วันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ปีใหม่นี้เตรียมรถให้พร้อมก่อนเดินทางไกล


By Max



ใกล้ปีใหม่แล้วแล้วผมคิดว่าเพื่อนๆพี่หลายคนต้องเดินทางกลับบ้านต่างจังหวัด ซึ่งเพื่อนๆพี่ๆก็ต้องใช้รถยนต์ในการเดินทางกลับบ้านในระยะทางที่ไกลๆ ทั้งนี้ตัวผมเองนั้นเป็นคนสนใจในเรื่องรถยนต์มากอยู่แล้ว จึงอยากเสนอความรู้เล็กๆน้อยให้พวกเพื่อนๆและพี่ได้อ่านและนำไปตรวจสอบรถของพวกพี่ๆได้เองแบบง่ายๆโดยที่ไม่ต้องพึ่งช่างให้เสียค่าใช้จ่าย ก่อนอื่นผมมีวิธีจะนำเสนอเป็นแบบง่ายดังนี้ครับ
1.ตรวจสอบและประเมินสภาพโดยรวมของรถ เช่น สภาพรถ สภาพการใช้งาน โดยตรวจสอบจากประวัติครั้งล่าสุดของรถยนต์ที่เข้าตรวจเช็คที่ตามศูนย์บริการ เพื่อให้หมั้นใจได้ว่ารถยนต์ของพวกเพื่อนๆและพี่ๆได้เข้ารับบริการทุกๆระยะตรวจเช็คหรือตรวจซ่อม 


2.ตรวจเช็คสภาพความพร้อมใช้งานของเครื่องยนต์และอุปกรณ์ภายใต้ฝากระโปรงรถยนต์ของพวกเพื่อนๆและพี่ๆ ถ้าเพื่อนและพี่ๆนำรถเข้าตรวตเช็คตาระยะอยู่แล้วก็เบาใจได้ระดับนึกเลยครับ แต่ก็อย่าละเลยกับสิ่งเล็กๆน้อยที่อยู้ใต้ฝากระโปรงละครับ อันดับแรกเลยคือ สังเกตุและตรวจสอบระดับของเหลวในรถยนต์ เช่น ระดับน้ำหม้อน้ำ ระดับน้ำในหม้อน้ำสำรอง ระดับน้ำมันเบรก น้ำมันเครื่อง น้ำมันเพาว์เวอร์ น้ำมันเกียร์ โดยตรวจสอบให้อยู่ในระดับไม่น้อยกว่าตำแหน่ง Lowของก้านตรวจเช็ค และที่สำคัญไม่น้อยกว่ากันอีกอย่างคือตรวจสอบระดับน้ำกลั่นในแบตเตอรี่รถยนต์ หรือสังเกตุง่ายๆที่สัญลักษญ์ไฟที่แบตเตอรี่(ถ้าเป็นแบตรุ่นใหม่ๆจะมีไฟบอก) ถ้าเพื่อนๆพี่ๆตรวจเช็คแล้วระดับของเหลวอยู่ในระดับปกติ ก็สบายใจได้เลยทีเดียว


3.ตรวจสอบช่วงล่าง ตรวจสอบง่ายๆเลยเพียงแค่เพื่อนและพี่ๆก้มลงไปดูมันสักแปปนึง โดยการสังเกตุง่ายๆเลยก็คือสังเกตุ การรั่วซึมหรือรอยของคราบน้ำมัน ในส่วนต่างๆ ถ้าเกินมีจุดใดรั่วซึมผมแนะนำให้พวกพี่ๆและเพื่อนๆนำรถเข้าเช็คกับทางศูนย์บริการก่อนจะดีที่สุดนะครับ หรือถ้าเช็คหรือซ่อมเองได้อันนี้ก็ไม่ว่ากัน

 4.ตรวจสอบเสียงหรืออาการผิดปกติของรถยนต์ วิธีนี้สังเกตุง่ายๆแค่ฟังเสียงหรืออาการตอนขับขี่ว่าผิดปกติหรือรู้สึกว่าแตกต่างหรือไม่ ถ้ามีอาการควรเข้าเช็คตามศูนย์บริการนะครับ จะง่ายที่สุด

5.ตรวจยาง แรงดันลมยางและยางอะไหล่ วิธีที่สังเกตุง่ายที่สุดคือการดู โดยสักเกตุความต่างของยางแต่ละข้างว่าระดับยางแตกต่างกันหรือไม่ และเพื่อความมั่นใจควรนำรถเข้าเช็คลมยางก่อนจะดีที่สุดครับ จากประสบการณ์ของผมแล้ว แนะนำว่ารถยนต์นั้งที่จะเดินทางไกลควรเติมลมยางอยู่ที่ 29-31 PSI เพราะจะไม่กระด้างและไม่เปลืองน้ำมันด้วยนะครับ ส่วนรถกระบะควรเช็คลมยางให้อยู่ระดับ30-32 PSI ส่วนล้อหลังถ้าบรรทุกหนักควรอยู่ที่ 34-38 PSI ถ้าเติมลมแข็งเกินไปจะทำการขับขี่กระด้างเกินไป และเกิดความเสียสายกับยางโดยใช่เหตุ ส่วนยางอะไหล่ก็อย่าลืมตรวจสอบกันนะครับเพราะว่ายางอะไหล่ที่ไม่เคยนำออกมาใช้เลย แรงดันลมยางก็ต่ำได้นะครับ และอย่าลืมตรวจสอบอุปกรณ์เปลี่ยนยางอะไหล่ละครับ (ถ้ายางแตกหรือรั่วซึมในเขตนอกเมือง ผมมีวิธีมาแนะนำนะครับ ก็คือ สเปรย์อุดรอยรั่ว ใช้ง่ายและมีวิธีใช้อยู่ด้านข้างขวด เมื่ออัดเข้าไปขณะรั่วจะสามารถวิ่งไปได้ต่อประมาณ30-50 กม.เลยทีเดียวนะครับ หาซื้อได้ทั่วไปที่ห้างหรือตามร้านขายอะไหล่ยนต์นะครับ)


6.ตรวจสอบระบบส่องสว่าง วิธีที่ตรวจสอบง่ายๆเลยก็คือดูอีกนั้นแหละครับ โดยที่เปิดระบบส่องสว่างของรถยนต์ของเพื่อนๆพี่ๆให้หมดละครับ แล้วสักเกตุว่ามีจุดได้ไม่ส่องสว่างหรือไม่ หรือถ้าเป็นไฟเบรกก็ให้คนในครอบครัวไปเหยียบเบรกให้ก็ได้ครับ (เรื่องไฟเบรกควรตรวจเช็คเป็นประจำนะครับเพราะสำคัญกับผู่ร่วมใช้ทางด้วยกันเอง)


 7.ตรวจสอบตัวท่านเอง ข้อสุดท้ายนี้หน้าจะเป็นข้อที่สำคัญที่สุดนะครับ เพราะว่าถ้าตัวผู้ขับไม่พร้อมก็ไม่ควรขับนะครับ หรือถ้าไม่มีใบอณุญาติยิ่งไม่ควรขับเป็นอย่างยิ่ง และควรมีน้ำใจขับผู้ร่วมทางด้วยนะครับ “ดื่มไม่ขับนะคร๊าบ!!!” ด้วยความห่วงใยจากผมเองนะครับ ขอบคุณครับ
อ่านบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2556

การลดความอ้วน (แบบ ใหญ่ๆ)

By ใหญ่.


ผมเป็นคนหนึ่งซึ่งมีปัญหา อ้วน มาทั้งชีวิต คิดมาตลอดว่า แม่อ้วน พ่ออ้วน เราก็ต้องอ้วน กรรมพันธุ์ แน่ๆ ไม่มีทางที่จะผอมได้ ทำยังไงก็ไม่ผอม เพราะคิดลบเสมอว่าไม่ผอม ไม่มีทางผอม ทำยังไงก็ไม่ ผอม ลดอาหารก็แล้ว ออกกำลังกายก็แล้ว แต่ก็หมดความพยายามทุกที เพราะ ออกกำลังกายก็เหนื่อย ลดอาหารก็หิว ไม่มีความพยายาม

จนกระทั่ง วันหนึ่ง ก็มีคนคนนึงบอกว่า..ถ้าคุณลดน้ำหนักได้ ฉัน.....จะ.......?.....กับคุณ มันทำให้ผมคิดว่าต้องทำมันให้ได้ เพื่อคุณ และสิ่งที่ผมจะบอกนั่นก็คือ คุณต้องมีแรงจูงใจอะไรสักอย่าง ตั้งความหวังกับมัน คิดเชิงบวกเสมอว่า ฉันต้องทำ...ได้...ไ ด้....... แล้วก็ได้ ในที่สุด ผมใช้เวลา 2 เดือน สามารถลดน้ำหนักได้ 14 กิโลกรัม.
ทุกคนอาจไม่ต้องแบบหักโหมเท่าผม แต่ผมเชื่อว่า ทุกคนทำได้ครับ สู้สู้ครับ

วิธีลดความอ้วนแบบธรรมชาติ

1.ไม่กินข้าวมื้อเย็น หรือทานอาหารพวกผักและผลไม้แทน สำหรับมื้อเย็นแล้วให้หลีกเลี่ยงการทานข้าวที่มากเกินไป และหลีกเลี่ยงอาหารจำพวกแป้ง (โดยเฉพาะข้าวไม่ควรทานมากเกินไป) ไขมัน อาหารทอดทั้งหลายนี้ต้องเลี่ยงเลย ควรทานเป็นผลไม้ สลัดผัก อาหารจำพวกเส้นใย น้ำผลไม้ โดนเฉพาะ เบียร์ น้ำขวด ของหวาน ต่างๆ ลองลดสัก 1 สัปดา เห็นผลครับ


2. ในหนึ่งสัปดาห์ควรเลือก 1 วัน สำหรับงดเนื้อสัตว์ ไขมัน ข้าว แล้วกินแต่ผลไม้และธัญพืชอย่างเดียวทั้งวัน เช่น มะละกอสุก กล้วย แอบเปิล ถั่วต่างๆ เป็นต้น ไม่ควรทานผลไม้ที่ให้แคลลอรี่สูงหรือพลังงานสูง เช่น ทุเรียน


3.อาหารทุกมื้อพยายามเคี้ยวอาหารช้า ๆ การที่เราทานอาหารด้วยความรวดเร็วจะทำให้เรากินได้มากเกินพิกัดโดยที่ไม่รู้ตัว ที่สำคัญสาวๆ จำไว้ให้ดีว่าไม่ควรทานอาหารหลัง 4 โมงเย็น หรือช่วงกลางคืนดึกดื่นเป็นอันขาด เพราะช่วงนี้แหละที่ทำให้เราต้องเจอกับปัญหาอ้วน ๆๆๆ ควรทานอาหารให้พอเหมาะ โดยเฉพาะข้าวอย่าทานมาก ควรทานผักให้มากๆ แทน หากรู้สึกไม่อิ่มให้ทาน น้ำผลไม้หรือ ควรหันมาทานผลไม้ ธัญพืช เพิ่มเติมเข้าไป แต่อย่าลืมนะค่ะว่าเราต้องทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ แต่เราไม่จำเป็นต้องทานในปริมาณมากๆ เดี๋ยวจะอ้วนเอา(แนะนำ กล้วยน้ำหว้า ครับ มีติดบ้านไว้ตลอด เวลาหิวกินได้ตลอดครับ สามารถป้องกันกระเพาะได้เป็นอย่างดีครับ)


4. หมั่นดื่มน้ำผลไม้ก่อนทานอาหารหรือถ้าไมมีเป็นน้ำ ก่อนทานอาหาร ควรดื่มน้ำผลไม้ หรือ ผลไม้สดก็ได้ เช่น น้ำส้ม เพราะวิตามินที่มีอยู่ในน้ำส้มจะช่วยดูดซึมสารอาหารที่สำคัญ น้ำองุ่น ในองุ่นนั้นมีแร่ธาตุเสริมให้เนื้อเยื่อแข็งแกร่งและสดใสเพราะอุดมไปด้วยวิตามินซี ซึ่งการดื่มน้ำผลไม้หรือผลไม้ก่อนทานอาหารจะช่วยให้เราอิ่มอาหารเร็วขึ้น ทำให้ไม่ต้องทานอาหารเยอะเกินความจำเป็น ช่วยให้ไม่อ้วน


5. การเคลื่อนไหวร่างกายหรือการออกำลังกาย พยายามหาเวลาหรือกิจกรรมที่ทำให้ร่างกายได้เคลื่อนไหวจนได้เหงื่อ เช่นการออกกำลังกาย เล่นกีฬา การทำงานบ้าน เป็นต้น ช่วงแรกเริ่มต้นวันละประมาณครึ่งชั่วโมงก็ยังดี แล้วพอร่างกายเริ่มปรับเข้าที่ก็เพิ่มการออกกำลังกายเป็นวันละ 1 ชั่วโมง จะช่วยเผาผลาญไขมันได้ดี แถมได้สุขภาพที่แข็งแรงอีกด้วย ซึ่งการออกกำลังกายถือเป็นอีกสูตรสำเร็จที่ทำให้ผู้ที่ต้องการลดความอ้วนสามารถทำฝันเป็นจริงได้
อ่านบทความทั้งหมด

วันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

เกี่ยวกับวินัย... โดยสมคิด ลวางกูร



สมัยผมเป็นผู้บริหารสนามบิน...อยู่ต่างประเทศ...
เจ้านายฝรั่ง...เดินมาชี้หน้าด่าผมว่า...
มึงเป็นผู้บริหารที่เฮงซวยมาก...
ผมตกใจ...แต่ก็หัวเราะ...แล้วก็สวนคำทันทีทันใดว่า...
มึงผิดแล้ว...นี่แสดงว่ามึงไม่รู้จักกู...
ทุกคนรู้ว่า......
กูคือผู้บริหารที่เก่งที่สุด...
ประสบความสำเร็จสูงที่สุด...
ในรุ่นเดียวกัน...ที่เข้ามาทำงานพร้อมกัน...

มันบอกว่า...
กูไม่รู้ว่า...มึงสำเร็จยิ่งใหญ่ขนาดไหน...
แต่ในสายตากู...มึงคือผู้บริหารที่เฮงซวยที่สุด...
เฮงซวยยังไง...? ไหนว่ามาซิ...
มึงเป็นผู้บริหาร...ที่ขาดวินัย...วินัยอ่อนมาก...

นี่ถ้าเป็นระเบียบในสนามรบ...
ทหารที่ขาดวินัย...เขาจะเอาไปยิงทิ้ง...
ขืนเสี่ยงใช้ทหารประเภทนี้...จะทำให้กองทัพเสียหาย...
และพ่ายแพ้ในสงครามได้...

ผมฟังแล้วตกใจ...
แสดงว่าคนที่ขาดวินัย...เฮงซวย...และไร้ค่ามาก...
ผมก็ถามต่อว่า...ผมขาดวินัยยังไง..?
มันบอกว่า...
นี่เป็นจุดอ่อนของผู้บริหารไทยทุกคน...
ที่มันมองเห็นคือ...เวลาที่ลูกน้องทำผิด...
ยืนดูเฉย...ไม่เรียกมาว่ากล่าวตักเตือน...
ผมบอกว่า...มันเป็นความผิดเล็กน้อย...หยุมหยิมเกินไป...
มันบอกว่า...วันนี้เป็นความผิดเล็กน้อย...
แต่พรุ่งนี้...มันจะใหญ่ขึ้น...
และถ้ายังไม่เตือน...
เดือนหน้ามันจะใหญ่ขึ้น 30 เท่า...

และถ้ายังไม่เตือน...
อีก 3 เดือน...มันจะใหญ่มาก...เป็น 100 เท่า...

จนทำให้หลายคนเดือดร้อน...รวมทั้งมึงด้วย...
และเมื่อถึงวันนั้น...มีคนไปเตือน...ไปลงโทษ...ไอ้คนทำผิด...
มันจะถามว่า...
กูทำผิดอะไร...
กูทำแบบนี้มา 3 เดือนแล้ว...ไม่เห็นมีใครว่าอะไร...
มึงเป็นใคร...มาเสือกอะไรเรื่องของกู...เจ้านายกูยังไม่ยุ่ง

แล้วหลังจากนั้น...ก็ไม่มีใครว่ากล่าวตักเตือนมันได้...
จนกว่าจะเกิดเหตุใหญ่โต...จนควบคุมไม่อยู่...
เดือดร้อนกันทั้งบริษัท...หายนะกันทั่วทั้งประเทศ...
ผมฟังแล้วยิ้มๆ...นึกเถียงในใจว่า...
เหตุการณ์แบบนี้...ไม่มีทางเกิดขึ้นกับกูหรอก...เพราะกูเก่ง...

หลังจากนั้นไม่นาน...ประมาณ 3 หรือ 4 เดือน...
ลูกน้องของผม...ขับรถ...ชนเครื่องบิน...
นำหายนะมาสู่ผม...และบริษัท...ชนิดที่รับมือไม่ทัน...
สาเหตุเป็นเพราะ...
ขาดวินัย...
เหมือนกับที่เจ้านายฝรั่ง...เคยด่าผมไว้...เปี๊ยบเลย...

เรื่องมีอยู่ว่า...
ทุกเช้าก่อนนำรถออกไปทำงานในสนามบิน...
มันต้องเช็คความพร้อมของรถ 25 รายการ...
ตาม Check list ที่เขาทำไว้...
แต่คนไทย...มันเก่งมาก... 25 ข้อ...เช็คเสร็จภายใน 1 นาที...
ทำเครื่องหมายถูก...ทั้ง 25 ข้อ...ภายใน 1 นาที...
โดยไม่ต้องดูรถ...แล้วเซ็นชื่อกำกับ...แสดงว่า...เช็คแล้ว...

ไม่ต้องเช็คหรอกเจ้านาย...เช็คทำไมทุกวัน...เมื่อวานก็เช็คแล้ว...
เมื่อคืนนี้...รอบกลางคืนก็เช็คแล้ว...รถไม่มีปัญหาหรอก...

ทำไมถึงต้องเช็คทุกวัน...มันบ่อยเกินความจำเป็น...
ผมก็พยักหน้าเห็นด้วย...

พอรถชนเครื่องบิน...ก็ทำการสอบสวน...
ปรากฏว่า...รถคันนี้...ไม่ได้เช็คสภาพนานกว่า 6 เดือนแล้ว...
แต่มันมีบันทึกว่า...เช็ควันละ 2 ครั้งทุกวัน...ตลอด 6 เดือนเต็ม...
เพราะมันใช้วิธีเช็คแบบเดียวกัน...คือขีดเฉพาะ Check list...
แต่ไม่ได้ตรวจสภาพรถจริงๆ...

จากเหตุการณ์วันนั้น...ผู้เกี่ยวข้องถูกลงโทษกันถ้วนหน้า...
ผมในฐานะผู้บริหาร...ที่รับผิดชอบในวันนั้น...
เกือบถูกไล่ออก...
ดีแต่ว่า...กรรมเก่าที่ทำไว้ดี...
คือประวัติและผลงานของผมยอดเยี่ยม...มาตลอด...
เลยช่วยให้รอดไปได้่ครั้งหนึ่ง...
คนไทยทั้งหมด...ที่ทำงานที่นั่น...
เสียศักดิ์ศรี...อย่างรุนแรง...

พวกฝรั่งมองคนไทย...ด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม...
ว่าเป็นพวก...ไม่ได้เรื่อง...เฮงซวย...ไม่มีวินัย...
ทำผิดคนเดียว...
ถูกประนามกันทั่วประเทศ...

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา...
ผมให้ความสำคัญของเรื่องวินัย...เป็นอันดับหนึ่ง...

เห็นใครทำผิดกฏระเบียบ...ผิดวินัย...ผมเข้าไปเตือน...ทันที...
โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย...
ไม่ว่าความผิดที่ทำนั้น...มันจะเล็กน้อยแค่ไหน...
เพื่อยุติการทำผิด...ให้หยุดอยู่แค่ตรงนั้น...ไม่ขยายวงต่อ...
และได้รับการแก้ไขให้ถูกต้อง...ในการทำครั้งต่อไป...

แล้วผมก็นำบทเรียนที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิตนี้...
มาเป็นแบบอย่าง...ในการเลี้ยงลูก...
ไม่ว่าลูกจะทำผิดเรื่องเล็กน้อยแค่ไหน...
ผมจะรีบเข้าไปเตือน...และกำชับว่า...
อย่าทำแบบนี้อีกเด็ดขาดนะลูก...
ทำให้ลูก...เป็นคนที่มีวินัยเข้มข้น...
อะไรไม่ดี...อะไรไม่ถูกต้อง...ไม่ทำ...
ผู้คนที่อยู่รอบข้าง...ไม่มีใครเดือดร้อน...
ชีวิตครอบครัวมีความสุขสมบูรณ์...

สมคิด ลวางกูร คือ ใครไปอ่านได้เลย


อ่านบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2556

Safety Serie: #2 อะไรต้องมาก่อนกันแน่? ทัศนคติหรือพฤติกรรม???



เมื่อเราพูดถึงการสร้างให้เกิดการกระทำที่ปลอดภัยแล้ว ตามกระบวนการการรับรู้และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เราทราบว่า K-Knowledge มาก่อนคำว่า A-Attitude และ Attitude หรือทัศนคติที่ถูกต้องจะทำให้เกิดพฤติกรรม P-Practice ที่ปลอดภัย อย่างไรก็ตามยังคงมีคำถามชวนสงสัยที่ถามกันอยู่เสมอว่า "อะไรต้องมาก่อนกันแน่? ทัศนคติหรือพฤติกรรม??" 

ซึ่งจริงๆ แล้ว คำถามนี้คือต้องการจะถามว่า "เราต้องเปลี่ยนอะไรก่อน ระหว่างทัศนคติและพฤติกรรม?" ในกลุ่มของเราผู้ซึ่งเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องในการสร้างการกระทำที่ปลอดภัยให้เกิดขึ้นในองค์กรก็ต้องการที่จะทราบกันว่า ในแนวทางวิธีการที่ถูกต้องของการสร้างการกระทำที่ปลอดภัยแล้ว เราต้องสร้างให้เกิดทัศนคติที่คำนึงถึงความปลอดภัยก่อนหรือพฤติกรรมที่ปลอดภัยก่อนกันแน่ 

เมื่อเราดูจากหลักการแนวคิดการให้ความรู้ที่เราทราบโดยทั่วกันมานานแล้วนั้น จะเห็นว่าแนวคิดดังกล่าวนั้นเชื่อว่า ต้องเปลี่ยน "ทัศนคติ" ก่อน ซึ่งแนวคิดที่ว่านี้เชื่อว่าเมื่อเปลี่ยน "ทัศนคติ" หรือ สิ่งที่อยู่ภายในใจคนเราที่เป็นนามธรรมได้แล้ว เราก็จะสามารถทำให้พฤติกรรมที่แสดงออกมาเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งมีผลงานวิจัยหรือบทความมากมายที่นักวิชาการหลายท่านในกลุ่มนี้ได้แสดงถึงทฤษฎี หลักการ และเหตุผลของความจำเป็นที่เราควรจะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่อยู่ภายในใจของคนเราก่อน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่อยู่ในใจของเรานั้น ได้แก่ การเปลี่ยนเจตนา ความเชื่อ การรับรู้ หรือที่เรียกกันว่า "การเปลี่ยนทัศนคติ"

อย่างไรก็ตามยังมีแนวคิดของการให้ความรู้ที่เรียกว่าการจัดการอบรมที่จะมุ่งเน้นเปลี่ยนพฤติกรรมก่อนเปลี่ยนทัศนคติ การฝึกอบรมที่เชื่อว่าควรเปลี่ยนพฤติกรรมก่อนนั้นจะจัดให้มีการแสดงบทบาทสมมติและการให้ผู้เข้ารับการอบรมได้เห็นถึงผลกระทบย้อนกลับของพฤติกรรมต่างๆ  ที่แสดงออกไป ทำให้ผู้ที่เข้ารับการฝึกอบรมได้เรียนรู้ถึงพฤติกรรมเป้าหมายที่ควรปฏิบัติ ด้วยเหตุนี้ ซึ่งวิธีการฝึกอบรมลักษณะนี้จะเน้นเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม โดยเชื่อว่าเมื่อสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่แสดงออกได้จะสามารถทำให้คนๆ นั้น มีความคิดที่เปลี่ยนไปได้ โดยหลักการนี้อยู่บนพื้นฐานที่เชื่อว่าถ้าหากว่าคนเรามีพฤติกรรมการแสดงออกในลักษณะใดลักษณะหนึ่งแล้ว บุคคลผู้นั้นก็จะมีการปรับเปลี่ยนความคิด "ภายใน" ของตนเอง (ได้แก่ เจตนา ความเชื่อ การรับรู้ และทัศนคติ) ให้สอดคล้องตรงกันกับพฤติกรรมที่ตนแสดงออกมาในที่สุด

คำที่สำคัญในเรื่องที่เราคุยกันนี้ คือคำว่า "ความสอดคล้อง" ซึ่งเมื่อเรามองหลักการแนวคิดของการให้การศึกษาและการจัดการฝึกอบรมแล้วจะเห็นว่าทั้งสองวิธีการนี้ (การให้ความรู้และการฝึกอบรม) ก็เป็นวิธีการสร้างการกระทำที่ปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพทั้งคู่เนื่องจากพื้นฐานวิสัยของคนเรานั้นมีความต้องการที่จะให้ความคิดและการแสดงออกมาความสอดคล้องกันมากที่สุด ดังนั้น ไม่ว่า ทัศนคติหรือพฤติกรรมที่ปลอดภัย อะไรจะเกิดขึ้นก่อนเกิดขึ้นหลังก็ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญถ้าหาก

ว่าเราสามารถเดินทางไปให้ถึงเป้าหมายคือมีการกระทำที่ปลอดภัยได้ แต่ข้อแนะนำที่อยากจะฝากไว้ คือว่า เราต้องตั้งเป้าหมายพฤติกรรมที่เราต้องการขึ้นมาก่อน เพราะว่าพฤติกรรมเป็นสิ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ง่ายกว่าทัศนคติ และจริงๆ แล้ว นักจิตวิทยาเองนั้นทราบวิธีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมมากกว่าทราบวิธีการเปลี่ยนแปลงทัศนคติ ทั้งนี้เป็นเพราะว่าพฤติกรรมเป็นสิ่งที่สามารถวัดผลในเชิงของเป้าหมายได้และพฤติกรรมมีความน่าเชื่อถือมากกว่าทัศนคติ ด้วยเหตุนี้เราจึงพบว่ามีผลการศึกษาและกระบวนการต่างๆ มากมายที่ใช้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของบุคลากรในองค์กร และมีการแก้ไขปรับปรุงพฤติกรรมเป็นระยะๆ โดยอาศัยกระบวนการการสังเกตการณ์พฤติกรรม



ในบางครั้งพฤติกรรมเริ่มต้นอาจเป็นเพียงคำพูดหรือคำสัญญาร่วมกันด้วยวาจาก็ได้ จากนั้นก็จะเกิดพฤติกรรมที่ควรปฏิบัติตามมา (และตามมาด้วยทัศนคติ) ตามหลักการเรื่องความสอดคล้องของพฤติกรรมและทัศนคติที่ได้กล่าวถึงไปแล้วในช่วงต้นนั้น ในตอนนี้เราลองมาทำความเข้าใจกับหลักการความสอดคล้องที่ว่าในเชิงลึกให้มากยิ่งขึ้นกัน และขอให้ลองคิดตามไปด้วยว่าหลักการความสอดคล้องนี้สามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและทัศนคติของคนเราได้อย่างไร โดยรายละเอียดที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ เป็น วิธีการ 3 วิธีการที่จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและทัศนคติตามหลักการความสอดคล้องดังกล่าว

หลักการความสอดคล้อง
นักจิตวิทยาหลายท่านได้กล่าวว่าหลักการความสอดคล้องนี้เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อความรู้สึกนึกคิดภายในและเกี่ยวข้องโดยตรงกับพฤติกรรมการแสดงออกของเรา นักจิตวิทยาพบว่าคนเรามีแรงจูงใจในตัวเองที่จะพยายามทำให้ความคิดและพฤติกรรมการแสดงออกของตนเองมีความสอดคล้องกัน พิสูจน์ได้ง่ายๆ จากที่ว่า ในการที่เราจะต้องตัดสินใจเลือกปฏิบัติสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้น เราจะต้องเผชิญกับแรงกดดันทั้งจากตัวเองและจากสังคมรอบข้างเพื่อปฏิบัติให้สอดคล้องกับสิ่งที่ได้สัญญาร่วมกันเอาไว้ก่อนหน้า โดยเราจะได้รับแรงกดดันดังกล่าวนี้จาก 3 แรงกดดันพื้นฐาน ได้แก่ (1) แรงกดดันภายในตัวเองที่จะต้องพยายามปฏิบัติให้สอดคล้องตรงกับค่านิยมของสังคม (2) แรงกดดันอันเกิดจากการได้รับผลกระโยชน์บางอย่างจากการปฏิบัติที่สอดคล้อง และ (3) แรงกดดกันจากการรับรู้ผลของการปรับตัวให้สอดคล้องกับสังคมที่ผ่านๆ มา ทำให้เราตัดสินใจและเลือกที่จะทำตัวให้สอดคล้องได้ง่ายและเร็วขึ้น ด้วยแรงกดดันเหล่านี้ นักจิตวิทยาพบว่าเมื่อคนเราต้องเลือกที่จะปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง แทนที่คนเราจะสนใจในข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดในสิ่งที่ต้องปฏิบัตินั้นๆ คนเรากลับเลือกที่จะจำเฉพาะคำสัญญาหรือข้กตลกลงร่วมกันที่ได้ทำไปแล้วและเลือกแสดงพฤติกรรมที่สอดคล้องตรงกับคำสัญญาหรือข้อตกลงที่ได้ทำร่วมกันเหล่านั้น

ข้อตกลงที่ตกลงด้วยความสมัครใจในที่สาธารณะ
นักจิตวิทยาพบว่า เมื่อคนเราลงชื่อในเอกสารสัญญาหรือคำปฏิญาณใดๆแล้ว ก็หมายความว่าเราได้ทำสัญญาร่วมกันที่จะปฏิบัติในลักษณะใดๆที่กำหนดไว้ ซึ่งต่อมาภายหลังเมื่อเวลาผ่านเลยจากกำหนดระยะเวลาที่ตกลงกันไว้แล้ว คนเราก็ยังคงปฏิบัติในลักษณะนั้นๆให้มีความสอดคล้องตามที่ได้สัญญาร่วมกันเอาไว้ จากหลักการดังกล่าวนี้จะเห็นว่าผู้บริหารให้เกิดความปลอดภัยในองค์กรสามารถนำหลักการที่ว่านี้ไปใช้ในการเพิ่มจำนวนของพฤติกรรมด้านความปลอดภัยให้มากขึ้นได้ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อพูดคุยเกี่ยวกับขั้นตอนการปฏิบัติงานที่ปลอดภัยในงานหนึ่งๆเสร็จแล้ว ผู้ฟังก็จะถูกร้องขอให้มีการสัญญาหรือตกลงร่วมกันที่จะปฏิบัติบางอย่าง ทีนี้สิ่งที่สำคัญคือคุณควรรู้ว่า คำสัญญาหรือข้อตกลงร่วมกันแบบไหนล่ะที่คุณควรขอ??

คำสัญญาหรือข้อตกลงร่วมกันจะมีประสิทธิภาพมากที่สุด (มีอิทธพลมาก) เมื่อเป็นคำสัญญาหรือข้อตกลงร่วมกันในแบบที่เป็นสาธารณะ (ให้พนักงานพูดข้อตกลงที่จะทำในที่ที่มีพนักงานจำนวนมาก) โดยลักษณะการตกลงร่วมกันมีบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นและที่สำคัญต้องเป็นคำสัญญาร่วมกันที่เกิดขึ้นด้วยความสมัครใจ ไม่ใช่เกิดขึ้นจากการบังคับ ดังนั้นเมื่อคุณจะให้พนักงานพูดสัญญาหรือตกลงร่วมกันที่จะมีพฤติกรรมที่ปลอดภัยควรทำในลักษณะที่เป็นสาธารณะมากกว่าการสัญญาท่ามกลางคนไม่กี่คน และที่สำคัญ ควรให้พนักงานลงชื่อลงในเอกสารหรือมีการประกาศรายชื่อผู้ที่ทำการสัญญาร่วมกันนี้ ซึ่งจะมีประสิทธิภาพที่ดีกว่าเพียงแค่การถามและให้ยกมือตอบเท่านั้น ทั้งนี้สิ่งสำคัญอีกอย่างก็คือว่าต้องทำให้ผู้ที่ตกลงที่จะปฏิบัติตามขั้นตอนการปฏิบัติงานใดๆ นั้นตกลงด้วยความสมัครใจ ในความเป็นจริงนั้นการตัดสินใจในการทำสัญญาร่วมกันในที่สาธารณะอาจได้รับผลกระทบโดยตรงอย่างมากจากปัจจัยภายนอกต่างๆ เช่น อาจจะมีแรงกดดันจากเพื่อนร่วมงานว่าไม่ควรตกลงอย่างนั้น แต่อย่างไรก็ดีถ้าหากว่าคนเรามีความคิดภายในตนเองอย่างชัดเจนแล้วว่าได้ตัดสินใจลงไปแล้วก็ค่อนข้างชัดเจนว่าจะมีการปฏิบัติตามที่ได้ทำสัญญาร่วมกันไว้ (โดยที่ปัจจัยหรือแรงกดดันภายนอกดังกล่าวอาจไม่มีผลอะไร) สิ่งสำคัญที่คุณควรคำนึงถึงไว้เสมอก็คือจะทำอย่างไรให้พนักงานตัดสินใจกล่าวข้อตกลงโดยไม่มีความรู้สึกว่าถูกบังคับซึ่งถ้าคุณทำได้ คุณจะประสบความเร็จและพบว่ามีการปฏิบัติตามพฤติกรรมที่ปลอดภัยที่คุณต้องการได้โดยได้รับความร่วมมือจากทุกๆ คน

วิธีการที่หนึ่ง เทคนิคตกกระไดพลอยโจน 
วิธีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและทัศนคติวิธีนี้มีพื้นฐานโดยตรงมาจากหลักการความสอดคล้องที่ว่าคนเราพยายามที่จะทำให้เกิดความสอดคล้องอยู่เสมอ ดังนั้นคนที่ปฏิบัติตามคำขอร้องเล็กๆ น้อยๆ มักจะต้องปฏิบัติตามคำขอร้องอื่นๆ ที่มากขึ้นในภายหลัง ยกตัวอย่างเช่น เมื่อใครตกลงที่จะทำหน้าที่เป็นหนึ่งในคณะกรรมการความปลอดภัยแล้ว เมื่อมีการประชุมเรื่องความปลอดภัยและอาชีวอนามัยครั้งสำคัญๆ ครั้งต่อๆ มา บุคคลผู้นั้นก็จะมีความตั้งใจมากขึ้นในการนำเสนอเรื่องราวต่างๆ ด้านความปลอดภัยให้แก่ผู้เข้าร่วมการประชุมได้รับทราบ ทั้งนี้จากการศึกษาวิจัยพบว่ามีการใช้หลักการความสอดคล้องนี้ในการประชาสัมพันธ์สินค้าลดราคา การบริจาคเงินเพื่อการกุศลและการขอรับบริจาคโลหิตและพบว่าประสบผลสำเร็จอย่างดี

วิธีการสร้างข้อตกลงร่วมโดยให้ลงชื่อในเอกสารคำปฏิญานที่เล่าไปแล้วนั้นก็ใช้หลักการเดียวกันนี้ และนักจิตวิทยาพบว่าหลังจากที่บุคคลได้ลงชื่อลงในเอกสารที่เป็นการสัญญาว่าจะมีพฤติกรรมใดๆในช่วงระยะเวลาที่ได้กำหนดไว้ (เช่น "คาดเข็มขัดนิรภัยเมื่อขับขี่ยานพาหนะเป็นระยะเวลาหนึ่งเดือน" "ใช้ PPE ให้เหมาะสมเป็นระยะเวลา 2 เดือน" หรือ "เดินหลังเส้นเหลืองเป็นระยะเวลาจากนี้ไปจนถึงสิ้นปี") บุคคลเหล่านั้นก็จะมีการปฏิบัติพฤติกรรมที่ปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น

วิธีการ "ตกกระไดพลอยโจน" นี้ จะมีประสิทธิภาพในการเพิ่มพฤติกรรมที่ปลอดภัยให้มากขึ้นก็เฉพาะเมื่อบุคคลปฏิบัติตามคำร้องเล็กๆ น้อยๆ ในตอนต้นเท่านั้น ในเหตุการณ์จริงนั้นถ้าหาก
ว่าบุคคลมีการ "ปฏิเสธ" ต่อคำร้องในตอนต้นดังกล่าว บุคคลนั้นๆ ก็มักจะปฏิเสธคำร้องที่สำคัญๆ ที่เกิดขึ้นตามมาภายหลัง ด้วยเหตุนี้ ถ้าหากว่าเรามีการขอร้องให้พนักงานปฏิบัติสิ่งใดๆ แล้วได้รับคำตอบ "ปฏิเสธ" ก็แสดงว่าคำขอร้องของเราไม่ได้เป็นคำขอร้องเล็กๆ น้อยๆ อย่างเพียงพอ (เป็นคำขอร้องที่มากเกินไป) ซึ่งในกรณีนี้ เราจะต้องกลับมาพิจารณาทบทวนคำร้องนั้นให้มีน้ำหนักน้อยลงมากว่าเดิม

การพูดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อมา ในภายหลัง
วิธีการ "พูดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อมาในภายหลัง" นี้ อาจดูได้จากการที่เมื่อบุคคลได้รับการเชิญชวนให้ตัดสินใจหรือทำสัญญาร่วมกัน (เช่น เข้าเป็นส่วนหนึ่งของคณะกรรมการความปลอดภัย) โดยเชิญชวนว่าการตัดสินใจนั้นๆ จะมีปัญหาตามมาที่น้อยมาก (เช่น การประชุมด้านความปลอดภัยในแต่ละเดือนใช้เวลาไม่มากนักและไม่ยุ่งยากแต่อย่างใด) จากนั้นเมื่อบุคคลมีการตัดสินใจเข้าร่วมในคณะกรรมการแล้ว (มีการเข้าร่วมการประชุมด้านความปลอดภัยใน 2 ครั้งแรก) จึงค่อยกล่าวถึงสิ่งที่จะต้องขอความร่วมมือเพิ่มเติมขึ้นมา (จะต้องมีการจัดประชุมมากขึ้นเพื่อพิจารณาเกี่ยวกับความปลอดภัยกรณีพิเศษต่างๆ) ซึ่งจากพื้นฐานหลักการความสอดคล้องที่ได้กล่าวไปแล้ว นักจิตวิทยาพบวา ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือบุคคลผู้นั้นก็จะมีความตั้งใจในการมีส่วนร่วมต่อไป (ยังคงเป็นสมาชิกที่ดีคนหนึ่งของคณะกรรมการ)

เมื่อประมาณ 20 ปีก่อน นักวิจัยได้แสดงให้เห็นเป็นครั้งแรกถึงอิทธิพลที่สำคัญของวิธีการนี้ที่มีต่อ "กระบวนการทางความคิด" โดยได้มีการเชิญชวนให้เด็กนักเรียนมาลงทะเบียนเข้าร่วมการทดลองในช่วง 7 โมงเช้า โดยในช่วงแรกที่มีการติดต่อไปทางโทรศัพท์เพื่อเชิญชวนนั้น ผู้สอบถามได้บอกแก่นักเรียนว่าครึ่งหนึ่งของวิชาทั้งหมดจะเริ่มต้นเรียนที่ 7 โมงเช้า ซึ่งมีเด็กนักเรียนตอบรับเข้าร่วมกิจกรรมนี้เพียง 24% ของนักเรียนที่สอบถามไปทั้งหมด ต่อมาในการโทรศัพท์ติดต่อเพื่อเชิญชวนครั้งหลัง ผู้สอบถามจะถามนักเรียนก่อนเฉพาะคำถามว่าต้องการเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้นี้หรือไม่ มีนักเรียนตอบรับกลับมาที่ 56% ของนักเรียนทั้งหมด จากนั้นผู้สอบถามได้กล่าวให้ข้อมูลเพิ่มเติมตามวิธีการ "พูดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อมาในภายหลัง" ว่ากิจกรรมการเรียนรู้นี้จะเริ่ม 7 โมงเช้า และบอกไปว่า นักเรียนสามารถเปลี่ยนใจไม่เข้าเรียนก็ได้ แต่ก็ไม่มีนักเรียนคนใดเปลี่ยนใจเลย ยิ่งไปกว่านี้ ประมาณ 95% ของนักเรียนทั้งหมดก็มาถึงตามเวลานัดหมายที่ 7 โมงเช้า และหลังจากที่มีการทำสัญญาร่วมกันเบื้องต้นที่จะเข้าร่วมกิจกรรมนี้แล้ว ก็มีการปฏิบัติเช่นนี้สำหรับในทุกวิชาและมีการทำสัญญาร่วมกันนี้ต่อไป กระบวนการนี้จะเหมือนกับวิธี "ตกกระไดพลอยโจน" นั่นคือ จะมีคำขอร้องที่มากขึ้นหลังจากที่บุคคลเป้าหมายได้ตกลงยินยอมกับคำขอร้องเบื้องต้นเล็กๆ น้อยๆแล้ว อย่างไรก็ดีความแตกต่างสำคัญของ 2 วิธีการนี้ก็คือ ในวิธีการ "พูดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อมาในภายหลัง" นี้จะมีการตัดสินใจเบื้องต้นเพียงครั้งเดียวเท่านั้น และจากนั้นจะมีการบอกให้รู้ถึงปัญหาหรือข้อเสียอื่นๆ ขึ้นมาภายหลังจากการทำสัญญาร่วมกันเบื้องต้นแล้ว ซึ่งพบว่าวิธีการดังกล่าวนี้มีใช้กันในธุรกิจขายรถยนต์ โดยเมื่อลูกค้าตกลงที่จะซื้อรถยนต์คันหนึ่งในราคาพิเศษแล้ว (เช่น สามารถซื้อได้ในราคาที่ถูกกว่าเจ้าอื่นถึง 30,000 บาท) ก็จะมีการเพิ่มราคาของรถยนต์คันนั้นให้สูงขึ้นมาด้วยเหตุผลต่างๆ เช่น หัวหน้าของพนักงานขายปฏิเสธไม่อนุมัติการจำหน่าย ของแถมบางรายการถูกยกเลิกเมื่อมีการจำหน่ายในราคาพิเศษ หรือผู้จัดการฝ่ายขายอาจพิจารณาลดมูลค่าของรถยนต์คันเก่าที่ลูกค้านำมาเทิร์น เป็นต้น โดยปกติลูกค้าที่ตกลงที่จะซื้อรถยนต์ในราคาพิเศษนี้จะไม่เปลี่ยนใจไม่ว่าราคาของรถยนต์จะเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากคนเรามีความรู้สึกว่าการเปลี่ยนใจไม่ซื้อนั้นอาจเป็นการแสดงให้เห็นว่าไม่กระทำตามที่ได้มีการตกลงกันไว้แล้ว (แม้ว่าสัญญาที่ได้ตกลงกันไว้แล้วนั้นจะเป็นเพียงสัญญาปากเปล่าก็ตาม) และเมื่อเป็นเช่นนี้โดยส่วนใหญ่ ลูกค้าก็จะหาเหตุผลต่างๆ เพื่อมาสนับสนุนการตัดสินใจซื้อของตนเอง (ที่ได้ตัดสินใจไปแล้ว) และยอมรับราคารถยนต์ที่เพิ่มสูงขึ้น

อย่ายอมตกอยู่ในภาวะจำยอม
วิธีการ "พูดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อมาในภายหลัง" ที่เล่าให้ฟังไปนี้ ทำให้คุณเห็นประเด็นสำคัญเกี่ยวกับการใช้วิธีการต่างๆ ในการเพิ่มพฤติกรรมปลอดภัย ทั้งนี้แม้ว่าวิธีการ "พูดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อมาในภายหลัง" นี้มักจะใช้ในการเพิ่มพฤติกรรมที่พึงปฏิบัติก็ตาม คุณอาจสงสัยและตั้งคำถามกับตัวเองเหมือนกันว่าแล้วเราควรจะรู้สึกกับผู้ที่ทำหน้าที่เปลี่ยนแปลง (คนที่ใช้วิธีการนี้) อย่างไร ถ้าหากว่าเราทราบว่าบุคคลเหล่านั้นดำเนินการด้วยวิธีการทางจิตวิทยาต่างๆ นี้ โดยตั้งใจเพื่อให้เรามีการทำสัญญาร่วมกันและมีพฤติกรรมปลอดภัย เพราะในบางขณะเราควรที่จะต้องระวังตัวเองจากคนที่ใช้วิธีการนี้ด้วยความต้องการที่จะได้เงินจากเรามากขึ้นด้วย?? ยกตัวอย่างเช่น คุณจะไว้วางใจ บริกรที่นำเมนูไวน์ราคาแพงมาเสนอให้เราหลังจากที่คุณได้นั่งและเลือกจากเมนูอาหารแล้วหรือไม่?? คำตอบที่ได้จากคำถามนี้ก็ขึ้นอยู่กับความเชื่อของคุณว่า หากว่าคุณได้ตกลงใจรับข้อเสนอหนึ่งๆ แล้วจะเป็นการจงใจให้คุณจ่ายเงินซื้อเพิ่มหรือทำให้คุณสูญเสียผลประโยชน์บางอย่างหรือไม่

ในทำนองเดียวกัน เราอาจไม่ชอบหรือไม่เชื่อใจพนักงานขายรถยนต์ที่เพิ่มราคารถยนต์ที่ลงโฆษณาให้สูงขึ้น เว้นแต่ว่าเราจะสงสัยว่าความแตกต่างในราคานั้นสร้างขึ้นมาโดยตั้งใจเพื่อเพิ่มกำไรให้มากขึ้นเท่านั้น ซึ่งอาจพูดได้ว่าความไว้วางใจ ความชื่นชมหรือความนับถือของพนักงานที่มีต่อบุคคลหนึ่งๆจะมีลดน้อยลงอย่างมาก ถ้าหากว่าพนักงานมีความเชื่อว่าบุคคลนั้นๆ ได้ใช้วิธีการเชิญชวนอย่างตั้งใจเพื่อหลอกลวงให้มีการเปลี่ยนแปลงทัศนคติหรือพฤติกรรม ซึ่งแน่นอนว่าอาจไม่มีความเสียหายใดๆ ถ้าหากว่าผลลัพธ์มีความชัดเจนว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับพนักงาน (ประโยชน์ด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย) และพนักงานเองก็ได้ให้ความสำคัญกับประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นนั้น



สรุป

จากหลักการความสอดคล้องข้างต้นจะเห็นได้ว่าจะเป็นทัศนคติหรือพฤติกรรมที่ถูกเปลี่ยน
แปลงก่อนก็ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญ แต่ประเด็นสำคัญก็คือวิธีการต่างๆ ที่มีอยู่ในองค์กรนั้นมีอิทธิพลต่อทัศนคติหรือพฤติกรรมเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้นหรือมีผลต่อทั้งทัศนคติและพฤติกรรม วิธีการทั้ง 3 วิธีการที่เล่ามาทั้งหมดนี้จัดเป็นวิธีการที่เน้นเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม อย่างไรก็ตามหากมองให้ดีก็จะเห็นว่าวิธีการทั้ง 3 วิธีการที่ว่านั้นล้วนเกี่ยวข้องความรู้สึกนึกคิดภายใน (ทัศนคติ) ด้วยเหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น การดำเนินการที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมมากที่สุดซึ่งก็คือการลงชื่อในเอกสารปฏิญาณ ทั้งนี้การที่จะทำให้พนักงานลงชื่อในเอกสารปฏิญาณได้นั้นจะต้องทำให้พนักงานมีความเชื่อ (ทัศนคติภายใน) เสียก่อนว่าการตกลงทำสัญญาร่วมกันนี้นั้นจะเกิดขึ้นเมื่อเขาสมัครใจเท่านั้น และต่อๆ มา เมื่อเขาได้มีการปฏิบัติตามคำขอร้องที่ค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ในทางจิตวิทยาพบว่าจะเกิดการทำสัญญาภายในตัวบุคคลคนนั้นขึ้น และแล้วในที่สุดก็จะเกิด "ทัศนคติ" ขึ้นในบุคคลคนนั้น และตามวิธีการ "พูดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อมาในภายหลัง" นั้น บุคคลเป้าหมายจะมีการหาเหตุผลสนับสนุนการตัดสินใจเบื้องต้นของตนเอง จากนั้นก็จะมีความรู้สึกรับผิดชอบในสัญญาที่ทำร่วมกันมากขึ้น และสุดท้ายก็นำไปสู่การเกิดขึ้นของพฤติกรรมตามที่ได้ตกลงกัน ทั้งนี้หลักการทางจิตวิทยาที่สำคัญที่เราใช้เป็นความรู้เพื่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมก็คือ บุคคลจะพยายามรักษามิติภายใน (ทัศนคติ) และการแสดงออกภายนอก (พฤติกรรม) ของตนเองให้สอดคล้องตรงกันเสมอ ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะเป็นทัศนคติหรือพฤติกรรมก็ตามที่มีการเปลี่ยนแปลงก่อน ถ้าหากว่าบุคคลนั้นