วันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

อานิสงส์ 10 ข้อของการไม่กินเนื้อ

By พี่ปัญญา




อานิสงส์ 10 ข้อของการไม่กินเนื้อสัตว์ อานิสงส์ขั้นต้นของการไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่เบียดเบียนสัตว์ คือจะทำให้ชีวิตของเราไม่ต้องตายด้วยปืนผาหน้าไม้ คมหอกคมดาบ ไม่ตายด้วยเหตุการณ์อันน่าสยดสยองหรือภัยพิบัติต่าง ๆ ทั้งยังสามารถตัดกรรมในเรื่องการฆ่า และยุติการจองเวรกับสรรพสัตว์ทั้งหลายอีกด้วย องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติศีลข้อ ปาณาติบาต คือ ห้ามการฆ่าเป็นข้อที่สำคัญอันดับหนึ่งและในพระสูตรของพุทธศาสนามหายาน ยังได้กล่าวถึงพระพุทธวจนะ ว่าด้วยเรื่อง อานิสงส์ ๑๐ ข้อของการไม่กินเนื้อสัตว์ ในคราวที่ได้เสด็จไปเทศนาโปรดบรรดาเหล่าพญานาคราชไว้ด้วยดังนี้

๑. เป็นที่รักใคร่ของบรรดาเทพ พรหม ตลอดจนมนุษย์ และสัตว์ทั้งหลาย
 บุคคลผู้มีจิตใจโอบอ้อมอารี ไม่เบียดเบียนผู้ใด มีกิริยาสำรวม จรรยามารยาทเรียบร้อย ไม่กล่าวคำกระโชก ด่าทอกับใคร บุคคลเช่นนี้เมื่อก้าวไปสู่ที่ใดย่อมเป็นที่รักใคร่ มีแต่คนอยากเข้ามาใกล้ชิด ในทางตรงกันข้าม หากเป็นคนที่สะสมไว้แต่อารมณ์ร้าย ๆ แววตาเต็มไปด้วยกลิ่นไอแห่งการฆ่า ทุกคนก็อยากจะวิ่งหนีไปให้ไกล ถ้าภายในจิตใจเราไม่คิดจะไปทำลายหรือเบียดเบียนชีวิตของผู้อื่น เราจึงไม่เป็นที่หวาดกลัวต่อผู้ใด แต่จะเป็นที่รักของสัตว์ต่าง ๆ แม้สัตว์ดุร้ายก็ไม่ทำอันตราย 

๒. จิตอันเป็นมหาเมตตาย่อมบังเกิดขึ้น
คนที่มีเมตตากรุณาอยู่ในใจ อย่าว่าแต่เห็นสัตว์ทั้งหลายต้องตายไปต่อหน้าเลย เพียงแต่เห็นสัตว์ต้องประสบเคราะห์กรรมถูกเฆี่ยนตี ก็ย่อมจะไม่สบายใจ นอกจากจะไม่เข่นฆ่าทำลายชีวิตผู้อื่นแล้ว แม้แต่จะเอ่ยวาจาด่าทอให้ระคายหูก็จะไม่กระทำโดยเด็ดขาด เมื่อจิตเมตตาค่อย ๆ ถูกสะสมเพิ่มพูนจนเปี่ยมล้น ก็จะบังเกิดเป็นมหาเมตตาขึ้นในใจ และมหาเมตตานี้จะเพิ่มพลังจิตขึ้นในตัว นับเป็นเหตุปัจจัยสำคัญอันจะนำพาให้ผู้บำเพ็ญสามารถสำเร็จธรรมบรรลุขั้น พระโพธิสัตว์

 ๓. สามารถตัดขาดความอาฆาต ดับอารมณ์โหดร้ายเคียดแค้นได้
 นอกเหนือจากความเห็นแก่ตัวเพื่อปากท้องตัวเองอันเป็นเหตุให้เกิดการเข่นฆ่า ทำลายชีวิตผู้อื่น และสาเหตุใหญ่ของการทำร้ายซึ่งกันและกัน คือ ความโกรธแค้น อาฆาต พยาบาทจองเวรต่อกัน ซึ่งนับวันก็จะกลายเป็นคนโหดร้ายเห็นความตายของผู้อื่นเป็นเรื่องเล็กน้อย ผู้ปฏิบัติธรรมจะต้องตัดอารมณ์เหล่านี้ให้หมดสิ้น และไม่เพียงแต่จะรักชีวิตตนเองเท่านั้น แต่ยังจะต้องรักและทะนุถนอมชีวิตผู้อื่นอีกด้วย หากชาตินี้เรายังฆ่ากินเลือดเนื้อเขา ความแค้นพยาบาทจะฝังอยู่ในกมลสันดาน และจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรติดตามทวงหนี้ชีวิตทุกชาติไป แล้วเราจะปฏิบัติธรรมให้หลุดพ้นได้อย่างไร? 

๔. ปราศจากโรคภัยร้ายแรงมาเบียดเบียนร่างกาย
ความเจ็บไข้ได้ป่วย ซึ่งมีสาเหตุมาจากการผันแปรของดินฟ้าอากาศ หรืออาหารการกินที่ผิดธรรมชาติ ซึ่งอาจรักษาให้หายได้ด้วยยา แต่ทวายาไม่สามารถรักษาโรคกรรมได้ โรคกรรมอันเกิดมาจากการเคยสร้างอกุศลกรรมร่วมกันมาในอดีต การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ร่วมเสพเนื้อผู้อื่น ร่วมส่งเสริมผู้อื่นให้ฆ่าให้กินให้เสพ เป็นกรรมร่วมกัน จึงส่งผลให้คนเหล่านั้นต้องมาตายพร้อมกันในชาติปัจจุบัน เช่นเป็นโรคระบาดในคราวเดียวกันมาก ๆ ประสพภัยพิบัติ น้ำท่วม แผ่นดินไหวตายหมู่ เป็นต้น หากท่านอยากเป็นผู้ที่มีสุขภาพร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียน จงงดเว้นบริโภคเนื้อสัตว์ และหมั่นสร้างบุญสร้างกุศล ปลดปล่อยช่วยเหลือชีวิตสัตว์ทั้งหลายเป็นประจำ

 ๕. อายุมั่นขวัญยืน
 ทุกชีวิตที่เกิดมาบนโลกนี้ ทั้งคนและสัตว์ ต่างล้วนอยากให้ตนมีอายุยืนยาว แต่ความมีอายุยืนยาวนั้น มิใช่ขอกันได้ ถ้าหากในอดีตท่านเป็นผู้ที่ชื่นชอบนิยมยินดีในการบริโภคเนื้อสัตว์ ตลอดจนฆ่าและส่งเสริมให้ผู้อื่นฆ่าสัตว์ตัดชีวิต การที่จะหวังให้ตนมีชีวิตที่ราบรื่นเป็นสุข และอายุยืนยาวนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้ บุคคลผู้ที่มีจิตเมตตา ชอบช่วยเหลือชีวิตสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ใหญ่หรือสัตว์เล็ก ๆ ก็ตาม อานิสงส์ผลบุญจะช่วยต่อชีวิตทำให้มีอายุยืนยาว

 ๖. ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากวัชรเทพทั้งแปด 
วัชรเทพทั้ง ๘ พระองค์ คือ เทพเจ้าผู้พิทักษ์ธรรมในพระพุทธศาสนา เมื่อบุคคลใดมีจิตมุ่งมั่นที่จะสร้างคุณงามความดี รักษาศีลกินเจ วัชรเทพทั้ง ๘ พระองค์ก็จะมีบัญชาให้เหล่าเทพบริวารทั้งหลายลงมาพิทักษ์รักษาปกป้องคุ้มครองบุคคลนั้น ๆ มิให้ภูติผีปีศาจ ยักษ์มาร อสูรร้ายมารังควาน แต่หากเมื่อใดบุคคลนั้นมีจิตใจรวนเร ไม่มั่นคงในการปฏิบัติธรรม บรรดาทวยเทพก็จะพากันผละหนีไป ซึ่งเหล่ามารร้ายจะเข้าจู่โจมทำอันตรายทันที แม้ตาเนื้อของปุถุชนคนธรรมดา จะมองไม่เห็นบรรดาเทพพรหมที่เฝ้าคุ้มครอง แต่เมื่อถึงคราววิกฤตตกอยู่ในที่คับขัน เทพพรหมทั้งหลายเหล่านั้นก็จะพลิกผันเหตุการณ์ให้แคล้วคลาดรอดพ้นจากทุกข์ภัยทั้งปวงได้ในที่สุด

