วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ดื่มกาแฟอย่างไร...ไม่เสียสุขภาพ


น้องนุ่น & น้องเกมส์


คะ ฉบับนี้นะคะ เรามาเอาใจนักดื่มกาแฟกันดีกว่า บ้างคนชอบดื่มกาแฟมากพอรู้ว่ากาแฟมีโทษก็ต้องทำให้เลิกดื่ม แต่วันนี้เรามีเกร็ดความรู้ เรื่อง ดื่มกาแฟอย่างไร...ไม่เสียสุขภาพ มาฝากคะ

เมื่อ 20 ปีที่ผ่านมา กาแฟและเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนถูกโจมตีว่า ทำให้เกิดโรคหัวใจ ความดันโลหิต เป็นหมัน ทำให้ผู้หญิงตั้งครรภ์แท้งได้หรือทารกน้ำหนักน้อย เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งรังไข่ ซีสต์ในเต้านม และกระดูกพรุน แต่ข้อมูลการวิจัยในปัจจุบันเปิดเผยว่าการดื่มกาแฟเพียงวันละ 1-2 ถ้วยนั้นปลอดภัย และอาจให้ผลดี ถ้าดื่มให้เป็น

           รายงานผลการวิจัยจากฟินแลนด์และมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดระบุว่า คนที่ดื่มกาแฟมีความเสี่ยงการเกิดเบาหวานประเภท 2 น้อยกว่าคนที่ไม่ดื่ม ความเสี่ยงที่ลดลงเป็นสัดส่วนกับปริมาณกาแฟที่ดื่ม และกาแฟไร้คาเฟอีนให้ผลน้อยกว่า ส่วนชาไร้คาเฟอีนและเครื่องดื่มอื่นๆที่มีคาเฟอีนไม่ให้ผลเหมือนกาแฟ แต่นักวิจัยก็เตือนว่าอย่าเพิ่งมั่นใจจนหันไปโหมกาแฟ เพราะนักวิจัยยังต้องติดตามการวิจัยอีกมาก นอกจากนี้กาแฟยังช่วยลดความเสี่ยงการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี มะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคพาร์คินสัน ลดอันตรายจากตับในผู้ที่มีความเสี่ยงโรคตับ ลดอาการหอบในผู้ที่มีโรคหอบหืด เพิ่มความจำ และสำหรับนักกีฬาเพิ่มความทนและความอึดในกีฬาที่ต้องใช้เวลานาน

           สำหรับผู้ที่ดื่มกาแฟเพราะต้องการแก้ง่วง นักวิจัยแนะนำให้ดื่มปริมาณน้อยๆ แต่กระจายการดื่มออกไปตลอดวัน เช่น แทนที่จะดื่มถ้วยใหญ่ 16 ออนซ์ (500 มล .) ในตอนเช้า ให้ดื่มเพียงครั้งละ 2-3 ออนซ์ (60-90 มล ) แต่บ่อยขึ้น กาแฟจะเริ่มออกฤทธิ์ใน 15 นาทีและจะอยู่ในร่างกายนานหลายชั่วโมง และต้องใช้เวลาถึง 6 ชั่วโมงกว่าที่จะถูกขจัดออกจากร่างกาย

ของดีในกาแฟ


            นักวิจัยของศูนย์วิจัยใหญ่ในสวิสเซอร์แลนด์ซึ่งมีบริษัทขายกาแฟรายใหญ่ของโลกพบว่า เมล็ดกาแฟมีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าชาเขียวถึง 4 เท่า และยังมากกว่าโกโก้ ชาสมุนไพรและไวน์แดงอีก ที่มากกว่าเพราะผู้บริโภคดื่มกาแฟมากกว่าเครื่องดื่มอื่นๆ แต่สารต้านอนุมูลอิสระในกาแฟแต่ละถ้วยและแต่ละยี่ห้อนั้นก็ไม่เท่ากันขึ้นกับชนิดของกาแฟ

            กาแฟพันธุ์โรบัสต้า (Robusta) มีสารต้านอนุมูลอิสระและคาเฟอีนมากกว่าพันธ์อราบิก้า (Arabicas) ถึง 2 เท่า ซึ่งเป็นผลมาจากวิธีการคั่วกาแฟ และปริมาณกาแฟที่ละลายแต่ละถ้วย รวมทั้งยังขึ้นอยู่กับวิธีการชงกาแฟ ระยะเวลาและปริมาณกาแฟที่ใช้ด้วย


