วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2554

สัจจะ


"สัจจะ" แปลว่า ความสัตย์ ความซื่อ ถ้าขยายความตามศัพท์แยกได้ 3 ลักษณะคือ มีความจริง ความตรง และความแท้ จริง คือ ไม่เล่น ตรง คือ ความประพฤติทางกาย วาจา ตรงไม่บิดพลิ้ว ไม่บ่ายเบี่ยง แท้ คือ ไม่เหลวไหล ตรงข้ามกับคำว่า อสัจ ซึ่งแปลว่า ไม่จริง บิดพลิ้ว แต่ถ้าในทางปฏิบัติสัจจะ คือ ความรับผิดชอบ หมายความว่า ถ้าจะทำอะไรแล้ว ต้องตั้งใจทำจริง ทำอย่างสุดความสามารถให้เป็นผลสำเร็จ การที่ใครจะสามารถสร้างตัวขึ้นมาได้นั้น ต้องมีสัจจะเป็นพื้นฐาน เพราะคนที่มีสัจจะ เป็นพื้นฐานจะมีความรับผิดชอบต่องานที่ทำทุกอย่าง ไม่ปล่อยผ่านกับสิ่งที่ได้รับมา จะทำทุกสิ่ง ที่มาถึงมืออย่างสุดกำลัง และเต็มความสามารถ
ลักษณะของสัจจะ มีด้วยกัน 5 ประการ คือ

ประการที่ 1 สัจจะต่อความดี

ก็คือ การประพฤติตนเป็นคนเที่ยงแท้ มั่นคงต่อความดีไม่หันเหไปในทางชั่ว ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์เช่นไร ในทางปฏิบัติ การจะมีสัจจะต่อความดีได้นั้น ต้องคิดให้เห็นถึงคุณความดีได้อย่างแจ่มแจ้ง และเห็นโทษของความชั่วได้ชัดเจน พยายามรักษาความดีในตนไว้ ถ้าเป็นฆราวาสก็ต้องละ กรรมกิเลส 4, อคติ 4, อบายมุข 6 และต้องปรับความเห็นของตนให้ถูก ให้เป็นสัมมาทิฏฐิให้ได้ หากเป็นพระก็ต้องรักษาสิกขาวินัย สืบทอดพระพุทธศาสนา หากเป็นฆราวาส ก็ต้องทำมาหากินตั้งตนให้ได้ สร้างหลักฐานให้กับวงศ์ตระกูล ใครจะอยู่ในหน้าที่อะไรก็ต้องพยายามหาดีของตนให้ได้ หากหาดีนอกทางเสียแล้วก็จะเสียความจริงต่อความดี

ประการที่ 2 สัจจะต่อหน้าที่

คือ การที่ใครก็ตามที่เกิดมาย่อมมีหน้าที่ติดตัวมาด้วยกันทั้งนั้น ดังนั้น จึงควรมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตน ใครเป็นหัวหน้าก็ตั้งใจพัฒนาองค์กรและลูกน้อง ใครเป็นลูกน้องก็ตั้งใจทำงานในส่วนที่ตนเองรับผิดชอบให้ดี ไม่ให้มีความบกพร่อง ไม่ว่าใครจะเป็นอะไร ก็ทุ่มไปกับหน้าที่ของตัวให้เต็มที่ หากทำเช่นนี้ได้จึงเรียกว่า มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่

ประการที่ 3 สัจจะต่อการงาน

สัจจะต่อการงาน ก็คือการตั้งสัจจะลงไปในงาน หมายถึงการทำงานนั้นต้องทำจริง ไม่ทำเหยาะๆ แหยะๆ หรือทำเล่นๆ ดังนั้น เมื่อมีหน้าที่แล้วก็ย่อมมีงานตามมา จะเป็นอะไรก็มีหน้าที่และมีงานตามมา ยิ่งอายุมาก หน้าที่ก็ยิ่งมากเป็นเงาตามตัว เมื่อหน้าที่มาก งานก็มากด้วยเช่นกัน
คนที่ไม่จริงต่อการงาน มีอยู่ 3 ประเภทด้วยกัน คือ
พวก "ทุจฺจริตํ" คือ พวกที่ทำงานเสีย
พวก "สิถิลํ" คือ พวกที่ทำงานเหลาะแหละ
พวก "อากุลํ" คือ พวกที่ทำงานคั่งค้าง
หากทำอย่างนี้จะเสียสัจจะต่อการงาน วิธีแก้ก็คือ ทำให้ดี ทำให้เคร่งครัด ทำให้เสร็จสิ้น หากทำได้ก็จะกลายเป็นสัจจะต่อการงานอีกประการหนึ่ง เรามักได้ยินคำพังเพยว่า "เรือล่มเมื่อจอด" คำนี้ใช้กับผู้ที่เคยทำดีมาแล้ว แต่ประมาทเมื่อปลายมือ เพราะไม่ตั้งใจทำให้ดีที่สุดหรือทำสักแต่ว่าทำ เพราะฉะนั้น เมื่อทำความดีแล้ว ต้องทำให้ดีพร้อม จนใครๆ ก็ทำให้ดีกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว คือ ต้องทำงานชิ้นนั้นให้สำเร็จให้ได้และให้ดีที่สุด นี่คือความรับผิดชอบของคนที่มีสัจจะต่อการงาน

