วันพุธที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2554

อย่าละเลยมิตรภาพและความรัก


By Prasit

"ความสำเร็จไม่อาจอยู่กับเราได้ตลอดชีวิต แต่มิตรภาพและความรักจะยังอยู่เสมอ แม้ในวันที่หมดลมหายใจไปจากโลกนี้แล้ว อย่ายอมขายคำว่าเพื่อน ไม่ว่าใครจะจ่ายให้เราแพงสักแค่ไหนก็ตาม"

ได้อ่านประโยคแรกของบทความที่พี่สิทธิ์ส่งมาแล้วรู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องมีอะไรอยู่แน่ๆ ผมถึงได้ทำการเปิดห้องใหม่ไว้สำหรับเรื่องต่อๆไปที่คล้ายๆพี่สิทธิ์โดยเฉพาะ

ให้ชื่อว่า "ห้องโถง" อยากรู้ว่าทำไมนั้น กดเข้าไปอ่านกันเลยครับ


อย่าละเลยมิตรภาพและความรัก

ความสำเร็จไม่อาจอยู่กับเราได้ตลอดชีวิต แต่มิตรภาพและความรักจะยังอยู่เสมอ แม้ในวันที่หมดลมหายใจไปจากโลกนี้แล้ว อย่ายอมขายคำว่าเพื่อน ไม่ว่าใครจะจ่ายให้เราแพงสักแค่ไหนก็ตาม

ท่ามกลางความกดดันและการแข่งขันคนทุกคนมุ่งหน้าเข้าหาความสำเร็จ เพราะสายตามองแต่ความสำเร็จที่ใกล้เกินไป
ทำให้คนเราละเลยสิ่งใกล้ตัว จนเผลอทำคำว่าเพื่อน พี่น้อง หายไปจากชีวิต การมุ่งมั่นอยู่กับผลประโยชน์ก็เหมือนกับการนอนหลับฝันดี ยิ่งฝันยิ่งดีและก็ยิ่งเพลินนอนหลับยาวอย่างเป็นสุข นาทีที่หลับใหลและฝันดีทำให้เราทำอะไรโดยไม่รู้ตัวแต่พอ ตื่นขึ้นมาเจอความจริงแล้วต้องตกใจเมื่อพบว่ารอบตัวไม่มีใครเหลืออยู่เลย มิตรภาพคือต้นกำเนิดของความรักทั้งปวง คนที่เริ่มต้นใช้ชีวิตในการทำงานหลายคน ต่างก็มุ่งมั่นที่จะก้าวไปให้ถึงจุดสูงสุด คนหลายคนถึงเลือกที่จะเดินทางลัด ด้วยการตัดแขนตัดขาหรือเหยียบหลังคนอื่นเพื่อจุดยื่นที่สูงกว่า จึงไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าเราเห็นคนบางคนทำร้ายเพื่อนสนิทของตัวเอง โดยไม่รู้เท่าทันภาพมายา ว่าทุกวันนี้เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร และสิ่งที่จะติดตัวเราไปตลอดนั้นคืออะไรกันแน่ ทั้งคนที่ทำร้ายและคนที่ถูกทำร้าย

ล้วนต้องเจ็บไม่ต่างกัน ไม่มีใครทำให้คนอื่นเจ็บได้ โดยไม่รู้สึกผิดลึกๆในใจ ถ้าคนรอบตัวเราเป็นแบบนั้น ถ้าเราต้องถูกเขาทำร้ายโดยตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ จงมองเขาอย่างเข้าใจและให้อภัยว่านาทีที่เขาทำให้เราเจ็บ มันเป็นช่วงที่เขาหลงทาง แล้วอย่าเผลอทำกับใครในแบบที่เขาทำกับเรา อย่ายอมแลกมิตรภาพและผลประโยชน์ เพราะองค์กร ไม่ได้อยู่กับเราไปตลอดชีวิต วันใดที่เราเดินออกมามีชีวิตเป็นของตัวเอง ไม่ว่าเราจะเคยก้าวไปถึงจุดที่ยิ่งใหญ่แค่ไหนในที่แห่งนั้น แต่วันนี้เราจะเป็นแค่ใครบางคนที่ไม่มีความหมาย แต่มิตรภาพและความเป็นเพื่อนจะยังคงอยู่และติดตามเราไปตลอด แม้แต่ในวันที่เราหมดลมหายใจไปจากโลกนี้แล้ว ความเอื้ออาทรนั้นจะยังคงเดินทางต่อไปจนถึงรุ่นลูกรุ่นหลานและคนที่เรารักอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับบทความที่นี้เนื้อหาเปิดกว้าง ไม่มีการชี้นำและชวนให้คิดแบบนี้ ผมถึงตั้งห้องใหม่ให้เลยว่าห้องโถง

ผมว่าเพื่อนๆ พี่ๆ ทุกคนย่อมมีความเห็นที่หลากหลายกับบทความของพี่สิทธิ์อย่างแน่นอน ใครมีความคิดเห็นอย่างไรกันบ้าง มานำเสนอแลกเปลี่ยนกันเลยครับ
อ่านบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2554

ฮูล่าฮูป !! (Hula Hoop!!)