ข้อควรระวังในกาแฟ

             คอกาแฟอย่าเพิ่งย่ามใจกับข้อมูลด้านดีๆ เพราะองค์ประกอบหลักของกาแฟคือสารคาเฟอีนซึ่งเป็นเป็นสารกระตุ้น จึงมีผลต่อระบบหลอดเลือดและหัวใจพอสมควร โดยทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น เพิ่มความดันโลหิต และทำให้หัวใจเต้นผิดปกติในบางครั้ง งานวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัยโทรอนโทเปิดเผยว่า การดื่มกาแฟมากอาจเพิ่มความเสี่ยงหัวใจวายเฉียบพลันในผู้ที่มียีนขจัดคาเฟอีนช้า ทำให้คาเฟอีนอยู่ในกระแสเลือดนานขึ้น แต่สำหรับคนที่มียีนปกติที่ขจัดคาเฟอีนได้เร็วกาแฟก็จะไม่มีผล

             ถึงอย่างไรนักวิจัยก็เชื่อว่าการดื่มเพียง 1-2 ถ้วยจะไม่มีผลต่อการเกิดหัวใจวายเฉียบพลันไม่ว่ามียีนอย่างไร แต่การดื่มวันละ 4 แก้วขึ้นไปไม่ให้ผลดีขึ้น ดังนั้น ควรดื่มแต่พอควร เพราะปัจจุบันการตรวจยีนยังไม่ได้มีใช้กันเหมือนการตรวจสุขภาพทั่วไป และยีนที่แตกต่างกันทำให้ผลการวิจัยทางโภชนาการที่สัมพันธ์กับโรคต่างๆ ที่ออกมามีข้อมูลขัดแย้งกันจนเกิดความสับสน

             ส่วนผลของกาแฟต่อสุขภาพผู้หญิงก็ยังไม่มีผลวิจัยชัดเจน ว่าจะเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งเต้านม ซีสต์ในเต้านมหรือกระดูกพรุนหรือไม่ การเดินสายกลางจึงดีที่สุด ผู้ที่ดื่มกาแฟสกัดคาเฟอีน อาจคิดว่าปลอดภัย แต่นักวิจัยเตือนว่า กาแฟสกัดคาเฟอีนอาจเพิ่มระดับกรดไขมันในเลือดให้สร้างแอลดีแอล ซึ่งเป็นคอเลสเทอรอลตัวร้ายได้ เพราะในกระบวนการสกัดคาเฟอีนจะสกัดเอาสารเฟลโวนอยด์ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและสารอื่นๆ ที่ให้รสชาติกาแฟแท้ๆ ออกไปด้วย นอกจากจะอร่อยน้อยลงแล้วยังมีผลเสียต่อสุขภาพอีกด้วย

             ข้อควรปฏิบัติ

             เลี่ยงกาแฟที่ใช้หม้อต้มแบบสไตล์สแกนดิเนเวีย เพราะจะมีสารไดเทอร์พีนสูง เพิ่มระดับคอเลสเทอรอลในเลือด ควรเลือกกาแฟสำเร็จรูปที่ละลายน้ำ หรือชนิดกรองหยด และเอสเพรสโซ ซึ่งจะมีผลน้อยกว่า

             ถ้าต้องเลือกกาแฟสกัดคาเฟอีน ควรเลือกชนิดที่ใช้กระบวนการสกัดธรรมชาติ (Swiss Water Process)

             สำหรับผู้ที่เลี่ยงกาแฟอยู่แล้ว ไม่ควรหันมาดื่มเพียงเพื่อต้องการผลดีจากคาเฟอีน โดยเฉพาะคนที่ร่างกายไวต่อกาแฟ การดื่มอาจยิ่งเพิ่มผลเสีย เช่น หัวใจเต้นเร็วขึ้น ความดันโลหิตสูงขึ้น กระวนกระวาย นอนไม่หลับ กระเพาะหลั่งกรดออกมามากเกินควร ทำให้ปวดท้อง และเป็นสารขับปัสสาวะทำให้ร่างกายเสียน้ำมากขึ้น ดังนั้นทุกครั้งที่ดื่มกาแฟควรดื่มน้ำตามไปชดเชยด้วย

              ระวังสิ่งที่เติมลงในกาแฟ เช่น ครีม นมไขมันเต็ม น้ำตาล น้ำผึ้ง เพราะเท่ากับเติมพลังงานส่วนเกิน

              กาแฟมาตรฐาน 1 ถ้วย มีขนาด 5-6 ออนซ์หรือ 150-180 มล . แต่ที่ขายโดยทั่วไปนั้นมีขนาด 12 ออนซ์หรือ 360 มล . ซึ่งมากกว่าถึง 2 เท่า ดังนั้น ควรจำกัดการดื่มให้ไม่เกิน 5 ถ้วย ซึ่งเป็นปริมาณที่ใช้ในการศึกษาวิจัย