ประการที่ 4 สัจจะต่อวาจา

สัจจะต่อวาจา คือ จริงต่อวาจา นั่นก็คือคำพูดของเราเอง ไม่ว่าจะเป็นการพูดด้วยปาก หรือการเขียน ตลอดจนการแสดงอาการที่เป็นการปฏิญาณต่อผู้อื่นก็ตาม จัดอยู่ในเรื่องของวาจาได้ สัจจะต่อวาจามีอยู่ด้วยกัน 2 ประเภท คือ
พูดอย่างไรทำอย่างนั้น คือ เมื่อพูดออกไปแล้วก็ต้องพยายามทำให้ได้จริงตามที่พูด
ทำอย่างไรพูดอย่างนั้น คือ การพูดคำจริง เมื่อเราทำอะไรลงไปก็พูดไปตามนั้น การกระทำต้องตรงกับคำพูดของตัวเองเสมอ

ประการที่ 5 สัจจะต่อบุคคล

สัจจะต่อบุคคล คือ ต้องจริงต่อบุคคล ในที่นี้คือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับตัวเราจริงต่อบุคคลนั้น หมายถึง การเป็นผู้ที่ประพฤติต่อคนอื่นอย่างสม่ำเสมอ ไม่กลับกลอกเพื่อให้มาซึ่งประโยชน์ของตนโดยไม่สนใจผลกระทบที่มีต่อผู้อื่น

สรุปความได้ว่า คนที่มีสัจจะคือคนที่ทำอะไรทุ่มสุดตัว จะทำงานชิ้นใดก็ทุ่มทำให้ดีที่สุด คบใครก็คบกันจริงๆ ไม่ใช่ต่อหน้าสรรเสริญ ลับหลังนินทา ถ้าจะคบก็คือคบ ถ้าไม่คบก็ตัดบัญชี

ทุกวันนี้สังคมเราขาดความเชื่อในสัจจะ ทำให้เราใช้ชีวิตอย่างไม่มีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน ดำเนินชีวิตไปตามกระแสของคนรอบข้างและค่านิยมทางวัตถุ สัจจะที่เราให้ไว้ซึ่งอาจเป็นไปด้วยความไม่ตั้งใจหรือเพื่อให้ได้มาซึ่งประโยชน์เฉพาะหน้าเฉพาะตนมักจะไม่มีความหมายต่อเรา แต่มีความหมายต่อผู้ที่เราได้ให้สัจจะไว้เสมอ เมื่อเราไม่สามารถรักษาสัจจะที่มีให้กับตนเองและผู้อื่นได้ เราก็จะใช้ชีวิตอยู่อย่างผู้ตามตลอดไป

ข้อมูลสนับสนุนจาก วิกิพีเดีย
อ่านบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2554

จนกระทั่งโดนธนูปักที่เข่า (The Elder Scrolls V: Skyrim)


ช่วงนี้หลาย ๆ คนคงจะได้ยินวลีฮิตติดหู ".......จนกระทั่งโดนธนูปักที่เข่า" กันบ่อยเหลือเกิ๊นนน ซึ่งก็สร้างความขบขันกันเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ทั้งเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ จนถึงกับมีการตั้งแฟนเพจ จนกระทั่งโดนธนูปักที่เข่า กันเลยทีเดียว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ยังคงมีคนอีกจำนวนมากเช่นกันที่ยังไม่เก็ทและอดสงสัยไม่ได้ว่า เอ...วลีนี้มีความหมายว่าอะไรกันแน่ แล้วฮิตได้อย่างไร เอาล่ะ ถ้าไม่อยากตกเทรนด์ วันนี้มีคำอธิบายมาฝากกัน