๗. ยามหลับนิมิตรเห็นแต่สิ่งที่ดีงามเป็นศิริมงคล
โดยปกติคนทั่ว ๆ ไป หากมีเรื่องราวรบกวนจิตใจให้วิตกกังวลว้าวุ่น เมื่อถึงยามพักผ่อนแม้ว่าร่างกายจะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าสักปานใด ก็ไม่สามารถจะหลับลงได้หรือหลับ ๆ ตื่น ๆ และท้ายที่สุดเคลิ้มหลับไป ก็จะฝันร้ายตลอดคืน มีตัวอย่างมากมายของผู้ที่ดำเนินชีวิตในแต่ละวัน เอาแต่สร้างกรรมชั่ว ประพฤติมิชอบ อาหารแต่ละมื้อจะต้องเพียบพร้อมไปด้วยเนื้อสัตว์ เมื่อยามหลับก็จะฝันเห็นแต่สิ่งที่เลวร้าย น่าเกลียดน่ากลัว แต่เมื่อได้ศึกษาและตั้งใจปฏิบัติธรรม งดบริโภคเลือดเนื้อผู้อื่น ก็มักจะมีโอกาสนิมิตรฝันเห็นแต่สิ่งที่ดีงาม เห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นนิมิตรที่ดีเป็นศิริมงคลแก่ตนเอง จะหลับและตื่นก็เป็นสุข

๘. ย่อมระงับการจองเวร
สลายความอาฆาตแค้นซึ่งกันและกันได้ คัมภีร์แห่งสัจธรรมได้กล่าวว่าสัตว์ทั้งหลายกับคนนั้นเป็นหนึ่งเดียวกัน มิได้แตกต่างกัน แต่เป็นเพราะความหลงผิดไม่รู้เท่าทัน จึงยึดรูปลักษณ์ภายนอกมาทำให้เป็นความแตกต่างว่านั่นเป็นสัตว์ นี่เป็นคน ฯลฯ ผู้ปฏิบัติธรรมมีญาณปัญญา เห็นแจ้งในธรรมต้องปราศจากจิตที่เคืองแค้นอาฆาตผู้อื่น และมีจิตเมตตากรุณา คิดสงสารผู้อื่นที่หลงประพฤติผิด ทั้งพยายามหาวิธีฉุดช่วยให้เขากลับสู่เส้นทางแห่งความถูกต้องดีงาม ๙. สามารถดำรงอยู่ในกระแสแห่งพระนิพพาน ไม่พลัดหลงตกลงสู่อบายภูมิ ตามกฎแห่งกรรม ผู้ชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิตหรือชอบเสพเลือดเนื้อสัตว์ทั้งหลาย เมื่อตายไปวิญญาณจะต้องร่วงลงสู่อบายภูมิทั้ง ๓ ได้แก่ 1. นรกภูมิ 10 ขุม ต้องรับทุกข์ทรมานแสนสาหัส 2. เปรตภูมิ จะได้รับทุกข์ทรมานอยู่กับความหิวโหย 3. เดรัจฉานภูมิ เมื่อวิญญาณใช้หนี้บาปกรรมพ้นจากนรกภูมิและเปรตภูมิแล้วจะต้องไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ถูกเขาฆ่าตายชาติแล้วชาติเล่า จนกว่าจะครบกำหนดตามจำนวนที่ตนได้เคยทำลายชีวิตผู้อื่น 

๑๐. ทันทีที่ละสังขารจากโลกนี้ จิตวิญญาณจะมุ่งสู่สุคติภพ
 ในมหายานสูตร มีเรื่องเล่าถึงวิบากกรรมของผู้ที่หลงผิดชอบเข่นฆ่าสัตว์และนำไปสังเวยฟ้าดินถวายต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นการกระทำที่เป็นบาปอย่างมหันต์ อกุศลกรรมนั้นทำให้ต้องได้รับโทษโดยถูกสุนัขปีศาจรุมกัดกินเนื้อ ทุกข์ทรมานแสนสาหัส นับครั้งไม่ถ้วน 

สาธุชนผู้ที่งดเว้นเนื้อสัตว์ ปลดปล่อยชีวิตสัตว์ให้รอดตายด้วยการถือศีลกินเจ ย่อมจะห่างไกลจากทุคติภพไม่ต้องไปรับโทษทัณฑ์อันน่าสะพรึงกลัว เมื่อจิตวิญญาณจะละสังขาร ก็อาศัยเหตุปัจจัยแห่งกุศลกรรมความดี ดลบันดาลให้เหล่าทวยเทพเทวารอรับขึ้นเบื้องบน 