              สารคาเฟอีนเป็นสารธรรมชาติที่พบในอาหารอื่นด้วย เช่นใบชา เมล็ดโคลา โกโก้ ช็อคโกแลต น้ำอัดลมสีดำ และยาบางชนิด ซึ่งอาจทำให้ร่างกายได้รับคาเฟอีนเกินควร จึงต้องตรวจสอบพฤติกรรมของตัวเองเสมอ
            คะ หวังว่านักดื่มกาแฟคงไม่ผิดหวังกันข้อมูลในฉบับนี้ นะคะ

อ่านบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2555

9 วิธีเจ้านายรัก เจ้านายหลง (9 ways to impress your boss)

By Tee


อยากผ่านโปร เลื่อนขั้น ขึ้นเงินเดือน และโบนัสใจจะขาด ทำไงดีน๊า?
งานนี้ไม่ต้องพึ่งของดีกับรากราคะ!! เรามีคำแนะนำดีๆ จากคนเป็นเจ้านายมาฝาก
1. อย่าถาม ก็แค่ตอบ !

คนเป็นเจ้านายก็จะมีคำถามร้อยแปด ที่พนักงานทุกคนก็รู้คำตอบเหล่านี้ดีกว่าเจ้านายซะอีก มันอาจจะเป็นการง่ายกว่าที่จะเดินเข้าไปถามบอสเมื่อคุณไม่มั่นใจ แต่คราวหน้า ให้คุณถามตัวเองก่อนว่า " พวกเค้าจะมีคำตอบที่ดีกว่านั้นได้มั๊ย ? " แน่นอนว่า " ไม่ ! " ใครจะไปรู้จักงานของคุณดีเท่าคุณกันล่ะ หาความรู้ให้มาก เตรียมตัวให้พร้อมเสมอ และคิดให้กว้าง นั่นแหละคือสิ่งที่เจ้านายคุณต้องการ


2. มาพร้อมทางออก ไม่ใช่ปัญหา

มันเป็นสิ่งกวนใจคนเป็นนายอย่างสูงเมื่อลูกน้องเดินเข้าไปหาพร้อมกับปัญหาและคาดหวังคำตอบจากบอส อย่าเข้าไปปรึกษาปัญหากับนาย ถ้าคุณยังไม่มีทางออกที่เป็นไปได้ หลังจากที่คุณนั่งคิดใคร่ครวญหาทางออกนานถึง 10 นาทีเป็นอย่างต่ำ คิดดูสิ มันจะเท่ขนาดไหน ถ้าคุณเข้าไปปรึกษาปัญหายากๆ พร้อมกับเสนอหนทางแก้ไข เริ่ดซะไม่มีล่ะ
3. อย่ามาขอโทษ

คนทุกคนชอบให้คนอื่นๆ กล้ารับผิดในสิ่งที่ตัวเองทำ คุณต้องเผชิญหน้ากับความจริง การรับผิดชอบแค่เพียงเอ่ย ขอโทษ ตั้งแต่เริ่มแรก ทำให้คุณดูอ่อนแอ ครั้งต่อไปที่คุณทำผิด ให้คุณลองพูดถึงข้อดีหรือบทเรียนจากความผิดพลาดครั้งในนี้ พร้อมกับการแก้ไขปัญหา และแสดงความกระตือรือร้นในการปรับปรุงตัวของคุณ เจ้านายจะประทับใจและหันไปสนใจว่าคุณเรียนรู้อะไรจากความผิดพลาดครั้งนี้


4. เอาอารมณ์เก็บไว้ที่บ้าน

อย่าส่งอีเมล์แสดงความโกรธแค้น หงุดหงิด งุ่นง่านของคุณไปหาเจ้านายเด็ดขาด รวมไปถึงชื่อ MSN ด้วยนะ เมื่อคุณโกรธ หรือโมโห ให้เขียนอีเมล์ทันที แต่อย่าเพิ่งส่งไปนะ รอสัก ชั่วโมงครึ่ง จากนั้นอ่านอีเมล์ฉบับเดิมนั้นซ้ำไปซ้ำมา สัก 9 -10 รอบ สังเกตอารมณ์ของตัวเอง คุณจะค่อยๆ เย็นลง เจ้านายจะชื่นชมวิธีการรับมือกับอารมณ์ของคุณ


5. พร้อมเสิร์ฟเสมอ

หลายๆ คน มันจะบ่นกับเพื่อนๆ หรือกับตัวเองอยู่บ่อยครั้งเมื่อถูกเจ้านายเรียกใช้ให้ทำสิ่งที่นอกเหนือ job description ว่า " ไม่ใช่งานช้านนนน....! หรือว่า ไม่ใช่หน้าที่ช้านนน...!!!!