สำหรับวลี "......จนกระทั่งโดนธนูปักที่เข่า" มีจุดกำเนิดมาจาก เกม The Elder Scrolls V: Skyrim โดยที่ในเกมนั้นจะมีตัวละครที่เป็นยาม และยามก็จะชอบพูดว่า "I used to be an adventurer like you, then I took an arrow in the knee." หมายความว่า เมื่อก่อนพวกเขาก็เป็นนักผจญภัยเหมือนเรานี่แหละ จนกระทั่งโดนธนูปักที่เข่า ก็เลยมาเป็นยาม ซึ่งดูเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ (พูดง่าย ๆ ก็คือ คิดว่ายามโม้หรือเปล่า ผู้เล่นโดนเยอะกว่ายังเห็นเป็นอะไรเลย มันต้องมีอะไรมากกว่านี้แหง) เพราะงั้นเมื่อผู้เล่นได้ฟังประโยคนี้จริงรู้สึกว่าตลก และนิยมนำมาล้อเลียนกันในเชิงทำนองเรื่องโกหกในอดีตที่ไม่เป็นจริง

ผู้ที่เอามาเล่นเพื่อเป็นการเบี่ยงเบนแก้สถานการณ์ข้อผิดพลาดของตัวเองหรือผู้อื่นอย่างนั้นอย่างนี้ กลบเกลื่อนเรื่องเลวร้าย จุดบกพร่อง ปมด้อยของตนหรือผู้อื่นโดยพุ่งเป้าโทษไปว่าที่เกิดเรื่องแย่ๆในชีวิตฉันเนี่ยเป็นเพราะ "โดนธนูปักที่เข่า"

วลี "......จนกระทั่งโดนธนูปักที่เข่า" จึงกลายเป็นคำฮิตติดปากในโลกไซเบอร์ ซึ่งตอนแรกเริ่มจากหมู่คนที่เล่นเกมนี้ จนลามไปยังกลุ่มคนผู้ใช้เฟซบุ๊กและทวิตเตอร์เป็นจำนวนมาก สำหรับการใช้วลีนี้ก็ง่ายนิดเดียว โดยจะใช้ในเชิงโกหก (ที่ฟังไม่ขึ้นเท่าไร แต่เน้นฮาหรือเปล่า???) โดยมีรูปแบบคือ "ก่อนหน้านี้ฉันเคย..... จนกระทั่งโดนธนูปักที่เข่า"

หากใครจะนำ วลีนี้ไปลองเล่นต่อเติมท้ายประโยคของตัวเราเองก็ไม่มีลิขสิทธิ์อันใด ทุกเพศทุกวัย สามารถครีเอทได้ตามความพอใจที่จะ "แถ" ไม่ยั้ง เข้ากระแสอินเทรนด์กันซะหน่อย จะได้ไม่เอาท์!! ไหนๆจะใช้ศัพท์วัยรุ่นแล้วก็ใช้อย่างเข้าใจ จะได้ไม่ เซาะกราว

ขอขอบคุณข้อมูลจากกระปุกดอทคอมและรูปภาพจาก Cool Girl
อ่านบทความทั้งหมด

28 ข้อคิดและสิ่งที่เรามองข้าม

By P'Kiatchay
ทุกวันนี้เรามีตึกสูงขึ้น มีถนนกว้างขึ้นแต่ความอดกลั้นน้อยลง เรามีบ้านใหญ่ขึ้น แต่ครอบครัวของเรากลับเล็กลง เรามียาใหม่ ๆ มากขึ้น แต่สุขภาพกลับแย่ลง เรามีความรักน้อยลง แต่มีความเกลียดมากขึ้น เราไปถึงโลกพระจันทร์มาแล้ว แต่เรากลับพบว่าแค่การข้ามถนนไปทักทายเพื่อนบ้านกลับยากเย็น… เราพิชิตห้วงอวกาศมาแล้ว แต่แค่ห้วงในหัวใจกลับไม่อาจสัมผัสถึง เรามีรายได้สูงขึ้น แต่ศีลธรรมกลับตกต่ำลง เรามีอาหารดี ๆ มากขึ้นแต่สุขภาพแย่ลง ทุกวันนี้ทุกบ้านมีคนหารายได้ได้ถึง 2 คน แต่การหย่าร้างกลับเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น……จากนี้ไป……ขอให้พวกเรา อย่าเก็บของดี ๆ ไว้โดยอ้างว่าเพื่อโอกาสพิเศษ เพราะทุกวันที่เรายังมีชีวิตอยู่คือ ……โอกาสที่พิเศษสุด……แล้ว


28 ข้อคิด และสิ่งที่เรามองข้าม
1.อย่าทำลายความหวังของใคร เพราะทั้งชีวิตเขาอาจเหลืออยู่แค่นั้นก็ได้

2.เมื่อมีคนเล่าว่าเขามีส่วนร่วมในเหตุการณ์สำคัญ จง เป็นผู้ฟังที่ดีอย่าไปคุยทับ อย่าไปขัดคอ

3.จงตั้งใจฟังให้ดี โอกาสทองบางทีมันก็มาถึงแบบแว่วๆเท่านั้น

4.หยุดอ่านคำอธิบายสถานที่ทางประวัติศาสตร์ตามทางบ้างเพราะมีอะไรดีๆบางอย่างซ่อนอยู่

5.จะคิดทำการใดจงคิดการให้ใหญ่เข้าไว้ แต่ให้เติมความสนุกสนานลงไปด้วยเล็กน้อย

6.หัดทำสิ่งดีๆให้กับผู้อื่นจนเป็นนิสัยโดยไม่จำเป็นต้องให้เขารับรู้

7.จงจำไว้ว่า ข่าวทุกชนิดล้วนถูกบิดเบือนมาแล้วทั้งนั้น

8.เวลาเล่นเกมกับเด็กๆก็ปล่อยให้เด็กชนะไปเถอะ

9.ใครจะวิจารณ์เราอย่างไรก็ตาม อย่าเสียเวลาไปโต้ตอบ แต่ให้ปรับปรุงตนเอง

10.จงให้โอกาสผู้อื่นเป็นครั้งที่ “สอง” แต่อย่าให้ถึง “สาม”

11.อย่าให้วิจารณ์นายจ้าง ถ้าทำงานไม่มีความสุขก็ลาออกดีกว่า

12.ทำตัวให้สบาย อย่าคิดมาก ถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายแล้วอะไรๆ มันก็ไม่สำคัญอย่างที่คิดไว้แต่แรกหรอก

13.ใช้เวลาให้น้อยๆในการคิดว่า”ใครผิด” แต่ใช้เวลาให้มากในการคิดว่า”อะไร” เป็นสิ่งที่ผิด

14.จงจำไว้ว่าเราไม่ได้ต่อสู้กับ ” คนโหดร้าย ” แต่กำลังสู้กับ ” ความโหดร้าย ” ในตัวคน

15.โปรดคิด คิด คิด และคิดให้รอบคอบ ก่อนที่จะให้เพื่อนเรามีภาระในการเก็บรักษาความลับ

16.ยอมที่จะแพ้ในสงครามย่อยๆ เมื่อการแพ้นั้นจะทำให้เราชนะในสงครามใหญ่

17.เป็นคนถ่อมตน จำไว้ว่าคนอื่นทำอะไรต่อมิอะไรสำเร็จกันมามากมายก่อนเราเกิดเสียอีก

18.ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายสักเพียงใด จงสุขุมเยือกเย็นเข้าไว้

19.มีมารยาทและอดทนกับคนที่สูงวัยกว่าเสมอ

20.อย่าให้ปัญหาของเราทำให้คนอื่นต้องเบื่อหน่าย ถ้ามีใครมาถามว่า ” เป็นไง?” ตอบไปเลยว่า ” สบายมาก”

21.อย่าพูดว่าเรามีเวลาไม่พอ เพราะทุกคนในโลกก็มีเวลาวันละ 24 ชม.เท่ากัน

22.จงเป็นคนใจกล้าและเด็ดเดี่ยว เมื่อเหลียวไปดูอดีต เราจะเสียใจในสิ่งที่ควรทำแล้วไม่ได้ทำ มากกว่าเสียใจในสิ่งที่ทำไปแล้ว

23.ประเมินตนเองด้วยมาตรฐานตนเอง ไม่ใช่มาตรฐานคนอื่น

24.จริงจัง และเคี่ยวเข็ญต่อตนเองให้มาก แต่จงอ่อนโยนและผ่อนปรนต่อผู้อื่น

25.ให้ความนับถือแก่ทุกคนที่ทำงานเพื่อเลี้ยงชีพโดยสุจริต ไม่ว่างานนั้นจะดูแย่แค่ไหนในสายตาคนรอบข้าง

26.คำนึงถึงการมีชีวิตให้ ” กว้างขวาง ” มากกว่าการมีชีวิตเพื่อ ” ยืนยาว ”

27.(บางครั้ง) อย่าไปหวังเลยว่าในชีวิตนี้จะมีความยุติธรรม

28.ว่ากันว่ามี 3 สิ่งที่ไม่ควรถูกทำให้แตกหรือทำลาย ได้แก่ ของเล่นเด็ก คำสัญญาและจิตใจของใครๆ ก็ตาม

