่งงานอะไรบ้าง วันๆเราจะต้องคอยทำงานคำสั่งที่เจ้านายต้องการ คอยมานั่งตอบว่างานนั้นงานนี้ไปถึงไหนแล้ว เราจะต้องทำงานที่มีเดทลายน์ไปตลอด เพราะเจ้านายมักจะกำหนดงานเพราะกับวันส่งหรือวันเสร็จมาให้เสมอ ถ้าเจ้านายเราคือกระแสน้ำ แน่นอนว่าเราไม่อาจจะป้องกันไม่ให้มันไหลได้ แต่ถ้าเราเตรียมตัวล่วงหน้าเราอาจจะไม่ถูกกระแสน้ำพัดจนจมหายไป ถ้ายิ่งเราวางแผนบริหารจัดการกับกระแสน้ำนั้นได้ เผลอๆเราอาจจะใช้ประโยชน์จากกระแสน้ำนั้นได้ เช่น การค่อยๆเปลี่ยนทิศทางของกระแสน้ำไปยังทิศทางที่เราต้องการมากกว่าให้มันไหลไปตามธรรมชาติ
นายเป็นคนที่เปลี่ยนแปลงบ่อย
เหตุผลหนึ่งที่เราจะต้องหันมาเลือกวิธีการบริหารเจ้านาย เพราะเจ้านายเกือบทุกคนจะมีการเปลี่ยนแปลงความคิด แนวทาง วิธีการทำงานบ่อยๆ จนบางครั้งลูกน้องรู้สึกหงุดหงิด ถ้าเจ้านายทุกคนไม่ค่อยมีอะไรเปลี่ยนแปลง เราคงไม่ต้องมานั่งบริหารเจ้านายให้เมื่อยหรอกนะครับ
เจ้านายมีหลากประเภท หลายสไตลน์
เจ้านายก็คือคนๆหนึ่งที่มีเอกลักษณ์ของเอกบุรุษหรือสตรีที่ไม่เหมือนใคร เจ้านายคนหนึ่งเป็นแบบนี้ เจ้านายอีกคนเป็นแบบนั้น ไม่ว่าจะเป็นสไตลน์การบริหาร ไม่ว่าจะเป็นบุคลิกภาพส่วนบุคคล ดังนั้น ถ้าเราไม่พร้อมสำหรับการบริหารเจ้านาย รับรองได้ว่าโอกาาสพลาดของเรามีเยอะ เพระาไม่พลาดกับเจ้านายคนนี้ก็อาจจะพลาดกับเจ้านายอีกคนหนึ่ง
ถ้าบริหารนายได้ จะทำงานง่ายขึ้น
ถ้าเราสามารถบริหารเจ้านายได้ การทำงานทุกอย่างก็จะง่ายขึ้น เพราะบางเรื่องเราสามารถชี้นำความคิดเจ้านายให้เข้าทางเราได้ บางเรื่องเราสามารถโน้มน้าว ต่อรองให้เจ้านายเห็นด้วยกับแนวทางการทำงานของเราได้ เมื่อเจ้านายและลูกน้องมีความชัดเจนในการตกลงเป้าหมายการทำงานร่วมกันแบบเห็นชอบด้วยกันทั้งสองฝ่ายแล้ว
นายไม่มีเวลาบริหารตัวเอง เพราะมัวแต่บริหารคนอื่น
เจ้านายส่วนใหญ่มักจะมองออกไปข้างนอก(ตัวเอง) คือมุ่งเน้นแต่การบริหารคนอื่น(ลูกน้อง) ดังนั้น จุดอ่อนอย่างหนึ่งที่มักจะเกิดขึ้นและเป็นโอกาสให้กับเราในฐานะลูกน้องคือ เจ้านายขาดการบริหารตัวเอง จุดอ่อนนี้น่าจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยให้เราสามารถบริหารเจ้านายได้
ถ้าเติบโต เรามีโอกาสโตตาม
ถ้าเรามีส่วนช่วยบริหารเจ้านายให้เติบโตในหน้าที่การเงินได้เร็วเท่าไหร่ มากเท่าไหร่ โอกาสที่เราจะโตตามเจ้านายก็มีมากขึ้นเท่านั้น เพราะถ้าเราบริหารเจ้านายได้ดี แล้วเจ้านายจะขาดเราไม่ได้ พูดง่ายๆว่าถ้าเจ้านายได้รับการเลื่อนตำแหน่งที่สูงขึ้นไป เขาจะต้องหนีบเราติดไปด้วย เพราะยิ่งสูงยิ่งหนาว ต้องการเพื่อนที่รู้ใจในการทำงานมากยิ่งขึ้น
นายคือเครื่องมือที่ทรงพลังของเรา
ถ้าเรามองโลกในแง่ดีแล้ว เราจะพบว่าเจ้านายคือเครื่องมือการทำงานที่ทรงพลัง เพราะเจ้านายมีทั้งอำนาจบารมี ในบางโอกาสเจ้านายสามารถนำเสนองานต่อผู้บริหารแทนเราได้ เจ้านายสามารถจัดการกับหน่วยงานอื่นที่มีปัญหากับเราได้ เราสามารถใช้เจ้านายให้เป็นที่ปรึกษาให้เราได้ในหลายๆเรื่อง เราสามารถใช้เจ้านายเป็นผู้ที่ให้ความรู้กับเราได้
นายคือฝ่ายการตลาดของเรา
เจ้านายคือช่องทางการจัดจำหน่ายผลผลิตจากการทำงานของเรา บางครั้งเจ้านายเอาผลผลิต(งาน)ของเราไปขายให้ผู้บริหาร บางครั้งเอาไปขายให้กับหน่วยงานอื่น เอาไปขายให้พนักงาน ในขณะเดียวกันเจ้านายถือเป็นช่องทางในการทำการตลาด การโฆษณาตัวเรา ผลงานของเราได้เป็นอย่างดี เพราะเราไม่สามารถไปโฆษณาผลงานและความสามารถของตัวเราเองได้ ต้องอาศัยเจ้านายซึ่งมีเครือข่ายที่ดีกว่าเราช่วยทำการตลาดให้กับเรา
เพื่อความสบายใจของเราเอง
มีคำกล่าวว่า “ในโลกนี้ทุกคนมีอิสระในการเลือกอยู่ตลอดเวลา” ในการทำงานกับเจ้านายก็เหมือนกัน เรามีทางเลือกตลอดเวลา เช่น เราไม่สามารถเลือกเจ้านายได้ก็จริง แต่เราก็มีทางเลือกที่จะทำงานอย่างมีความสุขหรือเลือกที่จะทำงานอย่างมีความทุกข์กับเจ้านายคนนั้นๆ ถึงแม้เราเลือกจะมีความทุกข์กับเจ้านายคนนั้น เราก็ยังมีทางเลือกต่อไปอีกว่า เราจะทำงานอย่างมีความทุกข์ระดับไหน มาก ปานกลาง น้อย และเราก็ยังเลือกได้ต่อไปแบบไม่มีที่สิ้นสุด
นายคือทางผ่านของสะพานชีวิต
คิดว่าเสียว่าการบริหารเจ้านายคือการบริหารตัวเอง ถ้าเราผ่านการบริหารเจ้านายได้หลายคนหลายแบบ แสดงว่าเราได้ผ่านการทดสอบในการพัฒนาตัวเองไปมาก เจ้านายคือสะพานสู่ความสำเร็จในชีวิตของเรา บางช่วงของชีวิตอาจจะเจอสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กอย่างดี บางช่วงอาจจะเจอสะพานไม้แผ่นเดียว บางช่วงอาจจะเจอสะพานแขวนที่แกว่งไปแกว่งมา ยิ่งเราผ่านสะพานมาทุกรูปแบบยิ่งทำให้เราแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
ฝึกซ้อมก่อนที่เราจะเป็นนาย
ถ้าเจ้านายเป็นนักมวย เราอาจจะเป็นเพียงคนล่อเป้าให้นักมวยชก วันนี้เราอาจจะเจ็บตัวบ้างก็ยอมไปเถอะครับ วันหนึ่งในอนาคตข้างหน้าเมื่อเรามีโอกาสเป็นนักมวยตัวจริง (เจ้านาย) เราจะรู้ได้ทันทีว่าจุดอ่อนจุดแข็งของนักมวยส่วนใหญ่อยู่ตรงไหน เราจะได้หาทางป้องกันได้อย่างถูกต้อง การที่เราบริหารเจ้านายก็เท่ากับว่าเราได้ฝึกซ้อมการเป็นเจ้านายไปในตัว เพราะการที่เราจะบริหารเขาได้ เราก็ต้องไม่คิดต่างไปจากเขา เราต้องรู้ทันความคิดของเจ้านาย เมื่อเราฝึกคิดแบบเจ้านายบ่อยๆ ก็เท่ากับว่าเราได้ฝึกซ้อมการคิดแบบคนที่เป็นเจ้านายไว้ล่วงหน้า