ให้ถือซะว่ามันคือความท้าทาย บางทีอาจเป็นโอกาสที่ดีที่คุณจะได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ และบอส ของคุณจะประทับใจในสปิริต ของคุณ จำไว้เสมอว่า คุณพร้อมที่จะช่วย
6. อย่าคิดตบตาบอส

จากปากของบรรดาเจ้านายบอกกับเราว่า บ่อยครั้งที่ ได้รับ SMS ลาป่วยจากพนักงาน ก็อดคิดไม่ได้ว่าพวกเขาหรือเธอกำลังโกหก หรือแม้กระทั่งการแจ้งลาป่วยกับฝ่าย HR โดยไม่ผ่านบอสของคุณก่อน ก็ยิ่งน่าสงสัย คราวหน้า ช่วยฝืนสังขารแล้วโทรหานายคุณโดยตรงจะดีกว่าค่ะ


7. ตอบสนองเจ้านายคุณบ้างสิ !!

การสื่อสารในทีมแบบมีปฏิกิริยาตอบโต้กันเป็นสิ่งสำคัญสำหรับองค์กร ถ้าคุณรู้สึกดีๆ กับสิ่งที่นายคุณทำ ก็บอกกับเธอหรือเค้าซะเถอะ อย่างเช่น " ดิชั้นชื่นชมความคิดเห็นของคุณในการประชุมครั้งนี้ค่ะ " รับรองว่าเจ้านายคุณจะต้องมีปฏิกิริยาโต้ตอบกับคุณแน่นอนค่ะ เพราะการตอบสนองในแง่บวกต่อการกระทำของเจ้านายคุณจะส่งแรงกระตุ้นต่อพฤติกรรม ทั้งยังพัฒนาสัมพันธ์ภาพในการทำงานของคุณกับเจ้านายคุณอีกด้วย แต่ขอบอกก่อนว่าต้องชมด้วยความรู้สึกจากใจนะ ไม่อย่างนั้นเค้าเรียกว่าประจบจ้า !


8. เลิกคร่ำครวญซะที

การที่คุณพร่ำบ่นไปกับทุกสิ่ง จะทำให้เจ้านายและเพื่อนร่วมงานเกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย รำคาญ ในสายตาพวกเค้าคุณก็เป็นเฉกเช่น เด็กไม่รู้จักโต มีเรื่องอะไรนิด อะไรหน่อยก็โหวกเหวกโวยวายไม่รู้จักจบสิ้น เจ้านายคุณก็จะไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเรื่องไหนที่เป็นปัญหาที่แท้จริง ? เจ้านายจะให้ความเคารพคุณมากขึ้น ถ้าคุณรู้จักสงบและเลือกประเด็นปัญหาที่ใหญ่พอจริงๆ ขึ้นมาพูดคุยเพื่อถกประเด็นกันในที่ประชุม


9. กระตือรือร้นสม่ำเสมอ

ในที่ประชุมมักจะมีไอเดียและข้อแนะนำอะไรหลายๆ อย่าง แต่มันจะไม่มีประโยชน์อันใดเลยถ้าคุณไม่แสดงความรับผิดชอบต่อไอเดียของคุณอย่างกระตือรือร้น เลือกไอเดียดีๆ มาสักอย่างแล้วพยายามทำให้มันเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา คุณจะไม่ได้รับแค่เพียงคำชมแต่คุณจะได้กระเถิบเข้าไปสนิทชิดเชื้อกับเจ้านายมากขึ้น เพราะผลงานของคุณนี่แหละ

อ่านบทความทั้งหมด

การเตรียมตัวออกทริปท่องเที่ยว ด้วยจักรยาน (bicycletripthai)

By P'Sunant


ใกล้ปีใหม่เข้าไปทุกทีแล้ว ใครมีโปรแกรมไปเที่ยวไหนอะไรยังไงบ้างเอ่ย ยังไงก็ระมัดระวังการเดินทางกันด้วยนะครับ

วันนี้ผมเลยหยิบเรื่องของพี่นันมาลงซึ่งส่งมาแล้วสักพักหนึ่งอยากให้เป็นเรื่องสบายๆหลังจากอัดแน่นด้วยสาระไปหลายต่อหลายตอน ใครสนใจการปั่นจักรยานคลายเครียด ปั่นจักรยานท่องเที่ยว อย่ารีรอรีบกดไปหาความรู้โดนพลัน


การเตรียมตัวออกทริปท่องเที่ยว ด้วยจักรยาน (bicycletripthai)

1. จักรยานไม่ว่าจะใหม่หรือเก่าก่อนออกไปใช้ ควรตรวจตราดูความเรียบร้อยของรถเสมอ เช่น เบรกอยู่ในตำแหน่งของมันหรือเปล่า ยางอ่อนไปไหม อุปกรณ์บนตัวรถยังทำงานได้เป็นปกติไหม พูดง่าย ๆ ก็คือรถต้องพร้อมสมบูรณ์ทุกอย่างนั่นเอง


2. อุปกรณ์ประกอบเมื่อซื้อมาแล้วอย่านำไปวางไว้เฉย ๆควรนำมาใช้ด้วย ไม่ว่าจะเป็น ไฟหน้า-หลัง กระดิ่ง หรือพวกเครื่องป้องกันร่างกายเรา เช่น ถุงมือ ถุงแขน แว่นตา เพราะไม่ว่าทางจะใกล้หรือไกลมักเกิดอันตรายที่ไม่คาดคิดได้เสมอ โดยเฉพาะหมวกกันน๊อคควรสวมใส่ให้เป็นนิสัย


3. ติดตั้งไฟหน้าด้วยสีขาวปรับให้ได้ระดับสายตาของรถคันหน้า แล้วเปิดให้กระพริบตลอดเวลา ส่วนไฟหลังติดตั้งไฟหลังสีแดงเปิดให้กระพริบตลอดเวลาเช่นกัน สำหรับเวลากลางคืน


4. ควรเตรียมอุปกรณ์ปฐมพยาบาลเบื้องต้นและยาสามัญทั่วติดตัวกันไปบ้าง เพราะอุบัติเหตุกับนักจักรยานมักเลี่ยงกันไม่ค่อยพ้น เช่น ยาใส่แผลสด น้ำยาฆ่าเชื้อ ผ้าก๊อต พลาสเตอร์ ครีมหรือยาแก้เคล็ดขัดยอก ยาแก้ไข้ หรือพวกครีมกันแดด เป็นต้น


5. เมื่อรถเราพร้อมสำหรับการที่จะออกทริปแล้วเราก็ควรจะมีการวางแผนในการออกทริป แต่ละทริปด้วยถ้าเรามีการวางแผนที่ดี ศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับเส้นทางหรือสภาพทางที่เราจะต้องขี่รถไป หรือสถานที่ที่เราจะไปเที่ยวไปพักให้พอมีข้อมูลอยู่บ้างถึงแม้จะไม่สมบูรณ์ 100 % ก็ตาม ตรงนี้ก็จะช่วยเราได้มาก เพราะการวางแผนการเดินทางสำหรับจักรยานนั้นมีความสำคัญมาก เพราะการเดินทางด้วยจักรยานนั้น หากมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งผิดพลาดระหว่างการเดินทางแล้วจะทำให้เสียเวลาเป็น อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการหลงทาง ยางแตก อุบัติเหตุเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือรถมีปัญหา ดังนั้น ควรมีการวางแผนไว้บ้างน่าจะเป็นผลดีต่อการเดินทาง


6. สิ่งของหรืออุปกรณ์ที่จะนำไประหว่างการออกทริปตรงนี้ต้องบอกว่าแล้วแต่ลักษณะการออกทริปของเราว่าเป็นแบบใด เช่น จะใช้เวลาออกทริปกี่วัน จะพักกันแบบไหน และเมื่อได้รูปแบบการออกทริปแล้ว จึงจะมาจัดเตรียมข้าวของเครื่องใช้ รวมทั้งอุปกรณ์ต่าง ๆ แต่ที่ต้องไม่ลืมเลยก็คือ ชุดเครื่องมือในการซ่อมแซมจักรยาน และอุปกรณ์ปะเปลี่ยนยาง สูบลมแบบติดรถ ยางในสำรอง แต่หากต้องเดินทางไกลกันจริง ๆ ไปกันหลายวัน หรือสภาพเส้นทางทุระกันดารกว่าปกติ เราอาจต้องเพิ่มเครื่องมือบางอย่างติดรถไปด้วย เช่น ตัวตัดต่อโซ่พร้อมสลักหรือข้อต่อสำรอง เครื่องมือถอดและขันชุดกระโหลก เป็นต้น ส่วนข้าวของเครื่องใช้อย่างอื่น ๆ ที่ต้องติดตัวไปด้วยเสมอ เช่น ไฟฉาย ไฟแช็ค มีดพกขนาดเล็ก เชือก ผ้าสักผืนสองผืน น้ำมันหล่อลื่นโซ่


ส่วนใครใคร่จะนำอะไรติดตัวมากไปกว่าที่กล่าวมานี้ก็สุดแล้วแต่ตวามจำเป็น แต่ขอแนะนำสักนิด ว่าเราเดินทางด้วยจักรยานไม่ใช่รถยนต์ น้ำหนักที่เราแบกไปนั้น ควรจะน้อยที่สุดเอาเฉพาะของที่จำเป็นไปเท่านั้น เพื่อที่เราจะได้ไม่อ่อนล้ากับการแบกน้ำหนักเกินความจำเป็น


7. สำหรับการขี่ออกทริปเป็นหมู่คณะนั้นก็มีข้อดีคือเราสามารถแชร์เรื่องสัมภาระกันได้ โดยที่เราไม่ต้องแบกเครื่องไม้เครื่องมืออยู่เพียงคนเดียว หรือเครื่องมือเครื่องใช้บางอย่างก็สามารถใช้ร่วมกันได้ เช่น พวกเต็นท์ ยางอะไหล่ เครื่องมือซ่อมรถทั่ว ๆ ไป



การเดินทางท่องเที่ยวด้วยจักรยานนั้น หากเราเดินทางใกล้ ๆ ประเภทไปเช้าเย็นกลับ หรืออาจต้องมีการค้างแรมแต่มีความสะดวกสบายพอสมควร หาของกินของใช้ได้ง่าย บางครั้งการสะพายเป้หลังเพียงใบเดียว เอาอุปกรณ์ข้าวของเพียงไม่กี่อย่างติดตัวไปก็พอเพียงแล้วสำหรับการ ออกทริปแต่ละทริป แต่สำหรับนักปั่นที่พิศสมัยการเดินทางด้วยจักรยานอย่างจริงจังและยาวนาน ประเภทที่ว่าขี่ในสไตล์ทัวร์ริ่งเป็นอาชีพ การเตรียมตัวอย่างที่กล่าวมาข้างต้นนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญ และสำหรับนักปั่นประเภทนี้ การเลือกใช้รถจักรยานก็มีความจำเป็นที่ต้องเลือกประเภทที่เอื้ออำนวยต่อการ ทัวร์ริ่งเช่นกัน เช่นตัวรถต้องมีขนาดพอเหมาะ ไม่เล็กหรือบอบบางจนเกินไปเพราะเราคงหลีกเลี่ยงการบรรทุกสัมภาระไม่ได้

สำหรับคนที่หันมาท่องเที่ยวด้วยจักรยาน อาจจะบรรทุกมากบ้าง น้อยบ้าง แล้วแต่ทริป ซึ่งตัวรถเองก็คงต้องมีการดัดแปลง ปรับท่วงท่า หรืออาจติดตะแกรงเข้าไปเพื่อการนี้ จักรยานบางคันจึงมองดูเหมือนรถบรรทุกขนาดย่อม ๆ นี่เอง
อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากการจัดเตรียมข้าวของเครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ รวมถึงจักรยานคู่ใจของเราแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดก็คือตัวนักปั่นนั่นเองคงต้องยอมรับกันก่อนว่า การขี่จักรยานนั้นเป็นอะไรที่ไม่ได้สะดวกสบายอย่างที่หลาย ๆ คนเข้าใจ ทั้งตากแดด ตากลม บางครั้งตากฝน บางครั้งหนาวเสียจนแทบอยากจะทิ้งจักรยาน มันมีทั้งความเหน็ดเหนื่อย ความอ่อนล้า อันตราย จากรถที่ขับขี่ผ่านเราไปสารพัด แต่ในเมื่อรู้ทั้งรู้และยังมีความต้องการที่จะขี่จักรยานท่องเที่ยว เพื่อที่จะออกทริปได้อย่างสนุก


การเตรียมตัวหรือทำให้ ตัวเองแข็งแรงมีความฟิตอยู่เสมอจึงเป็นสิ่งที่นักปั่นทั้งหลายพึงกระทำ เพราะถ้าเราไม่มีแรงปั่นลูกบันไดแล้ว สิ่งที่เราจัดเตรียมมาทั้งหมดก็ถือว่าไม่มีความหมายอันใด พาลทำให้เที่ยวไม่สนุกอีกต่างหาก แต่ถ้าเราแข็งแรงมีแรงปั่นลูกบันไดได้เป็นวัน ๆ สิ่งที่เราได้จากการขี่จักรยานท่องเที่ยวจะเป็นประสบการณ์ที่ดีที่ไม่รู้ ลืมเลยทีเดียว อีกทั้งยังมีความภูมิใจในตัวเองอีกด้วย





อ่านบทความทั้งหมด

วันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2555

หอหล่อเย็น (Cooling Tower)