จงแสวงหา การหยั่งรู้ จงนั่งตรงระเบียงบ้านเพื่อชื่นชมกับการมีชีวิตอยู่ โดยไม่ใส่ใจกับความ…..อยาก… จงใช้เวลากับครอบครัว เพื่อนฝูงคนที่รักให้มากขึ้น……. กินอาหารให้อร่อย ไปเที่ยวในที่ที่อยากจะไป ชีวิตคือโซ่ห่วงของนาทีแห่งความสุขไม่ใช่เพียงแค่การอยู่ให้รอด เอาแก้วเจียระไนที่มีอยู่มาใช้เสียน้ำหอมดี ๆ ที่ชอบ จงหยิบมาใช้เมื่ออยากจะใช้ เอาคำพูดที่ว่า…….สักวันหนึ่ง……..ออกไปเสียจากพจนานุกรม บอกคนที่เรารักทุกคนว่าเรารักพวกเขาเหล่านั้นแค่ไหน อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง ที่จะทำอะไรก็ตามที่ทำให้เรามีความสุขเพิ่มขึ้น ทุกวัน ทุกชั่วโมง ทุกนาที มีความหมาย เราไม่รู้เลยว่าเมื่อไรมันจะสิ้นสุดลง หัดคิดแต่ด้านบวก ***แล้วจะรู้ว่ามีแต่สิ่งที่เป็นไปได้*** หัดฝัน ***แล้วจะรู้ว่าโลกนี้น่าอยู่*** หัดพูดแต่ด้านบวก ***แล้วจะรู้ว่ามีคนอีกมากมายที่รักเรา*** หัดยิ้ม ***แล้วจะรู้ว่าเราคือคนที่น่ารัก*** หัดฟาดฟันกับอุปสรรค ***แล้วจะรู้ว่าเราคือคนที่เข้มแข็ง*** ลองทน ***แล้วจะรู้ว่าเรามีความอดทนยิ่งกว่าใคร*** ลองออกกำลังกายทุกวัน ***แล้วจะรู้ว่าเราคือมนุษย์เจ้าพลังคนหนึ่ง*** ลองคิดเอาชนะ ***แล้วจะรู้ว่าเราสามารถเอาชนะ ตัวเองได้ไม่ยาก*** ลองคิดให้ ***แล้วจะรู้ว่าเรามีความสามารถอย่างน่าแปลกใจ*** อย่านำความผิดหวังของเมื่อวานมาบดบังความฝันในวันพรุ่งนี้
อ่านบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Spice up your English with Laura... # 10 – "Fan Pan Tae ... Spice up your English with Laura..."


แหม วันหยุดติดต่อกันหลาย ๆ วันเนี่ย พาลขี้เกียจทำงานไปซะดื้อ ๆ แต่พอนึกถึงคุณผู้อ่าน Spice up your English with Laura ... แล้วก็ทำให้มีแรงฮึดขึ้นมา ซึ่งตอนนี้เป็นตอนที่ 10 แล้ว เหลือเชื่อค่ะ อย่ากระนั้นเลยถือเอาฤกษ์ดีตอนที่ 10 คืนกำไรให้คุณผู้อ่านที่กรุณาติดตามอ่าน เขียนมาถาม เขียนมาแซวกันเรื่อยมา แต่คุณ ๆ คะของฟรีไม่มีในโลกใบนี้ จะให้รางวัลเปล่า ๆ ก็จะเป็นการดูถูกกันเกินไป ... รับไม่ได้
ดังนั้น เพื่อเป็นการค้นหาแฟนพันธ์แท้ของ Spice up your English with Laura ... ขอใช้ชื่อตอนว่า Fan Pan Tae ... Spice up your English with Laura ... โดยให้คุณผู้อ่านทำ Quiz ทั้ง 12 ข้อจากเนื้อหาทั้ง 9 ตอนที่ผ่านมา โดยมีกติกาง่ายแสนง่ายผู้ที่ทำคะแนนสูงสุด 3 คนจะได้รับรางวัล ถ้ามีมากกว่า 3 คนจะตัดสินโดยการจับฉลากตามหลักการที่ว่า เก่งอย่างเดียวไม่ได้ต้องเฮงด้วย และเราจะติดตามหาแฟนพันธ์แท้ของเราอย่างนี้ไปทุก ๆ 10 ตอน จากนั้นส่งไปร่วมรายการแฟนพันธ์แท้ของเสี่ยตาปัญญาเพื่อเข้าร่วมชิงสุดยอดแฟนพันธ์แท้ประจำปี 2554 ว่ากันไปขนาดนั้น ชักจะฝันไปกันใหญ่ เอาเป็นว่าเชิญพบกับ Quiz ทั้ง 9 ข้อดังต่อไปนี้

Quiz 1: I didn't do anything over the weekend. I was .......... (boring / bored / bore)

Quiz 2: I .......... to work every day. (am driving / drive / drive a car)

Quiz 3: Did you enjoy that movie? I thought it was ............ (very fun / very funny / a lot of funny)

Quiz 4: I realized then that I had been ..............., but it was too late. (treated / tricked / traced)

Quiz 5: Pichayapa likes .............. in the shower. (sing a song / to sing / singing a song)

Quiz 6: We compare the first report ............. the second. (with / between / about)

Quiz 7: Eating at home is ............. than eating at a restaurant. So .................. (better / best), (go home is better / let's go home)

Quiz 8: She was ............. on her wedding day, she forgot who her groom was. (exciting / excited / nervous)

Quiz 9: Hello, Somchai. ................ your weekend ? (How about / How was / What about)

ช้าก่อน ... การตอบ Quiz ข้างต้นได้ อาจไม่หมายความว่าคุณเป็นแฟนพันธ์แท้ของ Spice up your English with Laura ... Quiz ทั้ง 3 ข้อต่อไปนี้ จึงเป็น quiz ชี้ชะตาว่าใครคือแฟนพันธ์แท้ของเราตัวจริง

Quiz 10: Spice up your English with Laura ... ฉบับแรกเกิดขึ้นเมื่อไร และชื่อตอนว่าอะไร

Quiz 11: ตอนที่มีการสอนออกเสียง TH เป็นตอนที่เท่าไร และชื่อตอนว่าอะไร

Quiz 12: จากทั้งหมด 9 ตอน ตอนที่เท่าไรที่มีการตอบปัญหาภาษาคาใจและตอบเกี่ยวเรื่องอะไร

ช่วยตอบมากันหน่อยนะคะ อิฉันมีของเด็ดของดีอยากมอบให้จากใจจริง ๆ ค่ะ ท้ายนี้ ถ้าใครมีคำถามอะไรก็สามารถส่งมาได้นะคะ รอตอบอยู่ค่ะ สวัสดีค่ะ
อ่านบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ผิดคือครู... ยอมรับและเรียนรู้จากมัน


"ผิด" คำนี้ทุกคนรู้จักมันดี..แต่ไม่มีใครชอบมันนัก ไม่มีใครยินดีที่จะกล่าวว่าตนเองได้ ทำผิดเป็นผู้ผิด และยอมรับผิด ธรรมชาติของมนุษย์โดยทั่วไปนั้นมีความรักตนเอง และมักจะมองตนเองว่าเป็นผู้ที่ถูกต้อง เสมอและก็ด้วยธรรมชาติของมนุษย์เองอีกเช่นกันที่มักจะมองหรือแสวงหาสิ่งต่าง ๆ จากภายนอกตัว อันรวมไปถึงการมองการค้นหา การขุดคุ้ยในความผิดของผู้อื่น

 มนุษย์จะสามารถพบความสุขได้มากขึ้น หากว่าพวกเขาทั้งหลายนั้นได้เบนความสนใจจากภายนอกกลับเข้ามาดูตัวเอง ศึกษาให้เข้าใจภาวะจิตใจและความต้องการแห่งตนเอง ปรับปรุงแก้ไขสิ่งต่าง ๆ ที่มันไม่ดี ไม่ถูกต้อง ให้มันดีมันถูกต้องเสีย ยอมรับอย่างผู้กล้าหาญว่าตนเองนั้น ก็มีความผิดมีส่วนที่ไม่ดีอยู่ และความผิดทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับผู้อื่นนั้นตนเองก็มีส่วนเป็นผู้กระทำ

ถ้าเราจะสังเกตุกันให้ดีแล้ว เราก็จะพบว่าในทุกยุคทุกสมัยที่ผ่านมาจวบจนปัจจุบัน ส่วนมากแล้วจะมีแต่คนที่บอกตัวเองเป็นผู้ถูกและชอบวิจารณ์ว่าบุคคลอื่นทำผิด คนพวกนี้มักจะเป็นผู้รู้ไปเสียทุกอย่างในความผิดของคนอื่น แต่ในเรื่องตัวเองแล้วกลับไม่กล้ารู้ไม่กล้าดู ไม่กล้าวิจารณ์และรวมทั้งไม่พอใจ ถ้าหากมีใครสักคนมาวิจารณ์ตน