ด้วยเหตุผลดังที่ได้กล่าวมาทั้งหมดคงจะพอสรุปได้ว่า การบริหารเจ้านายเป็นทางออกและทางเลือกให้กับผู้ที่ทำหน้าที่ลูกน้องทุกคน เมื่อเราในฐานะลูกน้องเริ่มเห็นความสำคัญและความจำเป็นตรงนี้แล้ว ลองมาดูกันต่อนะครับว่า มีเทคนิควิธีการอย่างไรบ้างในการ “บริหารเจ้านาย” ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในความเป็นจริงแล้ว เทคนิคการบริหารเจ้านายมีเยอะแยะมากมาย แต่ผมจะขอยกตัวอย่างที่คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์และสามารถนำไปใช้งานง่ายๆดังนี้ครับ

อย่าให้เจ้านายมีเวลาว่าง
โดยธรรมชาติของเจ้านายที่มีหน้าที่หางานให้ลูกน้องทำ เพราะเจ้านายส่วนใหญ่จะมีเวลาว่างมากกว่าลูกน้อง จึงมักจะคิดโน่นคิดนี่ แต่ไม่คิดเปล่า ชอบเอาความคิดที่เกิดขึ้นในหัวมามอบหมายให้ลูกน้องไปลองทำ และผลพวงทางความคิดของเจ้านายที่มักจะมอบหมายให้เรามักจะมาพร้อมกับวันกำหนดส่ง ถ้าเป็นเช่นนี้ เราจะถูกเจ้านายบริหารเสียมากกว่าจะบริหารเจ้านาย แนวทางที่เราสามารถบริหารเจ้านายได้ทางหนึ่งก็คือ พยายามคิดโครงการและนำเสนอโครงการให้เจ้านายบ่อยๆ และให้มีจำนวนโครงการมากเพียงพอที่ไปลดเวลาว่างของเจ้านายลงได้ พูดง่ายๆคือหลอกให้เจ้านายยุ่งอยู่กับโครงการที่เรานำเสนอไปให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ สิ่งสำคัญคือเมื่อไหร่ที่เราเป็นผู้เสนอโครงการ เราคือผู้กำหนดชะตากรรมของตัวเอง อย่างน้อยเราก็เป็นคนกำหนดสิ่งที่ต้องทำ เราเป็นคนกำหนดเวลาที่จะทำ เมื่อเป็นเช่นนี้เราก็สามารถใช้โครงการเหล่านี้เป็นเครื่องมือลดเวลาว่างของเจ้านายลงได้อย่างแน่นอน และไม่ต้องกลัวว่าถ้าเจ้านายอนุมัติโครงการทั้งหมดมาแล้ว เราจะไม่ยุ่งกว่าเดิมหรือ เพราะโดยธรรมชาติของเจ้านายส่วนใหญ่ชอบติมากกว่าที่จะเห็นด้วย
จงเข้าหาเจ้านายเวลาเจ้านายอารมณ์ไม่ดี
โดยธรรมชาติของลูกน้อง มักจะเลือกที่จะไม่เข้าหาเจ้านายเวลาเจ้านายอารมณ์ไม่ดี เพราะกลัวโดนลูกหลง กลัวอารมณ์มือสอง จึงทำให้เจ้านายถูกโดดเดี่ยวจากลูกน้อง และเจ้านายเองก็ไม่ค่อยมีที่ปรึกษาเมื่อมีปัญหาทางจิตใจ เราในฐานะลูกน้องมืออาชีพ จึงควรฉกฉวยจังหวะนี้เปลี่ยนวิกฤติของเจ้านายให้เป็นโอกาสของเรา โดยการเข้าไปหาเจ้านายเวลาเจ้านายมีปัญหาหรืออารมณ์ไม่ดี ยอมโดนลูกหลง ยอมเป็นที่ระบายอารมณ์เพียงไม่กี่นาที แต่สิ่งที่เราจะได้คือ เจ้านายจะรู้สึกผิดที่ระเบิดอารมณ์ใส่เราโดยที่เราไม่มีความผิดอะไร ยิ่งทำกับเราบ่อยๆ แล้วเราไม่โกรธ ยิ่งจะทำให้เจ้านายเกิดความรู้สึกผิด เกรงใจและคอยหาโอกาสชดใช้ความผิดกับเรา เช่น เวลาจะด่าเราก็มีอารมณ์ส่วนลดเพื่อชดเชยความผิดที่เจ้านายเคยด่าเราโดยที่เราไม่มีความผิดมาบ่อยๆ การเข้าหาเจ้านายตอนที่อารมณ์ไม่ดี จะสร้างพฤติกรรมที่เจ้านายคุ้นเคยที่ทุกครั้งเวลาอารมณ์ไม่ดี จะติดเรา จะคอยถามหาเรา เพื่อต้องการระบายอารมณ์ เมื่อถึงตอนนั้น เราคือที่ปรึกษาส่วนตัวของเจ้านายไปโดยอัตโนมัติโดยที่เจ้านายไม่รู้สึกตัว เข้าทำนองที่ว่า “ขาดฉันแล้วเธอ (เจ้านาย) จะรู้สึก (เหงา)”
จงทะยอยสร้างผลงานไว้ให้มีกินไปนานๆ
อะไรก็ตามที่เขา(เจ้านาย)รู้หมดในครั้งเดียว โอกาสที่จะสร้างเซอร์ไพรส์จะไม่มีเหลือ เช่น มีฝีมือเท่าไหร่แสดงหมด ฝีมือที่เราแสดงออกไปอาจจะกลับมาเป็นดาบแทงตัวเอง เพราะการทำงานครั้งแรกคือมาตรฐานการทำงานที่อยู่ในใจเจ้านาย วันไหนเราทำงานต่ำกว่าที่เราเคยทำ กลับกลายเป็นว่าเราทำงานต่ำกว่ามาตรฐานในใจเจ้านาย (ถึงแม้ว่าจะสูงกว่าหน้าที่ความรับผิดชอบก็ตาม) ดังนั้น จงวางแผนที่จะนำเอาฝีมือที่เรามีออกมาโชว์เจ้านายเป็นช่วงๆ เหมือนกับการทำโปรโมชั่นให้เลือกค้าซื้อสินค้า ถ้าเรามีทางเลือกในการงัดฝีมือมาใช้มากเท่าไหร่ โอกาสที่ผลงานเราจะเข้าตาเจ้านายก็มีมากขึ้นเท่านั้น บางช่วงอาจจะทำเพียงรักษาระดับผลงานอย่าให้อยู่นอกสายตาเจ้านายก็พอแล้ว แต่บางช่วงบางจังหวะต้องงัดเอาฝีมือออกมาโชว์ให้เต็มที่ โดยเฉพาะตอนที่เจ้านายอยู่ในภาวะคับขันต้องการความช่วยเหลือ ตอนที่เจ้านายมีปัญหารุมเร้ามากมาย การที่เราเสนอตัวเข้าไปช่วยแค่เพียงเรื่องเล็กน้อย เจ้านายก็ถือเป็นเรื่องใหญ่เป็นผลงานขึ้นมาทันที
จงบริหารใจนาย
เจ้านายคือคนธรรมดาคนหนึ่ง ย่อมมีจุดอ่อนในชีวิตไม่ว่าจะเป็นจุดอ่อนโดยลักษณะนิสัย เช่น เป็นคนใจร้อน เป็นคนที่ไม่ค่อยละเอียดรอบคอบ ฯลฯ หรือจุดอ่อนที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลาตามลักษณะของปัญหาที่เข้ามารุมเร้า เราจงคอยเฝ้าดูว่าอะไรคือจุดอ่อนของเจ้านาย เมื่อไหร่เจ้านายมีจุดอ่อน แล้วคอยหาจังหวะเข้าไปคุย เข้าไปเป็นเพื่อน และประเด็นสำคัญคือ จงอาสาทำงานที่เจ้านายอยากจะทำมาก แต่ลูกน้องคนอื่นไม่ค่อยอยากจะทำ นี่คือโอกาสอันดีที่เราจะซื้อใจเจ้านายได้ เพราะการอาสาของเราคือความหวังของเจ้านาย โดยเฉพาะโครงการที่เป็นความอยากส่วนตัวของเจ้านาย นอกจากนี้ ลูกน้องมืออาชีพต้องสามารถวิเคราะห์ลักษณะนิสัยใจคอเจ้านายออกว่า เจ้านายเราเป็นคนอย่างไร เช่น เจ้านายบางคนหน้าใหญ่ เจ้านายบางคนชอบคนยกยอ เจ้านายบางคนชอบคนเก่ง ฯลฯ ดังนั้น เราควรจะทำงานให้ถูกใจและตรงกับลักษณะนิสัยของเจ้านาย
จงเถียงเจ้านายเรื่องความคิดเห็น แต่อย่าเถียงเรื่องข้อเท็จจริง
การเป็นผู้ตามเพียงอย่างเดียว เจ้านายบางคนไม่ชอบ แต่จะชอบลูกน้องที่มีความคิดเห็นเป็นของตัวเอง เพื่อให้เจ้านายได้มีโอกาสประลองวิชาความรู้ ถ้าเราอยากจะเป็นบุคคลที่มีคุณค่าในสายตาเจ้านายจงหัดเถียงเจ้านายบ้าง แต่ขอแนะนำว่าควรจะเถียงกับเจ้านายในเรื่องที่เป็นความคิดเห็นจะดีกว่า เพราะโอกาสผิดนั้นมีน้อย (เพราะมันเป็นความคิดเห็น) และไม่มีใครผิด ไม่มีใครเสียหน้า เจ้านายมีโอกาสใช้บารมีข่มเราให้ยอมรับความคิดเห็นของเขาได้ เราก็ยอมได้เพราะมันเป็นเพียงความคิดเห็น แต่...ถ้าเราไปเถียงกับหัวหน้าเรื่องข้อมูลหรือข้อเท็จจริง สามารถพิสูจน์ได้ง่ายว่าเราหรือเจ้านายผิด ถ้าเราผิดจะกลายเป็นชะนักติดหลังเราไปที่อยู่ในใจเจ้านายไปตลอด แต่ถ้าเจ้านายผิด จะทำให้เจ้านายเสียนายถึงแม้ว่าไม่มีใคร(นอกจากเรา)รู้ก็ตาม
อย่าเอาใจ แต่ต้องรู้ใจ
การบริหารเจ้านาย เราจะต้องรู้ใจ แต่..อย่ามัวแต่เอาใจเจ้านายจนเกินหน้าเกินหน้า เผลอๆทำให้เจ้านายเกิดอาการสะอิดสะเอียนได้ แต่ขอให้รู้ใจว่าในแต่ละช่วงเวลาเจ้านายต้องการอะไร เช่น บางครั้งเจ้านายต้องการให้เราเป็นผู้ฟัง บางครั้งเจ้านายต้องการให้เรามีส่วนร่วม บางครั้งเจ้านายต้องการคนยืนยันความคิดของเจ้านาย บางครั้งเจ้านายต้องการข้อมูลสนับสนุน คนที่เป็นลูกน้องที่เก่งๆ จะต้องมองตาแล้วรู้ใจว่าในแต่ละช่วงเวลา เจ้านายต้องการอะไร และเราค่อยตอบให้ตรงใจเจ้านาย บางครั้งลhttp://www.blogger.com/img/blank.gifงทุนเพียงแค่พยักหน้าเห็นด้วย ก็อาจจะได้คะแนนในใจเจ้านายไปเพียบแล้ว