โดย น้องนุ่นและน้องเกมส์




ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนเลยว่าช่วงนี้มีคนส่ง Blog มาให้ลงเยอะมากๆๆๆ ต้องขอขอบคุณทุกคน และ ต้องขอโทษด้วยที่บางเรื่องที่นานแล้วยังไม่ได้เอามาลงสักที และที่ส่งใหม่ๆอย่าเพิ่งท้อใจไปว่าส่งมาแล้วไม่เห็นลงให้เพราะมาพร้อมกันเยอะดังนั้นต้องขอเลือกนิดนึงก่อนนะครับ
สำหรับบางเรื่องอาจมีเนื้อหา น้อยไปนิด หรือ อาจติดเรตไปบ้าง เรื่องของบางคนจึงอาจไม่ได้ลงก็ไม่ต้องเสียใจไป
ว่าแล้วก็เข้าเรื่องเลยดีกว่า....

ในโรงงานอุตสาหกรรมเคมี เป็นอุปกรณ์ที่ทำให้น้ำร้อนที่ผ่านการถ่ายเทความร้อนมาจากกระบวนการผลิต (Process) ที่เครื่องแลกเปลี่ยนความร้อน (Heat Exchanger) มาทำให้น้ำนั้นเย็นลง โดยใช้หลักการให้น้ำร้อนนั้นถ่ายเทความร้อนและมวล (Heat and Mass Transfer) กับอากาศ

หลักการถ่ายเทความร้อนของ Cooling Tower



ใช้การระเหยของน้ำในขบวนการ เป็นการแลกเปลี่ยนความร้อนมีการสูญเสียน้ำไปส่วนหนึ่ง แต่น้ำส่วนใหญ่นำกลับมาใช้ได้อีก ขบวนการถ่ายเทความร้อนใน Cooling tower แบ่งเป็น 2 ส่วน

1. การถ่ายเทความร้อนแฝง (Latent Heat) จากการระเหยของน้ำไปสู่อากาศที่ยังไม่อิ่มตัว

2. การถ่ายเทความร้อนสัมผัส (Sensible Heat) จากอุณหภูมิน้ำที่สูงไปสู่อุณหภูมิของอากาศที่ต่ำกว่า


ระบบการระบายความร้อนด้วยน้ำมี 3 ลักษณะ คือ

1. Once Through Cooling System

เป็นระบบสูบน้ำจากแหล่งน้ำ นำไปหล่อเย็นแล้วปล่อยทิ้งเลย โรงงานที่ใช้ระบบนี้จะต้องอยู่ใกล้แหล่งน้ำ ซึ่งมีปริมาณน้ำเพียงพอกับการใช้งาน
2. Open Recirculating Cooling System

ระบบนี้เป็นการนำเอาน้ำหมุนเวียนมาใช้อีก ฉะนั้นจึงต้องมีหอระบายความร้อน(Cooling Tower) ระบบนี้จะประหยัดน้ำและสารเคมีมากกว่าการใช้ Once Through Cooling System เป็นระบบที่ใช้ทั่วไปในโรงงาน

3. Closed System

เป็นระบบปิดมีการสูญเสียน้ำน้อยมาก แต่การระบายความร้อนจากน้ำทิ้งต้องมีอุปกรณ์เพิ่มเติม ตัวอย่างของระบบนี้เช่น หม้อน้ำรถยนต์ เป็นต้น



ปัจจัยที่มีผลต่อการทำงาน

1. การแตกตัวของละอองน้ำ แตกตัวมากถ่ายเทความร้อนได้มาก

2. พื้นที่แผงกระจายละอองน้ำ ถ้ามากจะเพิ่มโอกาสสัมผัสกับอากาศมากขึ้น

3. ปริมาณอากาศ ถ้ามากจะเพิ่มอัตราการถ่ายเทความร้อน

4. อุณหภูมิกระเปาะแห้งของอากาศ ซึ่งเป็นตัวบ่งบอกปริมาณความชื้นในอากาศ



ประเภทของ Cooling Tower

1. Natural Draft Tower

เป็นแบบง่าย ใช้อากาศหมุนเวียนตามธรรมชาติ ในแนวนอนผ่านแผงกระจายน้ำ และฉีดน้ำจากด้านบน มีขนาดใหญ่ ลงทุนสูงใช้พลังงานน้อย แต่ไม่สามารถควบคุมการทำงานของระบบได้

2. Mechanical Draft Tower

ใช้พัดลมทำให้อากาศเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง มีขนาดเล็ก ถ่ายเทความร้อนได้ดี ควบคุมง่าย แบ่งย่อยออกเป็น 2 แบบคือ

2.1 Force Draft Tower
มีการเป่าอากาศเข้าไปสัมผัสกับน้ำที่ไหลลงจากด้านบน ตามธรรมชาติ มีแบบ

- Cross flow คือ เป่าอากาศทางด้านข้าง



- Counter flow คือ เป่าอากาศเข้าทางด้านล่าง



มีทั้งแบบ Single-cell และ Multi-cell โดยตัว Casing อาจทำจาก Polyester, คอนกรีต หรือแผ่นเหล็ก

การเป่าอากาศแบบ Cross flow
2.2 Induced Draft Tower

2.3 เป็นแบบใช้พัดลมดูดอากาศออก มี 2 แบบ

2.4 1. Cross flow

2.5 2. Counter flow มีการถ่ายเทความร้อนคงที่ เนื่องจากมีอัตราการไหลของอากาศสม่ำเสมอควบคุมง่าย มีข้อเสียคือไม่สมารถใช้ระบายความร้อนให้กับสารที่มีฤทธิ์กัดกร่อนได้


การเป่าอากาศแบบ Counter flow

ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในระบบน้ำหล่อเย็น มีดังนี้

1. Corrosion

เป็นปฏิกิริยาทางไฟฟ้าเคมี มีผลทำให้เกิดการสูญเสียเนื้อโลหะ ทำให้อายุการใช้งานของอุปกรณ์สั้นลง สาเหตุการเกิดมีหลายประการดังนี้ - โลหะต่างชนิดกันสัมผัสกัน

- pH ของน้ำไม่ได้เป็นกลาง - -- --

- ความเครียดของโลหะไม่เท่ากัน

- คุณสมบัติของน้ำ

การป้องกันและแก้ไข

- ใช้โลหะที่ทนทานต่อการกัดกร่อน

- ใช้โลหะอื่นที่ผุกร่อนได้ง่ายกว่าผุแทน

- ปรับสภาพของน้ำ

- ใส่สารเคมีลงไปเพื่อทำให้เกิดฟิล์มเคลือบที่ผิวโลหะ

2. Scale(ตะกรัน)

ที่พบเห็นโดยทั่วๆ ไปได้แก่ CaCO3(หินปูน) สาเหตุการเกิดมีหลายประการดังนี้

- ความเข้มข้นของปริมาณของแข็งที่ละลายในน้ำ มีค่าเกินจุดอิ่มตัว

- ผิวของโลหะถ้าหยาบจะเกาะติดได้ง่าย

- ผลึกที่เกิดใหม่จะไม่แข็งแรง ถ้าทิ้งไว้นานจะแข็งแรงขึ้น

การป้องกันและแก้ไข

- ใส่สารเคมีลงไปแทรกแซงการเกิดผลึก

- ใส่สารเคมีลงไปทำให้ตะกอนต่างๆที่อยู่ในน้ำเกิดการละลายน้ำได้มากขึ้น

3. Foulant

ค่าของแข็งต่างๆ ที่แขวนลอยอยู่ในน้ำที่พบมากคือสนิมเหล็ก, ฝุ่นละออง จะต่างจากตะกรันคือ มีลักษณะนิ่ม ล้างออกได้ง่ายเป็นตัวการทำให้เกิดสนิม และยังไปลดประสิทธิภาพของสารเคมีที่เติมเข้าไป สาเหตุการเกิดมีหลายประการดังนี้ - อัตราการไหลและลักษณะการไหลของน้ำ

- ชนิดของโลหะ

การป้องกันและแก้ไข

- กรองเอาสารแขวนลอยในน้ำออก

- ทำให้น้ำมีการไหลแบบปั่นป่วนมากขึ้น

- เปิดให้น้ำไหลย้อนทิศทาง

- เป่าอากาศเข้าไปยังจุดอับ

4. Microbiological Growth

เชื้อจุลินทรีย์ทั้งหลายสามารถเจริญเติบโตได้ดีในระบบน้ำหล่อเย็น เพราะมีอาหารพียงพอ อุณหภูมิพอเหมาะ เชื้อจุลินทรีย์แบ่งได้เป็น 3 ชนิดคือ - ตะไคร่น้ำ การเจริญเติบโตต้องอาศัยออกซิเจนและแสงแดด

- เชื้อรา การเจริญเติบโตต้องอาศัยอาหาร, ออกซิเจน และ ความชื้น - แบคทีเรีย มีทั้งชนิดที่อยู่ได้โดยไม่มีออกซิเจน และต้องใช้ ออกซิเจน

การป้องกันและแก้ไข

- ใส่สารเคมีลงไปฆ่าเชื้อ

- ใส่สารเคมีลงไปเพื่อทำให้เมือกที่เกิดขึ้นหลุดลอยไปกับน้ำได้
อ่านบทความทั้งหมด