เราลองมาดูถึงปัญหาที่เป็นโรคระบาดหรือแฟชั่นของสังคมกันสักเรื่องหนึ่ง นั้นก็คือปัญหาการหย่าร้าง ปัญหาความไม่ลงรอยกัน ระหว่างสามีภรรยาไม่ว่าจะเป็นสามีหรือภรรยาต่างฝ่ายต่างก็โทษกันว่า..เหตุที่ต้องหย่าร้างอยู่ด้วยกันไม่เป็นสุข หรือที่ตนต้องประพฤติตนไม่ถูกต้องนั้นก็เป็นเพราะฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้ผิด เป็นผู้บีบบังคับตนให้ต้องทำไป ลักษณะเช่นนี้เป็นลักษณะของคนที่เห็นแก่ตนเองว่าเป็นผู้ถูกเสมอ ถ้าเราพิจารณากันให้ดีแล้ว เราก็จะรู้ได้แน่ชัดว่าคนเราจะทำผิดหรือถูกนั้น มันจะมีใครมาบังคับได้ หากไม่ใช่ของตนเองเป็นผู้บงการคำพูดหรือการกระทำของคนอื่นจะมามีอิทธิพลเหนือจิตใจของเราได้อย่างไร หากว่าเราไม่ไปสนใจและเก็บมันมาคิด เรื่องที่คนอื่นเขาพูด เขาทำ มันเป็นเรื่องของเขา เขามีมันสมอง มีจิตใจและมีปากเป็นของตัวเอง เราจะไปห้ามไม่ให้เขาพูดเขาทำหรือคิดนั้นมันทำไม่ได้ แม้แต่ตัวเองยังบังคับเอาไว้ไม่ได้ แล้วยิ่งเป็นคนอื่นด้วยเราจะไปทำได้อย่างไร สิ่งที่ทำได้ก็คือตัวเรา เราต้องเริ่มจากตัวเราเองก่อน หากเราชนะตัวเองสามารถบังคับตัวเองได้ เราก็จะชนะผู้อื่นได้ และสามารถบังคับผู้อื่นได้เช่นกัน เหตุที่เราไม่พอใจ พยายามดิ้นรนเพื่อหาทางออกนั้น มันเป็นไปเพราะคนอื่นหรือก็ไม่ใช่ เราเองต่างหากที่เป็นผู้ทำและเมื่อมันผิดพลาดแล้ว ทำไม..ทำไมเราจึงไม่ยอมรับว่ามันผิด ทำไมต้องไปโทษสิ่งอื่นภายนอก โทษคนอื่น หรือโทษฝ่ายตรงข้าม เวลาที่เราทำ ในสิ่งนั้น ๆ ...มีใครสักคนไหม..ที่เขาร่วมรู้เห็นหรือร่วมลงมือทำด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้เราจะโทษใครกันดี ถ้าไม่โทษตัวเอง สามีภรรยาบางคู่อ้างว่าเหตุที่ต้องมีเรื่องบาดหมางกันอยู่ด้วยกันไม่ได้นั้น เป็นเพราะตนเองทนนิสัยหรือความประพฤติอันไม่ดีของฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ ถ้ารู้ว่าจะเป็นอย่างนี้จะไม่ยอมแต่งงานด้วย ฟังดูก็น่าเห็นใจจริง ๆ แต่เวลาตอนที่รักกัน จะแต่งงานกันนั้น ฉันคิดว่าคงไม่มีใครสักคนเป็นแน่ที่จะเลือกแต่งงานกับคนไม่ดี ทุกคนต่างเลือกเฟ้น สรรหากันแล้วทั้งนั้นว่า แล้วอยู่ ๆ ก็มากล่าวโทษเอาง่าย ๆ ว่าเป็นคนไม่ดี ไม่น่าอยูด้วยอย่างนี้เธอว่าใครผิด เวลาที่รักกันก็รักกันเอง เลือกรักเขาเอง ดูแล้วดูอีกว่าดี จึงได้ยอมมอบกายมอบชีวิตให้ นี้แหละที่เขาเรียกว่า "ความรักทำให้คนตาบอด" เมื่อยามที่รักกันก็พยายามมองข้ามความผิดเล็ก ๆ น้อยของฝ่ายตรงข้ามไป ทำความคิดว่ามันเป็นเรื่องเล้กน้อยที่คงแก้ไขกันได้ พยายามตบแต่งปิดบังมิให้เห็นความไม่ดีของตน สวมหน้ากากเข้าใส่กัน ทำไม..ทำไมถึงไม่คิดกันบ้างว่าการแต่งงานนั้นเป็นการที่ชีวิตสองชีวิตจะต้องมาอยู่ร่วมกัน ทำทุกอย่างร่วมกัน ไม่ใช่เป็นเวลาแห่งการแก้ไขความบกพร่องหรือความประพฤติของกันและกัน แต่มันควรที่จะเป็นเวลาแห่งการสร้าง สรรค์และแสวงหาความสุขอันมั่นคงร่วมกัน

นอกจากเรื่องที่จะโทษกันเองระหว่างสามีภรรยาแล้ว บางรายก็ยังโทษบุคคลอื่นหรือเกรงกลัวบุคคลอื่นอีกด้วย กลัวการนินทาของชาวบ้าน หรือไม่ก็พลอยเป็นไปตามลมปากของชาวบ้าน ซึ่งอันที่จริงแล้วเขาน่าจะรู้ได้ว่า ลมปากของคนนั้นไม่เคยช่วยให้ใครได้ดี ส่วนมากชี้เก่ง แนะเก่ง พูดได้ดีแต่ทำไม่ได้ เวลาถึงทีของตัวเองเข้าบ้างก็ไม่ต่างกัน ต้องวิ่งร้องขอให้คนอื่นช่วย ใครล่ะที่จะดีไปกว่าตนเอง มันต้องยึดหลักตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เวลาจะได้ดีก็ได้ดีที่ตัวเอง เวลาเมื่อจะเสียก็เสียที่ตัวเอง มีใครบ้างที่จะมารับผิดชอบร่วมด้วย ดังนั้นเธอต้องจำเอาไว้ว่า "จะทุกข์หรือสุขนั้นอยู่ที่ใจและการกระทำของตนเอง"

ยามเมื่อเราผิดก็จะยอมรับผิดด้วยความกล้าหาญ อย่างน้อยที่สุดก็จงยอมรับผิดกับตัวเอง และหาทางปรับปรุงแก้ไขความผิดนั้นแล้ว ความถูกต้องก็จะกลับคืนมา แต่ถ้าหากความผิดนั้นมันไม่สามารถแก้ไขได้โดยง่าย และเราต้องตกเป็นผู้ที่ต้องทนอยู่กับความผิดที่เราเองเป็นผู้ทำแล้ว เราก็ต้องถือหลักที่ว่า "เมื่อเรามีหรือทำในสิ่งที่ตนปรารถนาไม่ได้ เราก็ต้องพอใจในสิ่งที่เรามีหรือได้ทำไปแล้ว" การที่เราจะต้องอยู่กับผลแห่งความผิดนั้น เราต้องรู้จักอยู่แบบแยบคายคือรู้จักปรับปรุงทั้งภาวะจิตใจแห่งตนเองและภาวะแวดล้อมต่าง ๆ ให้เหมาะสมพอที่เราจะอยู่กับมันไปได้อย่างไม่เป็นทุกข์มากนัก และสิ่งที่ควรจดจำก็คือความผิดที่เราได้ทำมาแล้วนั้นจะต้องเป็นครูแก่เรา และเราจะไม่ทำความผิดเช่นนั้นซ้ำอีกเป็นครั้งที่สอง

จิตใจเป็นเรื่องที่สำคัญมาก จะดีจะชั่วก็อยู่ที่ใจ จงอย่าไปโทษคนอื่นเพราะจิตใจเป็นของตัวเธอเอง ใครจะมาบีบบังคับนั้นไม่ได้ ที่กล่าวมานี้ก็เป็นเพียงตัวอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งความจริงยังมีอีกมาก แต่รวมความแล้วก็คือ มนุษย์มักจะไม่ยอมรับว่าตนเองผิด และหากว่าเธอมีลักษณะเช่นที่ว่านี้อยู่ก็จะรีบเปลี่ยนแปลงแก้ไขเสีย โดยยึดหลักการค่อยเป็นค่อยไป หมั่นฝึกจิตใจตัวเองให้ยอมรับในความบกพร่องของตนเอง มองหาความดีของบุคคลอื่นและมองข้ามความไม่ดีของบุคคลอื่นไปเสีย นำเอาความดีที่เราค้นพบเข้ามาปรับปรุงตัวเอง ถ้าเธอทำได้เช่นนี้เธอก็คงจะเป็นผู้หนึ่งที่เกิดมาแล้วได้พบความสุขความสงบ และไม่ต้องตกเป็นผู้ที่ใช้คำถามว่า "ใครผิด"

ที่มา : ธรรมและปรัชญา โดย ท่านปรมาจารย์วรธนัท อัศกุลโกวิท 1 กันยายน 2525
อ่านบทความทั้งหมด