By พี่นครา

ช่วงนี้บล๊อก iHears ของเราคึกคักเป็นพิเศษ พี่ๆน้องๆ ส่งบทความเข้ามากันอย่างมากมายทำให้ต้องค่อยๆจัดสรรกันลงนะครับ สำหรับคนที่ส่งมาแล้วยังไม่ได้ลง ไม่ต้องเสียใจ ได้ลงแน่นอนครับ แต่แบ่งๆกันลงบ้างจะได้ทั่วถึงกันนะครับ

สำหรับวันนี้พี่นคราได้มีกิจกรรมที่เอาไว้ผ่อนคลายความตึงเครียดจากการทำงานให้หลายๆคนได้ลองกัน มันคือ ฮูล่าฮูปนั่นเอง คาดว่าทุกคนคงรู้จักฮูล่าฮูปกันแล้ว แต่จะมีสักกี่คนที่ร้วิธีการเล่นให้ได้สุขภาพ สนุกสนาน และซิกแพคสุดเท่เอาไว่โชว์สาว พี่นคราได้รวบรวมเอาไว้ในนี้แล้ว กดอ่านกันเลยอย่าช้าที !!

อุปกรณ์ : เพื่อให้ได้ผลดีที่สุดควรเลือกใช้ฮูลาฮูปที่หนักราว 3 ปอนด์ คุณอาจใช้ฮูลาฮูปแบบธรรมดาทั่วไปก็ได้ แต่อาจจะไม่เห็นผลในแง่การออกกำลังอย่างชัดเจน เท่ากับการใช้ห่วงที่หนักสักหน่อย
ระยะเวลา : 30-40 นาที
ขั้นตอน ดังนี้
1.ย่ำอยู่กับที่ 3 นาทีเพื่อวอร์มอัพ

2.คล้องห่วงเข้ากับสะโพก และหมุนไปมา 3-5 นาที

3.ยืนแยกขาให้กว้างเท่าช่วงไหล่ ปลายเท้าชี้ออกด้านซ้ายเล็กน้อย จากนั้นวางห่วงบนพื้นข้างเท้าซ้าย จับส่วนบนของห่วงด้วยมือซ้าย ยกขาขวาขึ้นด้านข้างให้สูงระดับสะโพกหรือสูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในขณะเดียวกันกลิ้งห่วงออกให้ห่างตัว และยกแขนขวาขึ้นเหนือหัว ทำซ้ำ 12 ครั้ง แล้วเปลี่ยนไปอีกข้างหนึ่ง ทำซ้ำ 12 ครั้งเช่นกัน

4.หมุนห่วงรอบสะโพก 3-5 นาที

5.ยืนแยกขากว้างเท่าช่วงไหล่ ปลายเท้าชี้ตรงไปข้างหน้า สองมือจับห่วงไว้หน้าตัวแบบเดียวกับจับพวงมาลัยรถ และยกเท้าขวาขึ้นทางด้านข้างสองครั้ง ขณะที่หมุนห่วงไปทางด้านขวา จากนั้น ยกขาซ้ายขึ้นทางด้านข้างสองครั้ง พร้อมกับหมุนห่วงไปทางซ้าย (ทั้งนี้นับเป็นหนึ่งครั้ง) ทำ 2 เซ็ต เซ็ตละ 12 ครั้ง

6.หมุนห่วงรอบสะโพก 3-5 นาที

7.ยืนแยกขากว้างเท่าช่วงไหล่ ปลายเท้าชี้ตรงไปข้างหน้า ถือห่วงไว้ในมือแบบเดียวกับจับพวงมาลัยรถ หมุนตัวไปข้างซ้ายเล็กน้อย และเหยียดแขนขวาข้ามไปจับด้านซ้ายของห่วง ขณะที่ทำท่านี้เขย่งปลายเท้าขวาขึ้นด้วย ทำซ้ำอีกด้านหนึ่ง (ทั้งหมดนับเป็นหนึ่งครั้ง) ทำสองเซ็ต เซ็ตละ 12 ครั้ง

8.หมุนห่วงรอบสะโพก 3-5 นาที

9.นอนหงายบนพื้น ยกขาทำมุม 90 องศากับพื้น ถือห่วงไว้ในมือซ้าย และวางเท้าทั้งสองข้างแตะเบา ๆ ที่ด้านล่างของห่วง เหยียดแขนขวาขึ้นเหนือศีรษะ พร้อมกับยกไหล่ขึ้นเหนือพื้นเล็กน้อย (พยายามอย่าให้บั้นเอวยกตามไปด้วย) และลดขาลงจนกระทั่งอยู่เหนือพื้นสองสามนิ้ว กลับสู่ท่าเริ่มต้นนับเป็นหนึ่งครั้ง ทำซ้ำ 2 เซ็ต เซ็ตละ 12 ครั้ง โดยเปลี่ยนมาเป็นข้างขวาในเซ็ตที่สอง

10.คูลดาวน์ด้วยการย่ำอยู่กับที่ 3 นาที (อย่าลืมยืดเส้นสายปิดท้ายสักหน่อยด้วย)
การออกกำลังกายด้วย ฮูล่าฮูป จะช่วยให้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ได้ทำงาน การไหลเวียนโลหิตเพิ่มมากขึ้น อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มสูงขึ้น แถมยังช่วยให้เผาผลาญไขมันไปเป็นพลังงาน จึงช่วยให้ร่างกายมีน้ำหนักลดลง เพียงแค่เล่นฮูล่าฮูป 30 นาที ก็สามารถเผาผลาญพลังงานได้มากถึง 200 แคลอรีเลยเชียวล่ะ

นอกจากนี้ การเล่นฮูล่าฮูป ยังกระชับความแข็งแรงของกล้ามเนื้อบริเวณหน้าท้อง และหลังส่วนล่างด้วย แถมยังส่งผลให้สะโพก เอว และก้น กระชับขึ้นอีกต่างหาก รับรองว่า คุณสาว ๆ ที่หันมาเล่น ฮูล่าฮูป ลดพุง ลดไขมันส่วนเกินกันได้เป็นแถว

เป็นยังไงกันบ้างอ่านจบแล้วเริ่มอยากจะเล่นกันมาบ้างรึยัง สนใจติดต่อพี่นคราให้พี่เค้าแนะนำได้เลยนะครับพี่น้อง
อ่านบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2554

สุขภาพจิตดีด้วยการปรับวิธีคิดให้เหมาะสม (Good mental health by adapting the thinking way)


By Tee@Solvay

เป็นไงกันบ้างครับเพื่อนๆ พี่ๆ ช่วงนี้งานเข้ากันเยอะแยะมากมาย โอทีก็ต้องทำกันไม่หวาดไม่ไหว ใครเริ่มรู้สึกมึนๆตึงๆ วันนี้พี่ทีของเราก็ได้มีเรื่องมานำเสนอให้เพื่อนๆ พี่ๆได้อ่านเช่นกัน สำหรับใครที่คิดว่าตัวเองสุขภาพจิตไม่ค่อยดี หงุดหงิด เซง เบื่อ 9ล9 ลองเข้ามาอ่านดู อาจจะพบอะไรดีๆช่วยแก้ปัญหาให้หลายคนได้


ถ้าคิดว่า....ฉันไม่มีคุณค่าพอที่จะรัก เพราะไม่เคยมีใครแสดงท่าทีว่ารักฉัน
ให้ลองคิดว่า...วิธีแสดงออกของความรัก ความห่วงใยของคน มีหลากหลายวิธี ทั้งทางตรงและทางอ้อม ลองพิจารณาดูใหม่ อาจจะเห็นอะไร ที่ต่างไปจากเดิมก็ได้ อีกประการหนึ่ง แค่เป็นคนดี ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร ก็ถือว่ามีคุณค่าระดับหนึ่งแล้ว จงภูมิใจในตัวเอง ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี ใครๆ ก็ต้องชื่นชม


ถ้าคิดว่า....เป็นหน้าที่ของฉันเท่านั้น ที่จะต้องแก้ปัญหาทั้งหลาย
ให้ลองคิดว่า....ปัญหาในชีวิตประจำวันของคนเรา มักเกี่ยวข้องกับคนอื่นๆ ด้วย อย่าคิดแทนคนอื่นว่า เขาทำไม่ได้ ทำให้เราต้องรับผิดชอบทุกเรื่อง การหันหน้าเข้าหากัน ร่วมกันปรึกษาหาทางออก จึงเป็นสิ่งที่ควรทำ ไม่ใช่เป็นหน้าที่คนใดคนหนึ่ง หรือคิดว่าเป็นเรื่องเสียหน้า หรือต้องเกรงใจ ที่จะขอความช่วยเหลือคนอื่น เพราะถ้าคิดอย่างนั้น นอกจากจะแก้ปัญหาไม่ได้ หรือได้อย่างยากเย็นแล้ว ยังทำให้เหนื่อยหน่าย หมดกำลังใจ และรู้สึกท้อแท้กับชีวิต


ถ้าคิดว่า....ใครๆ ทุกคนต้องชอบฉัน
ให้ลองคิดว่า....ไม่มีใครในโลกนี้ไม่เคยถูกนินทา ธรรมชาติของสิ่งต่างๆ ย่อมมีคู่กัน มีมืด มีสว่าง มีดี มีเลว มีคนชอบชมคนอื่น มีคนชอบติเตียนคนอื่น ฯ การคิดอะไรที่ฝืนธรรมชาติ นอกจากจะไม่ถูกต้องแล้ว ยังทำให้ไม่สบายใจด้วย ทำตัวเองให้เป็นคนดี และมั่นใจตัวเอง โดยไม่ต้องให้คนอื่นมาบอก มีความสุขกว่าอะไรทั้งหมด เพราะไม่ต้องเหนื่อย ที่ต้องเที่ยวเอาใจคนอื่น เพื่อให้เขามาชม


ถ้าคิดว่า....ฉันต้องทำสิ่งต่างๆ ได้ดีที่สุด และต้องไม่มีการล้มเหลวเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น
ให้ลองคิดว่า....การคิดอะไรแบบสุดโต่ง นอกจากจะต้องเคร่งเครียดอยู่ตลอดเวลาแล้ว โอกาสสำเร็จก็เป็นไปได้ยาก เพราะการงาน หรือการดำเนินชีวิตของคนเรา ไม่สามารถเป็นอิสระในตัวเอง ต้องเกี่ยวข้องกับคนอื่น หรือแม้แต่สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ ข้อจำกัดเหล่านี้ อาจทำให้สิ่งที่คิดไว้อย่างดีแล้ว ไม่เป็นไปตามแผนก็ได้


ถ้าคิดว่า....ในชีวิตนี้ ฉันสามารถมีความรักได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น
ให้ลองคิดว่าการจำกัดขอบเขตตัวเองในเรื่องต่างๆ หรือยึดติดกับความคิดที่ขาดความยืดหยุ่น จะทำให้เครียด และหวั่นไหวมาก เมื่ออะไรไม่เป็นไปอย่างที่คิด ฉะนั้นควรเปิดใจให้กว้าง สำหรับเรื่องต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต จะทำให้มีความสุขขึ้น กรณีของความรักก็มีหลายแบบ ทั้งความรักของพ่อแม่ เพื่อนฝูง และความรักแบบชู้สาว ทุกอย่างไม่ได้ขึ้นอยู่กับเราเท่านั้น แต่มีอีกฝ่ายอยู่ด้วย เราไม่สามารถบังคับให้คนอื่น ทำตามที่เราต้องการได้เสมอไป และชีวิตของคนเรา ยังมีเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย ไม่ใช่ว่ามีแต่เรื่องนี้เรื่องเดียว อย่าเอาตัวเอง ไปผูกติดอยู่กับอะไรแน่นเกินไป เพราะอาจจะพลาดโอกาสดีๆ อย่างอื่นก็ได้


ถ้าคิดว่า....ถ้าฉันเล่าปัญหาของฉันให้คนอื่นฟัง เขาต้องหัวเราะเยาะฉันแน่ๆ
ให้ลองคิดว่า....ไม่มีใครในโลกที่ไม่มีปัญหา และแต่ละคนก็รับรู้ หรือรู้สึกต่อปัญหาในระดับที่ต่างกัน แม้ว่าจะเป็นเรื่องเดียวกันก็ตาม ไม่มีใครผิดใครถูก ทุกอย่างขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ทั้งจากตัวเอง และพื้นฐานการที่ถูกเลี้ยงดูมา ร่วมกับมาตรฐานสังคมของตนเอง การคิดว่าเรื่องของเรา เหลวไหลไร้สาระในสายตาคนอื่น เป็นสิ่งที่เราไปคิดแทนคนอื่น ซึ่งความจริงอาจจะไม่เป็นอย่างนั้นก็ได้ หรือถ้าเกิดเหตุการณ์อย่างนั้นจริงๆ ก็เป็นเรื่องธรรมดา ใครๆ ก็เป็นได้ ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย ที่จะต้องเกรงกลัวหรืออับอาย


ถ้าคิดว่า....บางครั้งฉันมีความรู้สึกเศร้า หดหู่ ฉันต้องเป็นโรคจิตแน่ๆ
ให้ลองคิดว่า.....คนที่จะบอกว่าใครเป็นโรคจิต ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวชศาสตร์ ไม่ใช่ใครๆ ก็บอกได้ คำพูดเล่นๆ ติดปาก เวลาเห็นใครมีลักษณะท่าทางที่ไม่ปกติ ว่าเป็นโรคจิต จึงไม่ใช่ว่าถูกต้องเสมอไป เช่นเดียวกับอารมณ์เศร้า หดหู่ ก็เป็นสิ่งที่อาจจะเกิดได้ในคนปกติทั่วๆ ไป ที่มีเรื่องทุกข์ใจ หรือเจ็บป่วยเรื้อรัง เมือสถานการณ์ผ่านไปก็ดีขึ้น ถ้ามีอาการคงอยู่นาน หรือมีอาการมาก จนรบกวนการดำรงชีวิตประจำวันตามปกติ ก็ควรไปพบนักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์ เพื่อรับการประเมินหรือตรวจให้ชัดเจน ไม่ควรคิดเอาเองจนป่วยไปในที่สุด



ถ้าคิดว่า....อารมณ์เศร้าที่เกิดขึ้น ไม่มีทางดีขึ้นหรือหายได้เลย
ให้ลองคิดว่า....อย่าคิดเอาเอง ควรพบผู้เชี่ยวชาญ เพื่อตรวจดูในแน่ชัดว่าเป็นอะไร แล้วรับคำแนะนำการปฏิบัติตัว หรือการรักษาที่เหมาะสม



ถ้าคิดว่า.....ถ้าฉันแก้ปัญหาไม่สำเร็จ ฉันก็ไม่คิดจะลองใหม่ เพราะรู้ว่ายังไง ก็ไม่มีทางสำเร็จอยู่ดี
ให้ลองคิดว่า.....การคิดอะไรในด้านเดียว และเป็นด้านร้าย มีแต่จะทำให้ล้มเหลว เพราะมันล้มเหลวตั้งแต่คิดไม่สู้แล้ว ควรปรับวิธีคิดใหม่ เช่น ถ้าไม่ลองแก้ไข ผลก็คือลบ แต่ถ้าลองแก้ดู ผลอาจจะออกมาลบหรือบวกก็ได้ ฉะนั้นลองแก้ดู อย่างน้อยก็เสมอตัว ไม่ได้มีอะไรเสียมากขึ้น


ถ้าคิดว่า.....ฉันไม่สามารถกำหนด วิถีชีวิตของตนเองได้
ให้ลองคิดว่า....วิถีชีวิตของคนเราเกิดจากปัจจัยหลายๆ อย่าง ทั้งจากตัวเอง เช่น บุคลิกภาพ ความฉลาด การศึกษาและโอกาส และจากคนและสิ่งแวดล้อม ที่กำหนดความเป็นไปได้ ปัจจัยเหล่านี้ ต้องเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอยู่เสมอ ไม่มีปัจจัยใดปัจจัยหนึ่ง ที่กำหนดทุกสิ่งทุกอย่างได้ แต่เราสามารถกำหนดวิถีชีวิตตัวเองได้ โดยใช้คุณลักษณะดีๆ ที่มีอยู่ให้เต็มที่ โอกาสจากสิ่งแวดล้อม ก็น่าจะดีได้ระดับหนึ่ง การที่คิดว่าไม่สามารถกำหนดตัวเองได้ เป็นการยอมรับชะตากรรมโดยดุษฎี หรืออาจจะเป็นข้อแก้ตัวที่จริงๆ แล้วไม่กล้าสู้ กลัวล้มเหลว ซึ่งการคิดอย่างนี้ ไม่เป็นผลดีกับตัวเองเลย


ถ้าคิดว่า....การหนีไปให้พ้นจากปัญหา เป็นเรื่องที่ฉันจะทำ มากกว่าเข้าไปเผชิญหน้ากับมัน
ให้ลองคิดว่า....การคิดอย่างนี้เท่ากับยอมแพ้ต่อเรื่องต่างๆ ตั้งแต่ต้น และไม่มีทางที่จะช่วยแก้ปัญหาได้ นอกจากนั้น ก็จะทำให้เกิดปมปัญหาเพิ่มขึ้นทุกวัน คนเราไม่มีทาง ที่จะหนีปัญหาได้ทุกเรื่องหรือตลอดเวลา การค่อยๆ พิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้น มองหาสิ่งที่จะช่วยการแก้ปัญหาได้ แล้วขอความช่วยเหลือ หรือความร่วมมือ ดีกว่าที่จะต้องหนีไปตลอดชีวิต ซึ่งอาจจะยากและ เหนื่อยกว่าเสียอีก

เห็นมั้ยครับว่าบางครั้งเพียงแค่เราลองเปลี่ยนวิธีคิดเท่านั้น เราสามารถเห็นเรื่องที่ยากเย็นแสนเข็ญ เป็รเรื่องที่สามารถแก้ไขได้แน่นอนขอเพียงทุกคนมีความคิดในแง่บวก(Attitude)เข้าไว้ รับรองว่าปัญหาทุกอย่างย่อมมีทางออก ใครมีปัญหาอะไร อย่าลืมนะครับว่าเรายังมีเพื่อนๆ พี่ๆอยู่อีกมากมายที่สามารถให้คำปรึกษาให้ความช่วยเหลือกันได้ เพราะเราอยู่ในบ้านหลังเดียวกันนะครับ

ส่วนรูปผมชอบเลยเอามาใส่ให้ ให้ลองคิดว่าถ้าเราเป็นอย่างเขาเราจะยิ้มออกแบบนั้นได้มั้ย
ผมว่าลุงนั่นต้องมี A attitude อยู่ในระดับยอดเยี่ยมแน่นอน ^^
อ่านบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2554

มุมมองดีๆของความรัก (View of love)

by ต้นAF06




วันนี้พี่ต้นได้มาแชร์เรื่องดีๆ ผ่อนคลายความเครียดจากการทำงานด้วยมุมมองความรักในแบบของพี่ต้น ให้หลายๆคนได้ดื่มด่ำไปพร้อมกับพี่ต้นได้เลย

สำหรับใครที่ยัง........"โสด"
ความรักนั้นมันก็เหมือนกับ"ผีเสื้อ"
ยิ่งคุณวิ่งเข้าหามันเท่าไหร่
มันก็จะห่างคุณออกไปเท่านั้น
แต่ถ้าคุณปล่อยมันไปมันจะเข้ามาหาคุณเองแหล่ะ
ถ้าคุณไม่คาดหวังกับมันมาก
ความรักสามารถทำให้คุณมีความสุข
แต่มันก็สามารถทำให้คุณเจ็บปวดได้บ่อยๆ เหมือนกัน
แต่ความรักเป็นสิ่งที่พิเศษ
ถ้าคุณได้ให้มันกับใครสักคนที่เค้าดีที่สุดสำหรับคุณ
ดังนั้นค่อยๆ
หาไปล่ะกันนะ
และเลือกคนที่ดีที่สุด
สำหรับคุณ......

สำหรับใครที่....."ไม่โสด"
เค้าบอกว่า...
ความรักไม่ได้มาจากคนที่สมบูรณ์ไปหมดทุกอย่าง
แต่มันจะมาจากคนที่สามารถช่วยคุณให้เป็น
คนที่ดีที่สุดเท่าที่คุณจะเป็นได้.....



สำหรับใครที่......"อกหัก"
การอกหักมันยาวนานพอๆ
กับที่คุณต้องการให้มันอยู่กับคุณหรือ
อยากจะตัดใจให้ออกไปจากใจของคุณ
สิ่งที่สำคัญก็คือว่า
มันไม่ใช่จะต้องอยู่กับการอกหัก
แต่มันอยู่ที่ว่า....เราเรียนรู้จากมันได้แค่ไหน
ต่างหาก......

สำหรับเพื่อนๆทุกๆคน......
เค้าบอกว่า....
ฉันปรารถนาให้ทุกๆคนที่มีความรัก
จงซื่อสัตย์เข้มแข็ง
อย่าอ่อนไหวอย่าโลเล
อย่าเห็นแก่ตัว
ให้ความรักของคุณเจริญเติบโตมากขึ้นๆ
ให้ความฝันความหวังและ
ให้รางวัลชีวิตแด่กันและกัน
เท่านี้รักของคุณก็ยิ่งใหญ่

หวังว่าทุกคนคงมีความสุขกับความรักที่เกิดขึ้นและมีความสุขตลอดกาล

จากต้น AF06 ผงาดง่ำ่คั้มโลก
อ่านบทความทั้งหมด

วันศุกร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2554

ความเสียดายของมนุษย์เงินเดือน (Lesson learned from professional employee)

โดยพี่ปัญญา

คนที่กำลังทะเลาะกันมองไม่เห็นหรอกว่าตัวเองถูกหรือผิด คนที่ไม่เคยลำบากไม่รู้หรอกว่าการรอคอยให้หมดหนี้นั้นทรมานเพียงใดคนไม่เคยตกงาน ไม่รู้หรอกว่าการได้งานทำนั้นสำคัญแต่ไหน ฯลฯ เรื่องบางเรื่องในชีวิตนี้เราอาจจะมีโอกาสทดลองหรือสัมผัสได้มากกว่าหนึ่งครั้ง เรื่องบางเรื่องมีโอกาสแก้ตัวได้ แต่.....เรื่องบางเรื่องในชีวิตนี้ ไม่มีโอกาสแก้ตัว เพราะเรื่องบางเรื่องต้องอาศัยเวลาเกือบทั้งชีวิตจึงจะรู้ว่าสิ่งที่ผ่านมานั้นถูกหรือผิด ดีหรือไม่ดีและเรื่องที่สำคัญเรื่องหนึ่งสำหรับคนที่เป็นลูกจ้างหรือมนุษย์เงินเดือนคือประสบการณ์ชีวิตและข้อคิดจากการเป็นลูกจ้าง ข้อคิดหรือบทเรียนส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นเมื่อเวลาล่วงเลยไปแล้ว ดังนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้มนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่ผิดซ้ำเรื่องเดิมกับคนรุ่นก่อน ๆ จึงขอเป็นตัวแทนของรุ่นพี่ ๆ อดีตมนุษย์เงินเดือนมาบอกเล่าให้ฟังว่า คนที่เคยทำงานกินเงินเดือนในรุ่นที่ผ่านๆ มาเขาหันกลับมามองอดีตแล้วเกิดความรู้สึกอะไรบ้าง หรือถ้าจะพูดง่ายๆ คือ เรื่องไหนบ้างที่อดีตมนุษย์เงินเดือนคิดว่าถ้าย้อนเวลากลับมาได้จะทำให้ดีกว่าที่ผ่านมาของอดีตมนุษย์เงินเดือน เพื่อฝากเตือนใจมนุษย์เงินเดือนรุ่นใหม่ให้หลีกเลี่ยงหรือป้องกันดังนี้

1)เสียดายไม่ตั้งใจทำงานในช่วงแรกของชีวิตการทำงาน
เนื่องจากช่วงแรกๆ ของการทำงานไม่ค่อยตั้งใจและทุ่มเทมากนัก ตอนนั้นคิดว่าทำงานแลกกับเงิน ได้เงินน้อยก็ทำน้อย ที่ไหนให้มากก็ขยันขึ้นมาหน่อย คิดอย่างเดียวว่าถ้าขยันทำมาก เจ้านายจะติดใจและใช้มาก เราก็เหนื่อย มารู้ตัวอีกครั้งเมื่อทำงานไปตั้งนานไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง เด็กรุ่นใหม่ ที่พึ่งมาแซงหน้าไปแล้ว ที่สำคัญชีวิตช่วงแรกที่ทำงานมักจะเป็นช่วงที่เราจะรู้สึกว่าทำงานเหนื่อยกว่าตอนเรียน ดังนั้น วัยนี้ตนทำงานบางคนก็เริ่มเที่ยว ดื่ม กิน ใช้ชีวิตเปลืองมาก เลิกงานเสร็จเที่ยวต่อจนดึกจนดื่น เผลอๆ บางวันใส่ชุดเดิมมาทำงาน เพราะยังไม่ได้กลับบ้าน แล้วจะทำงานดีได้อย่างไร กายและใจมาทำงานเพียงครึ่งเดียว สุดท้ายชีวิตการทำงานในช่วงแรก ๆ แทนที่จะมีเส้นการเรียนรู้ที่สูงชัน กลับกลายเป็นเส้นการเรียนรู้ที่แบนราบ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะตั้งใจและขยันทำงานตั้งแต่เข้ามาทำงาน และกระตือรือรันที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ที่เกี่ยวและไม่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ที่รับผิดชอบ และจะลดหรืองดการเที่ยวและดื่มให้น้อยลง เพราะตอนนี้ผลกรรมเริ่มสนองให้เห็นแล้วว่าการใช้ชีวิตแบบประมาทนั้นส่งผลต่อสุขภาพร่างกายระยะยาว

2)เสียดายที่ไม่ได้ศึกษาต่อ
มนุษย์เงินเดือนหลายคนมักจะคิดว่าจะหาเวลาศึกษาต่อ รอเก็บเงินค่าเทอมไปสักพักก่อน และรอให้ทำงานเข้าที่ก่อน แต่ด้วยเหตุปัจจุบันหลายอย่างทำให้มนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่พลาดเป้าหมายนี้ไป เช่น งานยุ่งไม่มีเวลาเรียน พอจะเรียนก็เปลี่ยนงาน ไม่มีเงินค่าเทอม ขี้เกียจอ่านหนังสือสอบไม่ได้ ใจอยากเรียนแต่ไม่เคยแม้แต่จะลงมือทำอะไรเลย อดีตมนุษย์เงินเดือนหลายคนคิดย้อนกลับไปว่าถ้าตอนนั้นเรียนต่อในระดับนั้นระดับนี้ ป่านนี้คงจะประสบความสำเร็จไปมากกว่านี้แน่นอน เพราะมีอยู่ช่วงหนึ่งมีโอกาสดี ๆ เข้ามาในชีวิต คุณสมบัติครบทุกอย่าง ขาดอย่างเดียวคือวุฒิการศึกษาไม่ถึง เลยเสียโอกาสที่สำคัญในชีวิตการทำงานไป ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ คิดว่าจะต้องตัดสินใจเรียนตั้งแต่เพิ่มเริ่มทำงานใหม่ ๆ สักปีสองปี จะยอมอดทนไปสักระยะหนึ่ง และจะเรียนจบก่อนที่จะเปลี่ยนงานใหม่หรือมีครอบครัว

3)เสียดายที่มัวแต่ทะเลาะกับเจ้านายและเพื่อนร่วมงาน
หลายคนเสียเวลาไปกับปัญหาคนเยอะมาก ทั้งหัวหน้า เพื่อนร่วมงาน ลูกน้อง เสียเวลาของสมองไปกับการคิดถึงปัญหาคนอื่น ตอนที่เป็นลูกจ้างเรามักคิดว่าปัญหาทะเลาะกับคนเป็นปัญหาใหญ่ เลยใช้เวลากับมันมาก เครียดบ่อย ไม่มีเวลาไปพัฒนาปรับปรุงงานหรือตนเองเลย ทั้งที่ลืมไปว่าไม่มีใครทำงานอยู่กับเราไปตลอดชีวิต และเราเองก็ไม่ได้ทำงานอยู่กับคนที่เราไม่ชอบไปตลอดชีวิตเช่นกัน แต่ตอนนั้นไม่ได้คิดแบบนี้ คิดอย่างเดียวว่าวันนี้เรากับเขาจะมีปัญหากันเรื่องอะไรอีก ใครเป็นคนผิด สุดท้ายเราก็จะจมอยู่กับปัญหา คนที่บางครั้งเคยหนีจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งแล้ว ปัญหาคนเก่าหายไป แต่ปัญหาคนใหม่ก็เกิดขึ้น