สรุป การบริหารเจ้านายถือเป็นปัจจัยสำคัญสู่ความสำเร็จในการทำงานปัจจัยหนึ่ง นอกเหนือจากฝีมือและความสามารถในการทำงานแล้ว เพราะเจ้านายคือผู้ที่จะแปลงความสามารถของเราเป็นคุณค่าทั้งในสายตาเจ้านายเองและผู้อื่น และถ้าเราสามารถบริหารเจ้านายได้โดยที่เจ้านายไม่รู้ตัวแล้ว ถือว่าเป็นความสำเร็จอของลูกน้องมืออาชีพ และวันหนึ่งเวลาเราขึ้นไปเป็นหัวหน้า เราก็จะรู้ทันลูกน้อง รวมถึงสามารถล่วงรู้ใจของลูกน้องได้โดยไม่ยากเช่นกัน

Credit: http://www.peoplevalue.co.th/index.php?lay=show&ac=article&Id=539104746&Ntype=10
อ่านบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เป้าหมายประจำวัน (Daily Success)



By Nick

เชื่อว่าแทบทุกคนเคยถามตัวเองว่า "เป้าหมายในชีวิตเราคืออะไร" เชื่ออีกว่าแทบทุกคนต้องคิดว่า มีชีวิตสุขสบาย ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ไม่มีเรื่องให้เครียดเศร้าหมอง คนเราคงไม่ต้องการอะไรมากมายไปกว่านี้เท่าไหรนัก แต่เราเคยมานั่งขบคิดต่อมั้ยว่า เอ๊ะ เราจะทำเช่นไร เพื่อให้เรามีชีวิตแบบนั้น.... ผมนึกถึงเรื่องนี้ตอนอาบน้ำ

จากจุดนี้เองระหว่างที่ผมกำลังใช้เวลาหลังอาบน้ามนั่งท่องทะเลอิเล็กทรอนิคไปเรื่อยๆ ไปเจอะบทความนี้เข้า น่าสนใจดีวันนี้เลยอยากมานำเสนอบทความที่เกี่ยวกับการหาเป้าหมายให้กับชีวิต โดยเริ่มจากชีวิตประจำวันนี่แหละ บางครั้งเรามองภาพกว้างเกินไป มองไกลเกินไป จนลืมมองว่า ข้างหน้าที่เราจะเจอคืออะไร ลองอ่านบทความนี้ดู อาจทำให้ชีวิตเราเดินช้าลง กลับมามองตัวเรามากขึ้น แล้วจะพบว่า วันๆนึงมีอะไรให้สำเร็จ อย่างมากมาย


การกำหนดเป้าหมายประจำวัน : จุดเริ่มต้นของความสำเร็จในชีวิต

ผมเชื่อว่าทุกคนคงจะมีเป้าหมายในชีวิตกันทุกคน บางคนอยากประสบความสำเร็จด้านการงาน บางคนต้องการประสบความสำเร็จด้านการเงิน ด้านการศึกษา ด้านครอบครัว เช่น บางคนตั้งใจจะศึกษาต่อตั้งแต่เพิ่งเริ่มทำงาน ตอนนี้ทำงานผ่านไปแล้วสิบปีก็ยังไม่ได้เริ่ม บางคนตั้งใจจะเก็บเงินเดือนเท่านั้นเท่านี้ ถึงตอนนี้ยังไม่มีเงินเก็บเลยแม้แต่บาทเดียว (มีแต่เงินที่เก็บไว้ใช้หนี้ตอนสิ้นเดือน) บางคนอยากจะไปเที่ยวเมืองนอก ถึงตอนนี้ได้ไปเพียงแค่นอกเมือง อีกสารพัดเป้าหมายที่เรามักจะไม่ได้ตามเป้า

แต่ถ้าลองพิจารณาดูให้ดีเรามักจะพบว่าเป้าหมายนั้นๆมักจะไม่ค่อยก้าวหน้า มักจะไม่ค่อยประสบความสำเร็จนั้นเหตุผลสำคัญไม่ได้อยู่ที่เราไม่มีความสามารถ เราไม่มีโชค แต่...อยู่ที่ขาดการวางแผนการปฏิบัติสู่เป้าหมายนั่นเอง บางคนอาจจะบอกว่ามีแผนชัดเจนว่าปีนั้นปีนี้จะทำอะไร เท่านี้ยังไม่พอหรอกครับ แผนปฏิบัติที่ผมหมายถึงในที่นี้คือแผนปฏิบัติรายวัน รายสัปดาห์และรายเดือน

การกำหนดเป้าหมายและแผนการปฏิบัติรายวันคือหัวใจสำคัญในการนำไปสู่ความสำเร็จของเป้าหมายระยะยาวในชีวิตที่เรากำหนดไว้ เช่น เราต้องการเป็นนักกีฬาที่มีชื่อเสียงระดับโลกภายใน 10 ปี ต้องการเป็นผู้บริหารภายใน 5 ปี แต่ถ้าวันนี้ พรุ่งนี้เรายังไม่รู้ว่าเราจะทำอะไรบ้าง รับรองได้ว่าโอกาสที่เป้าหมายนี้จะประสบความสำเร็จคงจะไม่มีเลย

ถ้าบอกว่าให้เราเดินทางไกล 100 กิโลเมตร ถ้าบอกว่าให้เราอ่านหนังสือปีละ 12 เล่ม ถ้าบอกให้เราเก็บเงินปีละ 18,250 บาท ถ้าบอกให้เราท่องศัพท์ภาษาอังกฤษปีละ 182 คำ ถ้าบอกให้เราออกกำลังกายปีละ 100 ครั้ง ฯลฯ เราจะรู้สึกว่าเป้าหมายเหล่านี้ยากมาก หรือเป็นไปไม่ได้

แต่...ถ้าเราแตกเป้าหมายใหญ่ลงมาเป็นเป้าหมายย่อยรายวันเราก็จะได้เป้าหมายใหม่ดังนี้ เดินวันละ 500- 600 ก้าว (ปกติเราก็เดินมากกว่านี้อยู่แล้ว) หรือถ้ายังยากอยู่ก็ให้ตั้งเป้าหมายชั่วโมงละ 20 – 25 ก้าว อ่านหนังสือวันละ 1 หน้า เก็บเงินวันละ 50 บาท ท่องศัพท์วันละครึ่งคำ(สองวันต่อหนึ่งคำ) ออกกำลังกายวันสามวันต่อหนึ่งครั้ง(สัปดาห์ละ 2 ครั้ง) เราจะเห็นว่าเป้าหมายในชีวิตที่ยากๆจะง่ายขึ้น

สำหรับเทคนิคที่จะช่วยให้ทุกคนประสบความสำเร็จในการบรรลุเป้าหมายชีวิตประจำวันมีดังนี้

1) แตกเป้าหมายหลักหรือเป้าหมายใหญ่ๆให้เล็กลงจนถึงเป้าหมายระดับรายวัน เหมือนกับการที่บริษัทตั้งยอดขายรวม แล้วค่อยๆแตกเป้าหมายของยอดขายมาถึงตัวแทนขายแต่ละคน เป้าหมายในชีวิตคนเราก็เช่นเดียวกัน

2) เลิกมองเป้าใหญ่ เมื่อเราแตกเป้าหมายลงมาเป็นเป้าหมายรายวันแล้ว ขอให้โฟกัสชีวิตมาที่รายวัน เพราะถ้าทุกวันเราประสบความสำเร็จ ความสำเร็จของเป้าหมายใหญ่ไม่หนีไม่ไหนแน่นอน ถ้าเรายังเหลือบไปมองเป้าหมายใหญ่อยู่บางครั้งอาจจะทำให้เราท้อแท้ได้ เช่น ในขณะที่เราวิ่งหนึ่งพันเมตรถ้าเรามองเป้าไปที่การวิ่งแต่ละก้าว เราจะไม่ค่อยเหนื่อย แต่ถ้าเราเผลอมองไปข้างหน้าและเห็นระยะทางอีกยาวไกล อาจจะทำให้ใจเราท้อเสียก่อน

3) การจัดลำดับเป้าหมายชีวิตรายวัน เนื่องจากในชีวิตคนเรามีเป้าหมายหลายอย่าง หลายด้าน เมื่อแตกย่อยลงมาเป็นเป้าหมายรายวันแล้ว อาจจะทำให้เป้าหมายแต่ละเรื่องตีกัน เราควรจะจัดลำดับความสำคัญ จัดเวลาให้เป้าหมายแต่ละตัวให้ชัดเจน เช่น เป้าหมายที่ต้องทำทุกวันอาจจะต้องทำก่อน เป้าหมายที่ทำสัปดาห์ละครั้งสองครั้งอาจจะทำทีหลัง เป้าหมายไหนต้องทำในเวลาที่แน่นอนจะต้องทำก่อนเป้าหมายที่ไม่ได้กำหนดเวลา เช่น เป้าหมายในการสวดมนต์ก่อนนอนจะต้องทำเฉพาะเวลานอนเท่านั้น ดังนั้น จึงไม่ควรมีเป้าหมายอย่างอื่นมาแทรกในช่วงนี้

4) จดบันทึก/วางแผน/ผลการบรรลุเป้าหมายของแต่ละวัน ใครที่มีไดอารี่อยู่แล้วควรจะมีการกำหนด ทบทวนเป้าหมายทุกวันว่าวันนี้จะทำอะไรบ้าง เมื่อไหร่ เมื่อผ่านไปแล้วหนึ่งวันก็ให้จดบันทึกไว้ว่าเป้าหมายอะไรบ้างที่บรรลุอะไรบ้างที่ไม่บรรลุ เราจะได้นำไปแก้ไขปรับปรุงในการกำหนดเป้าหมายในวันต่อๆไปได้

5) จัดทำกราฟความก้าวหน้าของเป้าหมายรายวัน ถ้าเรานำเอาผลการบรรลุเป้าหมายมาจัดทำเป็นกราฟ นอกจากจะทำให้เรามองเห็นความสำเร็จที่ชัดเจนแล้ว ยังจะช่วยให้เรามีกำลังใจในการกำหนดเป้าหมายรายวันเพิ่มมากขึ้นด้วย

สรุป การกำหนดเป้าหมายชีวิตรายวันจะช่วยให้เราสามารถบรรลุเป้าหมายที่สำคัญๆในชีวิตได้ โดยที่เราจะไม่รู้สึกว่าเป้าหมายนั้นๆยากเกินไป สูงเกินไป เพราะในแต่ละช่วงเวลาโดยเฉพาะเวลาแห่งชีวิตหนึ่งวันนั้น ถ้าเรามองเป้าหมายห้าปีหรือสิบปีจะทำให้เราเกิดความท้อแท้เนื่องจากเรามองเป้าใหญ่ในเวลาที่จำกัดคือหนึ่งวันหรือยี่สิบสี่ชั่วโมง หรือเหมือนกับเราเดินผ่านโชว์รูมรถยนต์ที่มีราคาเป็นแสน แต่เมื่อล้วงกระเป๋าตังค์ออกมาดูเรามีเงินเพียงหลักพันบาท เรารู้สึกว่าเป้าหมายในการเป็นเจ้าของรถยนต์ราคาเป็นแสนนั้นห่างไกลมาก แต่ถ้าเราเทียบเงินในกระเป๋าตังค์วันนี้กับล้อรถยนต์หรือยางรถยนต์เป้าหมายของเราก็จะมีความใกล้เคียงมากขึ้น

สุดท้ายนี้หวังว่าทุกคนที่มีเป้าหมายความสำเร็จในชีวิต คงจะสามารถนำเทคนิคการกำหนดเป้าหมายชีวิตประจำวันไปใช้ได้บ้างนะครับ และอยากจะให้ข้อคิดเพิ่มเติมว่า ถ้าเรายังไม่สามารถวางแผน ดำเนินการกระทำและวัดผลของเป้าหมายชีวิตประจำวันได้แล้ว รับรองได้ว่าเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตจะไม่ประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน



“ความสำเร็จเริ่มต้นจากการกระทำ การกระทำจะสำเร็จเริ่มต้นจากเป้าหมาย

เป้าหมายจะสำเร็จเมื่อเราเริ่มจากเป้าหมายที่ง่ายๆและสามารถปฏิบัติได้ในชีวิตประจำวัน"




Credit : http://www.peoplevalue.co.th/index.php?lay=show&ac=article&Id=539104215&Ntype=1
อ่านบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ม้าลำพอง ระยองเอฟซี (Rayong FC !!!)



By แตน

ก่อนอื่นผมก็ขอกราบสวัสดีพ่อแม่พี่น้องและเพื่อนๆชาวฟ้าขาวไม่ใช่อาเจนตินาน่ะ แต่เป็นSolvay ทุกท่าน วันพรุ่งนี้เอ้ย!!!วันนี้แหมตกใจบ่อยเชียวนะเราผมจะขอโพสข้อความเนื้อหาดีๆลงใน iHears สักครั้งหนึ่งเพื่อเป็นเกียรติแห่งวงตระกูล โอ้โห้!!ยิ่งใหญ่ไหม??พอเหอะแตน งั้นเข้าเรื่องดีกว่าเนาะ ปัจจุบันนี้คงปฏิเสธไม่ได้ว่าจะไม่มีใครไม่รู้ถึงวงการฟุตบอลของบ้านเราว่าโด่งดังขนาดไหน ด้วยเงินรางวัลของแชมป์เปี้ยนเป็นหลักล้านจึงมีนักล่าเป็นจำนวนมากที่อยากเข้ามาค้าแข้งที่เมืองไทยยกตัวอย่างเช่น นักแตะเก่าของทีมหงษ์แดงลิเวอร์พูลพิมพ์ไม่ค่อยจะถูกเลยทีมนี้ “ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์” ก็ยังเข้ามาค้าแข้งอยู่ที่บ้านเรา ซึ่งประจำการอยู่ที่ทีมเมืองทองยูไนเต็ด อดีตแชมป์ 2 สมัย

- เกริ่นนานเกินไปแหละขอแนะนำกีฬาในดวงใจของผมและเพื่อนๆๆอีกหลายคนคงหนี้ไปไม่พ้นนั้นก็คือ ฟุตบอล เป็นกีฬาที่ใช้ความสามัคคีเป็นหลักถ้าขาดความสามัคคีแล้วก็ไม่สามารถจะเอาชนะผู้ต่อสู้ได้แม้กระทั้งเรื่องงาน
-เอ้า!!แล้วจะเล่นฟุตบอลจะเชียร์ฟุตบอลก็ต้องมีทีมในดวงใจซะก่อน ถ้าเพื่อนๆๆยังไม่มีผมขออนุญาตแนะนำทีมๆๆหนึ่งที่ดังใน ลีกดีวิชั่น2 นั้นก็คือๆๆๆ “ทีมม้าลำพอง ระยองเอฟซี” นั้นเองพี่น้องชาวระยองทุกท่านคงจะเคยคุ้นหูกันมาบ้างแล้วถ้าใครบางคนยังไม่รู้จักก็ไปกับเราชาวม้าลำพองเลย Let go …………



นแนะนำให้รู้จักหน่อยดิ


สโมสรฟุตบอลจังหวัดระยอง ระยอง เอฟซี
เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพในประเทศไทยโดยเป็นทีมจากจังหวัดระยอง ปัจจุบันเล่นใน ลีก ดิวิชั่น 2
ประวัติสโมสร
สโมสรฟุตบอลจังหวัดระยอง เริ่มก่อตั้งและส่งทีมเข้าแข่งขันครั้งแรกแรกในปี 2552 ในนามของสมาคมกีฬาจังหวัดระยอง และทำผลงานโดยการคว้าอันดับ 6 ของตารางในโซนภาคกลางและตะวันออก ต่อมาในปี 2553 ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลในนามของทีมระยอง เอฟซี โดย มี ส.จ. เดชา บุญธรรม เป็นผู้จัดการทีม แลได้เฮดโค้ชมากฝีมืออย่าง "โค้ชโม" อภิชาต โมสิกะ เข้ามารับหน้าที่เป็นกุนซือของทีม โดยงบประมาณในการทำทีมระยอง เอฟซี มีประมาณ 3 ล้านบาท โดยได้รับการสนับสนุนจาก อบจ. จังหวัดระยอง และทีมงานผู้บริหารทีม โรงงานยูบี ส่วนชุดแข่งขัน และชุดฝึกซ้อมได้รับการสนับสนุนจาก เอฟบีที เป็นจำนวนเงินประมาณ 1 ล้านบาท
ชื่อเต็ม สโมสรฟุตบอลจังหวัดระยอง
ฉายา ม้าลำพอง
ก่อตั้ง พ.ศ. 2552
สนาม สนามกีฬากลางจังหวัดระยอง
ความจุ 7,500 ที่นั่ง
ประธาน อดุลย์ นิยมสมาน
ผู้จัดการ เดชา บุญธรรม
ผู้ฝึกสอน อภิชาติ โมสิกะ
ลีก ลีก ดิวิชั่น 2
ฤดูกาล 2552
อันดับล่าสุด อันดับ 8

แล้วจะไปดูวันไหนล่ะครับ.........


ตอนนี้เราอยู่ลำดับที่เท่าไรหนอ......
Update ;วันที่ 27/07/2011



เหลืออีกแค่ 10 นัดเท่านั้นเราจะได้ไปเล่นดีวิชั่น1 แล้ว

สมาชิกแฟนครับ” ม้าลำพองระยองเอฟซี”ในsolvay

1.คุณอิฐ ใส้กรอก50-.


2.คุณมิตร แตรมหากาล


3.คุณก๊อล์ฟ เอาเบียร์มา!!!


4.คุณแตน สุขุมเยือกเย็นประณีประนอมอิอิอิอิอิ




5.ไม่ใช่นุ่นน่ะ แต่เป็นคุณแบ็งค์ 3 นัดแพ้กับเสมอ


และที่ขาดไม่ได้คือ
6. เฮียสมศักดิ์ mechanic ของเรานี้เอง
7.ยังรอท่านอยู่นะ แล้วเจอกกันที่สนามนะครับ ขอบคุณครับ


อ่านบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

5s #1 : แนะนำกิจกรรม 5S

By พี่แมว

สวัสดีครับ กลับมาพบกับคอลัมน์ สาระน่ารู้ อีกเช่นเคยนะครับ
สำหรับวันนี้ ขอนำเสนอสาระน่ารู้เกี่ยวกับ การดำเนินงานกิจกรรม 5ส ซึ่งเป็นการดำเนินการจัดการเรื่องข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ สำหรับการทำงาน ให้มีสุขลักษณะที่ดี สามารถหยิบใช้งานได้ง่าย และเป็นระเบียบเรียบร้อยด้วยครับ ส่วนเนื้อหาจะเป็นอย่างไรบ้างนั้น เชิญติดตามอ่านได้เลยครับ





โดยพื้นฐานกิจกรรม 5ส จะพูดถึงการปรับพฤติกรรมแบบง่าย ๆ ในการจัดข้าวของเครื่องใช้ในการทำงานของเจ้าหน้าที่แต่ละคน การปรับพฤติกรรมดังกล่าว ถูกแบ่งเป็น 5 เรื่องใหญ่ ๆ คือ
1) การแยกแยะสิ่งของต่าง ๆ ให้ชัดเจน คือ “สะสาง”
2) การจัดหมวดหมู่สิ่งของให้ง่ายต่อการใช้ คือ “สะดวก”
3) การรักษาความ “สะอาด” ของสิ่งของเครื่องใช้ของตนเองอย่างทั่วถึง
4) หมั่น ทำ 3 ประการแรก โดยยึดถือหลัก “สุขลักษณะ” เป็นสำคัญ....
5) ทำกิจกรรมทั้งหมดอย่างต่อเนื่องจนเคยชิน กลายเป็นการ “สร้างนิสัย” ให้มีระเบียบวินัย
จริง ๆ แล้วหลักการของกิจกรรม 5ส เป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาทรัพยากรบุคคล กล่าวคือ กิจกรรม 5ส มุ่งให้พวกเราหันกลับมาพัฒนาตนเองก่อนเป็นอันดับแรก คือ “ฝึกให้ใฝ่รู้รักระเบียบให้กับตนเอง” แทนที่จะให้คนอื่นมาควบคุมบังคับ
หากทุกคนเข้าใจการทำ 5ส. ไปในทิศทางเดียวกันแล้ว การที่จะให้ 5ส เป็นแนวทางพื้นฐานในการพัฒนาองค์กรก็ไม่ใช่เรื่องยาก และจะเกิดผลดีตามมาอย่างมากมาย

เราทำ 5 ส ไปเพื่ออะไร....

- จัดระเบียบของหน่วยงานให้สะอาด เรียบร้อย น่าอยู่ น่าทำงาน น่าเรียน งามตาแก่ผู้พบเห็น
- สมาชิกทุกคนในที่ทำงานมีความสุข สภาพการทำงานดี การร่วมมือร่วมใจในการทำงานมีมากขึ้น

แค่สองข้อง่ายๆนี้ทุกคนน่าจะพอเข้าใจแล้ว ลองดูความเปลี่ยนแปลงง่ายๆ อย่างในห้อง Mud Room เมื่อก่อนเป็นอย่างไร ตอนนี้เป็นอย่างไร ลองนึกแค่นี้ก็น่าจะเห็ยภาพกันชัดเจน จักรยานเมื่อจอดเป็นระเบียบแล้ว ก็ง่ายต่อการใช้

ลองคิดดูถึงในPlant ถ้ามี 5ส ครบถ้วน เฟลสซิเบิล หาง่าย แกสเกตหาง่าย หาประแจอะไรก็อยู่ครบ กุญแจล๊อคง่ายเก็บง่าย เหล่านี้ล้วนเกิดจากพื้นฐาน 5ส แทบทั้งสิ้น

และ.........สิ่งสำคัญในการลงมือทำกิจกรรม 5ส นั้น คือ ต้องทำอย่างต่อเนื่อง ทำให้เป็นความเคยชิน ประโยชน์จากการทำ 5ส ทั้งจากส่วนบนไปสู่ส่วนล่าง และจากส่วนล่างไปสู่ส่วนบนจึงจะปรากฏผลชัดเจน หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ท่านผู้แวะมาเยี่ยมชมบล็อกทุกๆท่าน คงจะได้รับสาระเล็กๆน้อย ติดมือกลับไปบ้างนะครับ สำหรับวันนี้ ขอบคุณและสวัสดีครับ

แล้วจะพบกันกับ 5ส ของ Solvay ในเร็วๆนี้


อ่านบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2554

วิธีกำจัดความเครียดด้วยปัญญา

By P'Nant

ต่อไปนี้จะเป็นการนำเสนอวิธีกำจัดความเครียด การคลายเครียด เป็นเพียงวิธีบรรเทาเบื้องต้น เหมือนรับประทานยาบรรเทาปวด ทายาคลายกล้ามเนื้อ ยังมิใช้ยารักษาให้หายขาดแต่ธรรมะขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น มิใช่เพื่อบรรเทาหากแต่เพื่อกำจัดเด็ดขาด ในที่นี้ข้าพเจ้าขอนำเสนอวิธีการง่าย ๆ ดังนี้


วิธีที่ 1 กล้าเผชิญความจริง

ความเครียดทั้งปวงเกิดจากความวิตกกังวล คนเราจะวิตกกังวลทุกอย่าง เมื่อความจริงยังไม่ปรากฏ ต่อเมื่อความจริงปรากฏเสียแล้วปัญญาก็เกิดเอง ยกตัวอย่างนักกีฬา ก่อนแข่งขันก็วิตกกังวลเกรงจะแพ้แต่เมื่อการแข่งขันเริ่มขึ้น คือเผชิญความจริงแล้ว สติปัญญาที่จะแก้ปัญหาก็มาเอง แรงผลักในการต่อสู้ การแก้ปัญหาก็ตามมา ยิ่งกับคนที่ต้องดูแลคนป่วยหนัก หากไม่มีกำลังใจพอจะยิ่งเครียดไม่มีทางออก วิตกกังวลไปสาระพัดอย่าง ถ้าจิตใจไม่เข้มแข็งกล้าเผชิญความจริง คนเฝ้าป่วยอาจหมดแรงก่อนคนป่วยจริง โดยเฉพาะทรงสอนเรื่อง “ทุกข์” มิใช่สอนเรื่อง “สุข” ทรงนำเสนอความทุกข์ประเภทต่าง ๆ เช่น ทรงสอนวิธีหาเหตุแห่งทุกนั้นว่ามาจากความทะยานอยาก

จากนั้น จึงทรงแสดงความดับทุกข์ เหมือนเราดับไฟที่ลุกโชนเผาไหม้สิ่งต่าง ๆ อยู่ เมื่อไฟดับความร้อนก็หายไป ความเย็นก็ปรากฏ จากนั้น ทรงแสดงทางสายกลาง คือการไม่ทำอะไรสุดโต่ง หรือเรียกง่าย ๆ ว่า “ความสมดุลในการดำรงชีวิต” อันเป็นเหตุให้เกิดความสุข

วิธีที่ 2 เข้าใจเรื่องอารมณ์ของตนและของคน (จริต 6)


น่าคิดเป็นอย่างยิ่งว่า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสแสดงความแตกต่างของคนที่จริต ทรงแสดงว่า คนเหมือนกันแต่ไม่เหมือนกัน ก็เพราะชอบไม่เหมือนกัน พฤติกรรมไม่เหมือนกัน ท่านเรียกว่า จริต.

คนเหมือนกัน แต่ถ้าจริงต่างกัน ก็จะมีอารมณ์ต่างกัน ความต่างกันของอารมณ์นี่เอง ที่ทำให้มนุษย์เราคิดต่างกัน และเกิดความขัดแย้งกันตลอดเวลา กระทั่งนำความเครียดมาให้เรา ด้วยเหตุนี้ เราจึงจำเป็นต้องเรียนรู้พฤติกรรมของคนใน จริต 6 คือ

1.คนบางคนรักสวยรักงาม ชอบแต่งตัว ชอบประดิษฐ์ ทำงานช้าแต่ละเอียด คนประเภทนี้ท่านเรียกว่า คนราคจริต
2.คนบางคนใจร้อน หงุดหงิด ชอบแสดงอำนาจเป็นนิสัย ทำอะไรเร็ว พูดเร็ว ไม่สนใจเรื่องละเอียด ชอบหลักการมากกว่ารายละเอียด คนประเภทนี้ท่านเรียกว่า คนโทสจริต
3.บางคนชอบแสดงว่าตนไม่รู้อะไรไว้ก่อน เพราะปลอดภัยเพราะกลัวผิด กลัวถูกตำหนิ กลัวถูกใช้งาน การไม่รู้คือไม่ต้องทำ เมื่อไม่ทำก็ไม่ผิด ท่านเรียกว่าคนพวกนี้ว่า คนโมหจริต
4.บางคนเชื่อง่าย ชื่นชมอะไรง่าย ๆ โดยไม่พิจารณา หรือตำหนิง่าย ๆ แล้วกลับชื่นชมอีกเมื่อคนอื่นชื่นชม แปลว่ากลับคำได้ง่าย ทำตามคนอื่น ไม่มีจุดคิดของตนเอง เรียกว่าคนสัทธาจริต
5.บางคนชอบคิด ขอบแสดงเหตุผล ชอบศึกษาเรียนรู้ ชอบหาความจริงของเรื่องนั้น ๆ นิสัย ไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ จนกว่าจะเห็นได้ปัญญาของตน ท่านเรียกว่า คนพุทธิจริต
6.บางคนชอบจับจดฟุ้งซ่าน ชอบบ่น จู้จี้จุกจิก ทำงานแบบหยิบโหย่ง ไม่จับอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ชอบเป็นผู้ตามมากกว่าผู้นำ คิดมาก กังวลมาก ท่านเรียกว่า คนวิตกจริต
จำง่าย ๆ ว่า คนทั้ง 6 ประเภทนี้คือ คนราคจริต, โทสจริต,โมหจริต,สัทธาจริต, พุทธิจริต และวิตกจริต เป็นลักษณะพฤติกรรมของคนที่เราต้องเรียนรู้เขาให้เข้าใจ เมื่อเข้าใจแล้วก็จะไม่เครียด

วิธีที่ 3 ไม่คาดหวัง แต่พิจารณาความเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่ง

ความเครียดอย่างหนึ่งมีเกิดจากความคาดหวัง เป็นธรรมดาที่มนุษย์ทำอะไรมักหวังผลตอบสนอง เมื่อลงทุนก้หวังกำไร ไม่มีใครหวังขาดทุน แม้แต่บุญยังหวังผลบุญ เมื่อวหวังจึงมีทั้งสมหวังและผิดหวังสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้คนรู้จักหลักความจริง 3 ข้อ คือความเปลี่ยนแปลง, ความทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ และความที่เราไม่อาจยึดสิ่งใด ๆ ไว้ในอำนาจได้ตลอดไป หรือที่รู้กันในวงการชาวพุทธว่า “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” อันเป็นหลักธรรมใหม่ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบว่า เป็นลักษณะที่ใช้ได้กับสรรพสิ่งในจักรวาฬ, ขอให้เราตั้งใจไว้ว่าข้อนี้มีความสำคัญมากต่อการคลายเครียดหรือกำจัดความเครียด นั่นคือหมั่นพิจารณาสรรพสิ่งที่เราเผชิญว่า



“สรรพสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลง และเปลี่ยนไปเหมือนสายน้ำ”

“ชีวิตมีได้มีเสียเสมอ การเสียบางอย่าง ก็เพื่อให้ได้บางอย่างมา”

“ไม่มีใครได้ตลอด แก้วที่เต็มน้ำแล้วจะรับน้ำใหม่ไม่ได้ เราหัดทำชีวิตให้พร่องบ้างก็ดีเพื่อรองรับสิ่งใหม่”

“การยอมให้คนอื่นมีกำไรในชีวิตบ้าง บางครั้งก็เป็นอุบายสำคัญในการประคองให้สมดุล”

“สิ่งที่ดีที่สุดไม่มี มีแต่สิ่งที่ดีพอสมควร”

“อย่าแสวงหาคนดีที่สุดในชีวิต ท่านจะหาอะไรไม่ได้เลย”

“ผู้หาคนที่สมบูรณ์ที่สุดมาเป็นเพื่อน จะหาใครเป็นเพื่อนไม่ได้แม้แต่คนเดียว”

วิธีที่ 4 ปิด-เปิดประตูรับรู้ให้เป็นเวลา
โลกยุคเทคโนโลยี ทำให้มนุษย์ตั้งแต่เด็กคนถึงผู้ใหญ่ ไม่มีเวลาพักผ่อนที่แท้จริง ไม่ได้พักผ่อนกับธรรมชาติ เช่น ทะเล ภูเขา หรือตามประสาพ่อแม่ลูก หากแต่พักผ่อนกับเกม, อยู่กับเทคโนโลยี บางทีกลับเครียดหนักกว่าเดิมอีกหลายเท่า, บางครั้งถึงเวลานอนกลับไม่นอน ไปนอนเวลาทำงาน หรือเวลาเรียน โดยเฉพาะอุปกรณ์ชิ้นใหม่ที่เรียกว่า Internet ทำให้ผู้ควบคุมตนเองไม่ได้ ต้องหมดมุ่นอยู่กับข้อมูลโดยไม่ได้ความรู้ใด ๆ ดูเหมือนรู้มาก แต่ไม่เข้าใจอะไรเลย ดูเหมือนย่อโลกไว้ในห้องนอน ไว้ในกำมือ แต่ความจริงคือกำลังหลงโลก หลงทาง

ดูตัวอย่างที่บางคนคุยของปลอม พูดกับคนปลอมมากกว่าพ่อแม่ ญาติพี่น้องของตนเอง สุดท้ายก็ไม่มีปัญญาจะจัดการกับคนที่มีชีวิตจริง ๆ ได้ โลกยิ่งทันสมัย ดูเหมือนมนุษย์ยิ่งอยู่ไกลความจริง. เราจำเป็นต้องอยู่กับความจริง กล้าเผชิญความจริงของชีวิต เราจึงจะพบของจริง ความจริงเท่านั้นที่ทำให้มนุษย์มีปัญญาอันงดงาม สดใส และเฉียบคมได้

ในข้อนี้น่าจะเป็นเรื่องทันสมัยของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงสอนให้รู้จักผัสสะคือรสชาติแห่งการรับสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่หลง และที่สำคัญ มีสติปิด-เปิดเมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม เหมือนอยู่ในที่ประชุม หรือชุมชน หรือเวลานอน เป็นต้น โลกยุคใหม่อาจมองดูเหมือนโก้เก๋ทันสมัย แต่แท้จริงแล้วนั่นคือสายใยที่ต่อท่อความเครียดเข้าถึงใต้หมอน หากไม่รู้จักปิด-เปิด

วิธีที่ 5 คนส่วนมากเครียดเรื่องของคนอื่น มิใช่เรื่องของตน

ยิ่งโลกทันสมัยเท่าใด คำพูดของคนก็ยิ่งนำความทุกข์มาให้ง่ายเท่านั้น. โดยธรรมชาติ คนเรามักเป็นทุกข์เพราะเรื่องคนอื่น เรื่องของตนมีน้อย เช่นนำเรื่องนอกบ้านมาถกเถียงกันภายในบ้าน กระทั่งเกิดการทะเลาะวิวาท ทั้ง ๆ ที่ตนก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร เพียงแต่ต่อสู้เอาชนะกันทางทิฐิมานะ หรือเหตุผลเท่านั้นเอง มองดูอาจเป็นการแสดงภูมิปัญญา แต่บางครั้ง เราต้องให้รู้เท่านั้นเอง มองดูอาจอาจเป็นการแสดงภูมปัญญา แต่บางครั้งเราต้องให้รู้เท่าทันว่า เรื่องของคนอื่น ที่ไม่ใช่เรื่องส่วนรวม เราควรทิ้งไว้นอกประตูบ้าน ไม่นำขยะความคิดใด ๆ เข้าบ้านของเราเองการนำไฟในออก นำไฟนอกเข้ามาบ้าน คือปัญหาที่สังคมแก้ไม่ตก บ้านใดเรือนใด ครอบครัวใด ฉลาดเรื่องไฟ ก็จะไม่ถูกไฟเผาไหม้ให้ร้อนรน

วิธีที่ 6 ฝึกแผ่เมตตา นึกถึงกฎแห่งกรรมมากกว่ากฎหมาย


ขั้นตอนสำคัญอีกข้อหนึ่งคือ เมื่อเครียดให้นึกถึงกฎแห่งกรรมที่มีอำนาจยิ่งใหญ่กว่ากฎหมาย เราเห็นปัญหาบางอย่างแก้ด้วยกฎหมายไม่ได้ แต่แก้ด้วยกาลเวลาได้ นั่นคือปล่อยไว้ให้กฎแห่งธรรมชาติจัดการกับปัญหานั้น นั่นหมายความว่า เป็นเรื่องที่เราได้พยายามแก้เต็มสติปัญญาของเราแล้ว แต่แก้ไขไม่ได้ ฉะนั้น ขอให้เรานักแก้ปัญหาทุกคนอย่าเครียดกับปัญหาบางอย่างที่แก้ไม่ได้ ทุกอย่างมีเหตุผลในตัวเสมอ เราต้องยอมรับกฎเกณฑ์แห่งกาลเวลาที่จะแก้ปัญหาทุกอย่างได้ คิดดูเถิดปัญหาชีวิตเรา บางครั้งยังต้องแก้กันข้ามภพข้ามชาตินับประสาอะไรกับปัญหาที่มีอยู่ในปัจจุบันที่เราจะไปแก้คนนั้นแก้คนนี้

ในทางพระพุทธศาสนา ทรงสอนให้รู้จักผ่อนคลายด้วยการนึกถึงกฎแห่งกรรม นึกว่า สัตว์โลกมีกรรมเป็นของ ๆ ตน มีกรรมเป็นผู้ให้ผล มีกรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นผู้ติดตาม มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย ไม่ว่าจะทำกรรมใดไว้ ดีหรือชั่ว ก็จักได้รับผลของกรรมนั้นสืบไป ไม่มีเปลี่ยนแปลง คิดได้อย่างนี้แล้ว สบายใจ