ฉะนั้นการศึกษาและปฏิบัติธรรมให้ได้สำเร็จลุล่วงผู้บำเพ็ญธรรม จักต้องละเว้นจากการเสพเลือดเนื้อชีวิตสัตว์โดยสิ้นเชิง พร้อมกับอนุเคราะห์ช่วยเหลือสรรพสัตว์ที่ตกทุกข์ได้ยาก เพื่อให้หนทางการบำเพ็ญสู่ความหลุดพ้น ไม่ถูกขัดขวางจากเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย

 ที่มา- http://thai.mindcyber.com
อ่านบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

วิธีใช้ชีวิตพนักงานอย่างมีความสุข (How to be a wellness employee?)

BY พี่นครา

“ธรรมชาติคัดสรร ผู้เข้มแข็งเท่านั้นที่ดำรงอยู่ได้” กฎเกณฑ์ธรรมชาติเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ รวมทั้งสังคมมนุษย์ด้วย ถ้าเราไม่ สามารถปรับตัวให้ทันยุคทันสมัย วิ่งตามไม่ทันการแข่งขันที่ดุเดือดรุนแรง ก็ต้องตกขบวน ไป ธุรกิจเป็นเช่นนี้พนักงานก็เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจหรือพนักงาน บนเส้นทางของความอยู่รอดและความเจริญ ก้าวหน้า ย่อมต้องพบวิกฤต นา ๆ ชนิดเสมอ ผู้ที่สามารถฝ่าฟันหลดพ้นไปได้ ก็จะเป็นผู้ ประสบความสำเร็จ ไม่ก็ถูกวิกฤตโหมกระหน่ำจนตั้งตัวไม่ติด ต้องพบกับจุดจบที่น่าเศร้า ความสำเร็จใด ๆ ก็ตาม มักต้องฟันฝ่าอุปสรรคนับครั้งไม่ถ้วน

“วิกฤต” คืออะไร สำหรับพนักงานแล้วอาจพูดได้ว่ามีอยู่ทุกที่ ทุกเวลา เช่น ไม่ได้ ขึ้นเงินเดือน ไม่มีความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน หัวหน้าไม่เห็นความสำคัญ มีเรื่อง ขัดแย้งกับผู้ร่วมงาน ฯลฯ วิกฤตมีทั้งหนักและเบา มันเริ่มก่อตัวเมื่อใด ถ้าเราไม่รีบขจัด ปัดเป่า เรื่องเล็กก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ และกลายเป็นอุปสรรคขัดขวางความ เจริญก้าวหน้าในที่สุด วิธีรับมือวิกฤตคือ ต้องระมัดระวังอยู่เสมอ ถ้าพบแต่เนิ่น ๆ ก็ สามารถแก้ไขอย่างทันกาล

1. วิกฤต ที่นำไปสู่ความล้มเหลว คนที่ล้มเหลวบนเวทีชีวิต ส่วนใหญ่เป็นคนประเภทที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้

1.1 มีข้อด้อยทางพันธุกรรม ไม่ว่าสติปัญญา รูปร่างหน้าตาล้วน เป็นสิ่งที่พ่อแม่ถ่ายทอดมาให้เรา ซึ่งไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้แต่เราอย่ามัวโทษพ่อแม่ หรือโทษวาสนาอยู่เลย ทำไมเราไม่ค้นหาจุดเด่นข้อดีในตัวเราบ้าง เพราะสรรพสิ่งในโลก นี้ล้วนมีสองด้านเสมอ สิ่งที่เลวที่สุดก็ยังมีส่วนที่ดี หรือสิ่งที่ดีที่สุดก็ยังมีส่วนที่เลว

1.2 สรรพสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลง แต่ทัศนะของคนเปลี่ยนยาก สภาพแวดล้อมมีอิทธิพลต่อคนเราในวัยเด็กเป็นอย่างมาก ตามทัศนะของเรานั้น เห็นว่า ทำไม่ได้ไปเสียทุกอย่าง หรือเห็นว่า ถึงจะมีอุปสรรคมากเพียงใดก็น่าจะลองดู นี่ก็คือ ปัจจัยตัดสินความสำเร็จของเราในอีกทางหนึ่ง