4)เสียดายที่เปลี่ยนงานมากไปหน่อย
ถ้าดูประวัติมนุษย์เงินเดือนบางคน จะเห็นว่าเปลี่ยนงานทุก ๆ ปี ปีละครั้งสองครั้ง ตอนที่เปลี่ยนงานก็มีเหตุผลมาสนับสนุนมากมาย เช่น เงินเยอะ อยู่ใกล้บ้าน เบื่อที่เก่า งานใหม่ท้าท้าทายกว่า ฯลฯ แต่เมื่อมาถามตอนี้ว่าผลการเปลี่ยนงานบ่อยในอดีตสรุปว่าดีหรือไม่ คำตอบที่ได้ก็มีทั้งดีและไม่ดี แต่หลายคนตอบถ้าพิจารณาถึงผลกระยะยาวแล้วอาจจะไม่เป็นผลดีมากนักเพราะประสบกรณีในแต่ละที่นั้นน้อยเกินไป ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะทำงานในแต่ละที่ไม่น้อยกว่า 3 ปี เพราะน่าจะเป็นเวลาที่เราได้ครบทั้งการเรียนรู้ การทำงาน และการพัฒนาปรับปรุงงาน

5)เสียดายที่หาตัวเองเจอช้าไปหน่อย
มนุษย์เงินเดือนบางคนทำงานมาเป็นสิบปีแล้ว ยังหาตัวเองไม่เจอเลยว่าเป้าหมายชีวิตของตัวเองคืออะไร ขนาดถามว่างานที่ชอบหรืออยากทำคืองานอะไรยังตอบไม่ได้เลย อย่างนี้จะก้าวหน้าในอาชีพการงานได้อย่างไรละครับ พูดง่ายๆ คืออดีตมนุษย์เงินเดือนหลายคนทำงานเหมือนกับพายเรืออยู่ในอ่าง วันๆ ก็ตื่นขึ้นมาไปทำงาน เสร็จงานกลับบ้าน รูปแบบชีวิตเหมือนเดิมเป็นเดือนเป็นปีบางคนเป็นสิบปี มารู้ตัวอีกทีก็ช้าไปเสียแล้ว เพื่อนรุ่นเดียวกันไปไหนต่อไหนจนมองไม่เห็นหลังกันแล้ว ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะวางแผนชีวิตตัวเองตั้งแต่เริมทำงานว่าอีกกี่ปีจะเป็นอะไร จะทำอะไร จะต้องได้อะไร และแต่ละวันแต่ละเดือนแต่ละปีควรจะทำอะไร อย่างไรบ้าง

6)เสียดายที่ทำงานอยู่ที่ใดที่หนึ่งนานเกินไป
คนบางคนไม่ได้เปลี่ยนงานบ่อย แต่ไม่เคยเปลี่ยนงานเลย ตอนที่ทำงานอยู่รู้สึกว่าเราเป็นคนดีขององค์กรที่ไม่ยอมเปลี่ยนงานไปไหนเลย แต่พอชีวิตการทำงานผ่านเลยไปก็รู้สึกเสียใจและเสียดายเหมือนกันที่ชีวิตการทำงานอยู่ในสภาพแวดล้อมเดียว สังคมเดียว คนบางคนอยู่ที่ใดที่หนึ่งนานเกินไป ช่วงเวลาที่กำลังรุ่งก็ไม่ยอมเปลี่ยนงาน พอจังหวะชีวิตผ่านไปก็คิดจะเปลี่ยนงาน ก็ทำได้ยากแล้ว เพราะเงินเดือนสูง อายุเยอะ แต่ตำแหน่งต่ำ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะเปลี่ยนงานในจังหวะที่เหมาะสมเพื่อปรับเพดานบินให้เหมาะสมกับอายุตัวและอายุงาน โดยไม่ต้องยึดติดว่า จะต้องอยู่กับองค์ใดองค์กรหนึ่งนานจนเกินไป

จากการที่ได้อ่านบทความนี้แล้ว ในแต่ละหัวข้อนั้น น่าจะเป็นแบบอย่างที่ดีในการนำไปคิดแก้ไขปรับปรุงในการทำงาน ว่าตัวเราเองนั้นอยู่ในข่ายของหัวข้อไหน และจะเริ่มแก้ไขปรับปรุงตัวไปในทิศทางใดจึงจะเหมาะสม มิเช่นนั้นแล้วจะเป็นดังเช่น บทเรียนจากคำว่า เสียดาย ของอดีตมนุษย์เงินเดือน ที่ได้ทำมาแล้วเพราะฉะนั้นตัวเราเองจะต้องเป็นผู้กำหนดในการที่จะเรียนรู้ และยอมรับในสิ่งใหม่ๆ ไม่มีใครที่จะมาชี้แนะและแนะนำให้เราตลอดเวลา เราควรที่จะเริ่มที่ตัวของเราเองก่อน อย่ารอที่จะให้ผู้อื่นมาบอกกล่าวหรือกระตุ้นเตือนเรา อย่างน้อยๆ ก็น่าที่จะนำไปเป็นคำถามกับตัวเราเองว่า เราอยากที่จะรู้สึกเสียดายในเรื่องนั้นหรือเรื่องนี้เหมือนกับคนรุ่นก่อนๆ หรือไม่ ถ้าไม่แล้วเราควรจะเริ่มต้นที่จะทำอะไร และอย่างไรนับตั้งแต่วันนี้ เพราะมิเช่นนั้นแล้วคำว่า เสียดาย นี้อาจจะเกิดกับตัวท่านเองวันข้างหน้า
อ่านบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2554