วิธีที่ 7 นึกถึงธรรมชาติที่เหมือนกันของสัตว์ทั้งหลาย

นี่คือวิธีกำจัดความเครียดขั้นสุดท้าย นั่นคือ มองให้เห็นความเสมอกันระหว่างสัตว์ทั้งหลาย รวมทั้งคนอื่นและตัวเราเองว่า ต้องเผชิญความลำบากในสังสารวัฏเหมือนกัน ต้องอยู่ในครรภ์ ต้องกินอาหาร ต้องดูแลขันธ์ 5 ต้องถูกโรคภัยเบียดเบียน แต่แก่ ต้องเจ็บ และสุดท้าย “สัตว์ทั้งหลายต้องตาย” ทกคนต้องตาย ความตายเป็นปลายทางของชีวิตเหมือนกันหมด ไม่ว่าผู้นั้นจะยากดีมีจนอย่างไร เขาและเราก็ไม่ต่างอะไรกัน เราไม่ต้องเครียดเพราะน้อยใจไปอิจฉาเขา ไม่ต้องเครียดไปโกรธเขา หากแต่มองให้เห็นปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตเขาเหมือนกันกับเรา

จริงอยู่แม้จะเป็นเรื่องทำได้ยาก หากเราตกอยู่ในภาวะถูกเอารัดเอาเปรียบมาก ๆ แต่ก็ต้องคิดเรื่องอย่างนี้ไว้บ้าง เพราะสิ่งที่ทำได้ยากเมื่อเราทำได้ เราจะเป็นผู้ได้รับประโยชน์ทางด้านจิตใจโดยตรง ด้วยเหตุนี้เอง สามเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงสอนให้เจริญมรณสติกรรมฐานเป็นประจำ มองให้เห็นว่า ตายแล้วเอาอะไรไปไม่ได้ เศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดก็ไม่มีใครเอาสิ่งใดไปด้วย แม้คนที่รักที่สุดคือบุตรธิดา ภรรยาญาติก็ต้องทิ้งไว้ข้างหลัง ไม่มีใครชวนใครไปอยู่ด้วย แม้ชวนก็ไม่มีใครไปด้วย แม้จะรักกันเพียงใดก็ตาม ถ้าเราคิดอย่างนี้บ้าง ชีวิตก็จะหายเครียดได้ในพริบตา

อ่านบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เลียบท่าพาที


By พี่โหน่ง

ช่วงนี้ทุกคนเหนื่อยจากการทำงาน HPPO2 กันทุกคน พี่ว่าน้องทุกๆคน พี่ขอชมเชยในความทุ่มเทในการทำงานเพื่อให้วัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ประสบความสำเร็จ เยี่ยม!!!

จริงๆแล้วผมก็นึกอยู่นานว่าจะหาเรื่องอะไรลง Blog ของเราดีจะเอาวิชาการก็มีหลายๆคนเขียนแล้ว จะเขียนเรื่องธรรมะก็ไม่ถนัด ความรักก็สู้น้องๆไม่ได้ ก็คิดอยู่นานก็ ปิ้ง! “เขียนเรื่องท่องเที่ยว” ดีกว่าเพราะยังไม่มีใครเขียนแนวนี้และอีกอย่างเป็นการแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวด้วย เผื่อมีฝรั่งที่เข้ามาเยี่ยมชนใน Ihears. ของเราจะได้เป็นอีกช่องทางหนึ่งในการแนะนำที่ท่องเที่ยว สรุปว่าเขียนเรื่องท่องเที่ยว อ้าว!!แล้วจะเที่ยวไหนดี เอาใกล้ๆก่อนก็แล้วกัน เลือกไปเลือกมาก็เห็นว่า “จันทบุรี” ดีกว่าใกล้ดีและมีที่ท่องเที่ยวแยะเหมือนกัน Ok. ก็ลองชวนน้องๆไปเป็นเพื่อนคนสองคนโดยออกเดินทางวันอาทิตย์



"เขื่อนคีรีธารา"


07:00 น. ออกเดินทางโดยสถานที่แรกจะไป “เขื่อนคีรีธาร” จากระยองไปถึงเขื่อนคีรีธารระยะทางประมาณ150 กม. ตั้งอยู่ในเขตอำเภอมะขาม ห่างจากตัวเมืองจันทบุรีประมาณ 40 กิโลเมตร จากจันทบุรีเดินทางไปตามทางหลวงหมายเลข 317 ประมาณ 20 กิโลเมตร จะมีทางแยกขวาไปเขื่อนคีรีธารอีกประมาณ 14 กิโลเมตร สร้างโดยกรมพัฒนาและ ส่งเสริมพลังงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม เป็นเขื่อนกั้นน้ำเอนกประสงค์ ทั้งการผลิตกระแสไฟฟ้า การชลประทาน การประมง ก่อนถึงตัวเขื่อนจะมีถ้าโชดดีก็จะมีหมู่บ้านมีปลานิล (ตัวใหญ่มาก) แดดเดียวขาย เคยลองซื้อมาทอดกินกับข้าวสวยร้อนๆสุดยอด ขับมาอีกประมาณ 1 กม.ก็ถึงตัวเขื่อนคีรีธาร วันนี้อากาศเย็นและสดชื่นมาก พี่คิดว่าที่นี่น่าพามาจัด IHEARs ครั้งต่อไปและเก็บรูปสวยๆมาฝาก


“น้ำตกคลองไพบูลย์”

ชมธรรมชาติและเก็บภาพบรรยากาศสวยๆมาฝาก ก็ออกเดินทางต่อโดยจุดหมายต่อไปคือ “น้ำตกคลองไพบูลย์” ซึ่งอยู่ใกล้ตัวเมืองจันทบุรี โดยขับรถกลับมาทางเดิมพอถึงสี่แยกไฟแดงให้เลี่ยวขวาไปทางอุทยานเขาคิณกูดประมาณ 20 กม. เลี่ยวขวาเข้าประมาณ 1กม. ก็ถึงน้ำตกคลองไพบูลย์ผ่านด่านเสียค่าบำรุงสถานที่ประมาณคนละ 80 บาท วันนี้น้ำตกมีน้ำน้อยแต่บรรยากาศสดชื่น ดีมาก ที่นี้มีร้านอาหาร ส้มตำ ไก่ย่างขาย ห้องน้ำ ห้องอาบน้ำก็สะอาด นักท่องเที่ยวสามารถนำเต้นท์มากางพักค้างคือได้ หรือจะจองห้องพักของอุทยานก็มีให้บริการส่วนราคาก็แล้วแต่งบในกระเป๋า!!





ออกเดินทางต่อโดยจะพาดูพระอาทิตย์ตก “ทะเล” ที่ปากน้ำแขมหนูโดยย้อนกลับมาทางระยองประมาณ 30 กม.เลี้ยวซ้ายเข้าท่าใหม่เพื่อหาอะไรกินก่อน มีน้องๆแนะนำร้านอาหารแถว คลองตาสังข์ ใก้ลปากน้ำแขมหนู ชื่อร้าน “เรือนริมน้ำซีฟู้ด” คุยกับน้าบุณเรือนเจ้าของร้านมีอาหารแนะนำที่นักท่องเที่ยวต้องสั่งชิมคือ ปูทะเลผัดมะนาว ปลากะพงทอดราดน้ำปลา หมึกไข่นึ่งมะนาว โดยเฉพาะปูทะเลผัดมะนาวอร่อยมาก (ต้องซื้อฝากแฟนหนึ่งกล่อง)



พออิ่มหนำสำราญแล้วก็เดินทางต่อ แวะชมทะเลนิดหน่อยที่ปากน้ำวัดแขมหนู จุดนี้เป็นจุดที่พระอาทิตย์ตกสวยมากๆแต่วันนี้โชคไม่ดีอากาศปิดเลยอดเก็บภาพพระอาทิตย์ตกทะเลมาฝาก พอเก็บภาพเสร็จเรียบร้อยก็ต้องโบกมือลา “จันทบุรี” เพราะพรุ่งนี้ต้องไปทำงานต่อโอกาสหน้าจะพาไปเที่ยวที่อื่นๆอีก



ต้องขออภัยพี่โหน่งด้วยที่นำมาลงช้ามากๆ เอาไว้คราวหน้าจะลัดคิวให้ก่อนเพื่อเป็นการชดเชย ;)
อ่านบทความทั้งหมด