1.3 ขี้โรค ถ้ามีโรคติดตัวมาแต่เกิด ก็คงช่วยอะไรไม่ได้ แต่ถึงอย่างไร เราก็ต้องดูแลรักษาสุขภาพตัวเองเสียแต่วันนี้ ต้องบำรุงร่างกาย ออกกำลังกาย ใช้ชีวิต อย่างปกติสุข อย่าใช้ร่างกายอย่างหักโหม ต้องถนอมไว้ใช้นาน ๆ เพราะไม่มีหน่วยงานใด ต้องการคนขี้โรค

1.4 ความรู้ไม่เพียงพอ อันนี้ไม่ได้หมายถึง วุฒิการศึกษา แต่ หมายถึงการศึกษาหาความรู้และเทคนิควิธีการจากงานที่ทำ ไม่ใช่รู้จักแต่พูดว่าเรียนมา น้อย จนหมดกำลังใจ ไม่แสวงหาความรู้เพิ่มเติม ซึ่งเป็นข้ออ้างของคนเกียจคร้าน เราต้อง เริ่มจาก ตาดูหูฟัง มือทำ ที่สำคัญต้องมีความตั้งใจจริง

1.5 ไม่มีเป้าหมายแห่งความสำเร็จ หากเราไม่สามารถเป็นผู้ชนะ นั่นย่อมหมายความว่าเราไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน ซึ่งก็อาจเป็นเหตุสำคัญที่ทำให้เราต้อง พ่ายแพ้ หรือ ล้มเหลว

1.6 ไม่พยายามปรับปรุงพัฒนาตนเอง “ผมไม่สามารถแก้ไข ปรับปรุงอะไรในตัวเองได้” มักเป็นคำพูดของคนอายุ 40 ขึ้นแล้ว และเป็นคนที่ไม่เคย สร้างสาระอะไรให้แก่ชีวิตตนเอง ความจริงมิใช่แก้ไขไม่ได้ แต่เป็นเพราะไม่ยอมแก้ไข คอยหลีกหนีการต่อสู้กับตัวเอง คนที่ประสบความสำเร็จมักเป็นคนที่สามารถเอาชนะ ตัวเองได้

1.7 ขาดความทะเยอทะยาน ทุกคนมีเวลาวันละ 24 ชั่วโมง เท่ากัน เราใช้เวลาพัฒนาตนเอง ทุ่มเวลาให้กับความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน คำตอบมี เราคนเดียวเท่านั้นที่รู้

1.8 ไม่มีความอดทน การอดทนคือความทุกข์ แต่ผลที่ได้รับคือ ความสุข หากเราต้องการแต่จะเสพสุข สุดท้ายแม้แต่เงาของความสุขก็มองไม่เห็น มัวแต่ หนีความทุกข์ ความทุกข์จะติดตัวเราตลอดไป ก่อนประสบความสำเร็จต้องมีความอดทน เสมอ

2. วิกฤตที่เกิดขึ้นระหว่างทำงาน

 2.1 ไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง คนที่มีความสามารถย่อมเป็นที่ต้องการ ของทุกแผนกงาน ในขณะที่คนไร้ความสามารถไปอยู่ที่ไหนก็เป็นภาระของเพื่อน ไม่มีใคร อยากจะทำงานด้วย ถ้าเราลองพิจารณาตนเอง ลองเหลียวมองรอบกาย ก็คงช่วยให้เรา เข้าใจสภาวะของตนเองดีขึ้น หากพอใจแค่เหมือนคนทั่วไป ก็คงทำแค่รักษาสถานะที่ เป็นอยู่ แต่ถ้ามีจิตใจฮึกเหิมมีความปรารถนาแรงกล้า ก็ต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติและ วิธีการทำงานใหม่ เพื่อให้คนอื่นยอมรับคุณค่าของตัวเรา ด้วยการเพิ่มความพยายามมาก ขึ้นไปอีก แต่อย่างไรก็ตามถ้าเอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำงานอย่างเดียวก็คงยังไม่พอ เราต้อง รู้จักวิธีนำเสนอตัวเอง ให้เป็นที่ประทับใจของนายด้วยเมื่อมีโอกาส ถ้าเห็นเพื่อนได้เลื่อน ตำแหน่งก่อนเรา เราต้องลองศึกษาดูว่าเขามีข้อดีอะไรบ้าง ขณะเดียวกันต้องพยายาม ปรับปรุงข้อด้อยเสริมสร้างจุดเด่นของตนเอง มิใช่ท้อแท้หมดกำลังใจ ไม่คิดที่จะสู้

2.2 ได้ขึ้นเงินเดือนน้อยกว่าคนอื่น จะมีคนประเภทหนึ่งที่พอรู้ ว่าได้ขึ้นเงินเดือนน้อยกว่าคนอื่น แทนที่จะพิจารณาตัวเองกลับคิดแต่ว่าไม่ได้รับความ เป็นธรรม ก็เลยหมดกำลังใจ ดื่มเหล้า สำมะเลเทเมา คนพวกนี้วิฤตที่เกิดขึ้นจะเป็นวิกฤต ถาวร ไม่มีทางกลายเป็นโอกาสได้ สำหรับคนอีกประเภทหนึ่ง พอรู้ว่าได้เงินเดือนขึ้นน้อยกว่าเพื่อนเขาจะเกิด ทิฐิ มุมานะพยายามทำงานจนเต็มความสามารถ รู้จักกระตุ้นพลังสร้างเสริมกำลังใจให้ฮึด สู้ต่อไป ด้วยความหวังว่าการขึ้นเงินเดือนครั้งต่อไปจะได้มากกว่านี้

2.3 หัวหน้าไม่เห็นความสำคัญ หัวหน้าของเราไม่มีวิสัยทัศน์เลย ดูคนไม่เป็น ถ้าไม่มีเราสักคนก็ไม่รู้เหมือนกันว่า Solvay จะเป็นอย่างไร เสียงพร่ำบ่นใน ลักษณะนี้ มักหลุดออกจากปากพนักงานที่เก่งแต่พูดทำงานไม่ได้เรื่อง หรือพอจับกลุ่มกัน ก็มักจะนินทาว่าร้ายเจ้านาย ธรรมชาติของคนเรามักเข้าข้างตัวเอง เห็นแต่ข้อดีไม่เห็น ข้อด้อยของตัวเอง การให้คนอื่นช่วยพิจารณาเป็นเรื่องจำเป็น อย่ารับแต่คำชมไม่ยอม รับคำวิจารณ์ เราควรฝึกทำใจให้สงบ แล้วลองประเมินตัวเองโดยพยายามคิดอย่างมี เหตุผล ถึงเราจะมีความสามารถสักเพียงใด แต่ความสามารถนั้นขึ้นกับคำพูดของ เราเองเสมอ คนอื่นจะไม่รู้สึกว่าเราเก่ง เพราะความเก่งของเรานั้นได้ถูกเราเองพูดจน หมดแล้ว

2.4 ทำงานกับหัวหน้าที่ไม่เอาไหน ไม่ว่าจะทำงานที่ใดก็ตาม ล้วนมีโอกาสพบกับเจ้านายหรือหัวหน้าที่ไม่เอาไหน เช่น เป็นคนสนใจเรื่องไม่เป็นเรื่อง เอาเป็นเอาตายกับเรื่องเล็กน้อย เรื่องที่ควรสนใจดำเนินการกลับไม่ทำ อะไรทำนองนี้ การทำงานกับคนประเภทนี้ถ้าคิดดูให้ดี สถานการณ์เช่นนี้มิใช่หรือที่เปิดโอกาสให้เราได้ แสดงความสามารถอย่างเต็มที่ ความจริงเจอหัวหน้าแบบนี้ เราควรยินดีด้วยซ้ำ เราควร จะกระตือรือร้น พยายามสร้างบทบาทของตนเองขึ้นมา เพื่อเป็นพลังผลักดันงานให้ก้าว ไปข้างหน้า และที่สำคัญต้องลงมือปฏิบัติ

3. วิกฤตที่แอบแฝงอยู่ในตัวเรา

3.1 ความคิดแบบอนุรักษ์นิยม เงื่อนไขสภาพแวดล้อมรอบตัว เราเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และเป็นเช่นนี้มาเนิ่นนานแล้ว เพียงแต่ปัจจุบันนี้ เปลี่ยนแปลงรวดเร็วมากขึ้น หากเราปรับตัวไม่ทัน ก็จะกลายเป็นคนตกยุคตกสมัยทันที กลายเป็นไดโนเสาร์เต่าล้านปี คนส่วนใหญ่ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง ในที่นี้หมายถึง ด้าน ความคิด ชอบใช้วิธีคิดแบบเดิม งานเคยทำมาอย่างไรก็ยังคงใช้วิธีเดิม ๆ ไม่ยอม เปลี่ยนแปลงและกลัวการเปลี่ยนแปลง ลองสังเกตดูว่าในสองปีที่ผ่านมา เรามีอะไร เปลี่ยนแปลงบ้าง ทั้งความคิดและวิธีทำงาน น้ำย่อมไหลลงสู่ที่ต่ำ พระอาทิตย์ขึ้นทาง ตะวันออกและล่วงลับไปทางตะวันตก คนกลัวยากชอบง่าย สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่อง ธรรมดาแต่หน่วยงานต้องพัฒนาขยายตัว กลัวการหยุดอยู่กับที่ จึงไม่ต้องการบุคลากรที่ หยุดนิ่ง เพราะนั่นหมายถึงว่าเข้าใกล้จุดอวสานของหน่วยงาน

3.2 ชอบวิตกกังวลในเรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์ เช่น เงินเดือน น้อยจะทำอย่างไรดี ถ้าต้องย้ายที่ทำงานจะทำอย่างไรดี ถ้าเจ็บป่วยจะทำอย่างไรดี เอา แต่คิดเรื่องทุกข์ใจ ไม่เป็นประโยชน์ ปัญหาในที่ทำงานยังพากลับไปกลุ้มใจที่บ้านอีก กลุ้มใจเรื่องเงินเดือนต่ำ แล้วเป็นไปได้ไหมที่เงินเดือนจะสูงขึ้น ซึ่งก็เป็นไปไม่ได้ ถ้า เงินเดือนต่ำ ทำไมไม่พยายามทำงานเพื่อให้มีผลงาน เงินเดือนจะสูงหรือต่ำขึ้นอยู่กับตัว เราเอง แทนที่จะนั่งกลุ้มใจ เอาเวลาตรงนั้นมาคิดพัฒนางานไม่ดีกว่าหรือ การโยกย้าย งานก็เป็นเรื่องธรรมดา ขึ้นอยู่กับผู้บังคับบัญชา เรากำหนดไม่ได้ ถ้าจะกลุ้มใจเรื่อง โยกย้าย ทำไมไม่พยายามศึกษาโครงสร้างของที่ทำงานว่าเป็นอย่างไร เราจะได้เตรียมการ วางแผนเพื่อรับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นถ้าไม่อยากเจ็บป่วย ก็ต้องพยายามรักษาสุขภาพ หมั่นออกกำลังกายที่สำคัญต้องรู้จักวิธีคลายเครียด เพราะความเครียด อารมณ์โกรธ ความรู้สึกอัดอั้น เป็นสาเหตุของโรคต่าง ๆ มากมาย

3.3 ลุ่มหลงการพนัน คนที่จะประสบความสำเร็จต้องห่างไกลจาก การพนันทุกชนิด การพนันคล้ายยาเสพติด ถ้าได้ลิ้มลองแล้วมักจะติด โดยเฉพาะคนที่ไม่ เข้มงวดตนเอง และไม่เคยจัดระเบียบชีวิตตนเองจะถลำลึกลงไปได้ง่าย

3.4 สำมะเลเทเมา คนดื่มเหล้ายิ่งดื่มก็ยิ่งติด ยิ่งเพิ่มปริมาณมาก ขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุดก็ติดเหล้าจนเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง การดื่มเหล้า ถ้าดื่มอย่างมีสติ ดื่ม ตามสภาพร่างกายก็ไม่เป็นไร ไม่ใช่ดื่มตามความอยากดื่ม ข้อเตือนใจสำหรับคนดื่มเหล้า คือ “แก้วที่หนึ่งเพื่อสุขภาพ แก้วที่สองเพื่อความสนุก แก้วที่สามเพื่อปล่อยวาง แก้วที่สี่ ขาดสติ" เราต้องดื่มอย่างมีสติ ทั้งรักษาสุขภาพและรักษาเงินไว้