Spice up your English with Laura... # 9 – "I like to sing a song"

โดย ฝ่ายบุคคล

เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก เผลอแผล็บเดียวเดือนสุดท้ายของปีก็เดินทางมาถึงแล้ว เดือนธันวาคมนับเป็นเดือนที่อิฉันชอบที่ซู้ดด เพราะนอกจากอากาศจะเย็นสบายแล้ว ยังมีเทศกาลเฉลิมฉลองต่างๆ อีกมากมาย ที่สำคัญก็งานวันพรุ่งนี้ค่ะ วันเฉลิม หรือ วันพ่อ ซึ่งปีนี้จัดยิ่งใหญ่กว่าทุกปี มีงานแสดงแสงสีเสียงหลายๆ จุดทั่วกรุงเทพฯ ถ้าสนใจก็ลองติดตามดูค่ะ ^o^
เพื่อเป็นการฉลองเดือนแห่งความสุข Spice up your English with Laura ... ในตอนนี้ขอนำเสนอเรื่องเบา ๆ ใกล้ตัว แต่ใช้ผิดกันบ่อยครั้ง คนไทยส่วนมากมักจะพูดกันอย่างติดปากว่า I like to sing a song ซึ่งดูเผิน ๆ ฟังเพลิน ๆ ก็น่าจะไม่มีอะไรผิดปกติ แล้วแถมยังถูกหลักไวยากรณ์อีกต่างหาก แต่จะหาฝรั่งคนใดในโลกที่จะพูดประโยคเหล่านี้ยากมากค่ะ เพราะเค้าถือว่าเป็นการใช้คำฟุ่มเฟือย อันที่จริงแล้วคำว่า sing แปลว่า ร้องเพลง อยู่แล้ว การใช้คำว่า sing a song แปลเป็นไทยตามตัวแปลว่า ร้องเพลงบทเพลง ซึ่งฟังแล้วมันทะแม่ง ทะแม่งชอบกล เพราะฉะนั้นขอให้ใช้คำว่า sing โดด ๆ ดีกว่า เช่น I like to sing. (ฉันชอบร้องเพลง), Pichayapa likes to sing in the shower. (พิชญาภาชอบร้องเพลงเวลาอาบน้ำ) หรือ Whenever I feel sad and lonely, I sing to myself. (เวลารู้สึกเศร้า ๆ เหงา ๆ ฉันก็ร้องเพลงให้กับตัวเอง)

ถ้าพูดถึงเพลงมากกว่า 1 เพลง เราสามารถเติมคำว่า song เช่น Let's sing a couple of songs around the campfire. (เรามานั่งรอบกองไฟและร้องเพลงสัก 2 - 3 เพลงกันเถอะ) แต่ถ้าอยากจะระบุว่า เพลงนั้นชื่ออะไรก็ไม่ต้องใช้คำว่า song นะคะ บอกชื่อได้เลย เช่น Pocky sing "Nobody" at the karaoke bar. (ป็อกกี้ร้องเพลง "โนบะดี" ที่ร้านคาราโอเกะ) อินเตอร์ซ้า

นอกจากคำว่า sing a song แล้วยังมีคำอื่น ๆ อีกที่เรามักใช้คำฟุ่มเฟือยโดยไม่จำเป็น ตัวอย่างที่พบเห็นกันเป็นประจำ เช่น

· I like to read a book. คำว่า read แปลว่า อ่านหนังสือ ถ้าเราเป็นคนรักการอ่าน เราสามารถพูดว่า I like to read ซึ่งเค้าจะเข้าใจทันทีว่าเราชอบอ่านหนังสือ หรือสิ่งพิมพ์อย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าอยากระบุว่าเป็นการอ่านหนังสือประเภทไหนก็บอกได้เลย เช่น My sister reads romantic novels all the time. (น้องสาวผมชอบอ่านนวนิยายรักอยู่ตลอดเวลา)
· I drive a car to work every day. คำว่า drive แปลว่า ขับรถ เราจึงสามารถพูดได้ว่า I drive to work every day ไม่ต้องมีคำว่า a car อีก หรือตัวอย่างอื่น ๆ เช่น Let's go to Jittep's birthday party. I'll drive. (เราไปงานวันเกิดของพี่จิตเทพกันเถอะ ฉันจะขับรถให้เอง) แต่ถ้าขี่จักรยานหรือมอเตอร์ไซด์ เราใช้คำว่า ride นะคะ
· Don't smoke cigarettes in this room. เช่นเดียวกันคำว่า smoke แปลว่า สูบบุหรี่ ไม่ต้อง smoke cigarettes เอาแค่ smoke ก็พอแล้วนะคะ Don’t smoke too much. (อย่าสูบบุหรี่มากเกินไปนะ)

สรุปว่า ฝรั่งเข้าใจความหมายโดยนัยอยู่แล้ว ขอให้พูดให้สั้นเน้นความถูกต้องและกระชับ เช่น I like to sing, I like to read และ I drive to work every day ก็พอค่ะ ฉบับหน้า Spice up your English with Laura ... เป็นฉบับที่ 10 แล้ว จะมีอะไรพิเศษมาฝากกัน อย่าลืมติดตามให้ได้ สำหรับวันนี้ ขอลาไปดูไฟก่อน บายค่ะ
อ่านบทความทั้งหมด