3.5 ไม่รู้จักคลายเครียด คนที่มีความเครียด มักมีอาการเหล่านี้
- วิตกกังวลโดยไม่ทราบสาเหตุเป็นประจำ
- หลับยาก ตื่นง่าย
- ชอบดูรายการทีวีที่มีการต่อสู้แข่งขันกันน่าตื่นเต้น ไม่ชอบดูละคร ที่ต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง - กระเพาะอาหารมีปัญหา ท้องเสียบ่อย
- ชอบเพ้อฝันลม ๆ แล้ง ๆ
- ชอบฝันร้าย หรือชอบพูดเพ้อเจ้อ
 - ตื่นตอนเช้ารู้สึกมึนศีรษะ มือเท้าไม่มีแรง
- เบื่ออาหาร ไม่นึกอยากกินอะไร
- มักรู้สึกเหนื่อยหอบ หายใจไม่ทั่วท้อง
- เห็นอะไรขัดหูขัดตาไปหมด จุกจิกจู้จี้ขี้บ่น
- กลับถึงบ้านก็ยังไม่รู้สึกผ่อนคลาย
- ไม่มีสมาธิ ไม่มีความอดทน รู้สึกเบื่อหน่าย
- ชอบนั่งสั่นขา
- รู้สึกสุดเซ็งกับเช้าวันจันทร์ เมื่อเกิดความเครียด ร่างกายจะเกิดปัญหาการทำงานที่ขัดแย้งกัน เช่น เส้นเลือดไหลเวียนผิดปกติ อัตราการเต้นหัวใจสูง ระบบย่อยอาหารช้าลงหรือหยุดทำงาน ทำให้ร่างกายขาดสมดุล เกิดปัญหาด้านสุขภาพ ตามมาหลายอย่างเช่น เป็นโรคหัวใจ เมื่อเกิดความเครียด คนจะหมกมุ่นกับปัญหาของตนเอง ไม่คิดถึงคนรอบข้าง มีอารมณ์ ฉุนเฉียว โมโหร้าย สมรรถภาพทางความคิดด้อยลง ร่างกายอ่อนแอ ไม่มีสมาธิ หลงลืม อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุในการทำงานได้

การบำบัดความเครียดทำได้หลายทาง

- โภชนาการบำบัด การขาดแคลนสารอาหารบางตัวเป็นสาเหตุของ ความเครียดอย่างแท้จริง เพราะกลไกการทำงานของสมองต้องการสารอาหารเหล่านั้นใน การช่วยระบบการทำงานผลิตสารเคมี (Neurotransmitter) ที่ทำหน้าที่รับและส่งอารมณ์ รวมถึงเป็นตัวกระตุ้นให้สมองหลั่งสารอารมณ์ดี (Adrenaline) ออกมามาก ๆ สารอาหาร ที่จำเป็นต่อการหลั่ง “สารเคมีอารมณ์ดี” โดยหลักคือ วิตามิน B, แคลเซียม, แมกนีเซียม, กรดโอเมก้า-3, สังกะสี

- เครื่องหอมบำบัด (อโรมาเธอราปี) เป็นการใช้กลิ่นหอมจากน้ำมัน หอมระเหย (Essential Oil) ที่สกัดจากพืชต่าง ๆ เช่น มะกรูด คาโมมายล์ อบเชย มะลิ ลาเวนเดอร์ เป็นต้น
- การนวดบำบัด เช่น การนวดแผนไทย
- การนอนบำบัด คนเราควรนอนแต่หัวค่ำ และตื่นแต่เช้า เวลาตื่นนอน เช้าแสงอาทิตย์อ่อน ๆ จะกระตุ้นการทำงานของสารเคมีในสมอง จะทำให้เราสดชื่น แจ่มใส เพราะแสงสีขาวทำให้สารเคมีอารมณ์ดีในสมองหลั่ง และช่วงพระอาทิตย์ตกแสง เริ่มแดงสลัวจะทำให้รู้สึกซึมเศร้า เพราะทำให้การผลิตสารเคมีอารมณ์ดีลดลง
- การออกกำลังกายบำบัด อย่างน้อยเดินวันละ 20 นาที3 วันต่อสัปดาห์
- การนั่งสมาธิบำบัด การนั่งสมาธิมีประโยชน์ต่อการช่วยทำให้คนสามารถ บังคับจิตใจให้เพ่งความสนใจในจุดเดียว รู้สึกผ่อนคลายจากความเครียด ปรับอารมณ์ ไม่ให้รู้สึกในในทางลบ คิดในแง่บวกมากขึ้น
- ดนตรีบำบัด โดยเฉพาะดนตรีบรรเลง (Light Music) จะทำให้ผ่อน คลาย สมองสงบ เช่น ดนตรีประเภทที่มีเสียงธรรมชาติเสริมไม่ว่าจะเป็นเสียงคลื่น น้ำตก นกร้อง__
อ่านบทความทั้งหมด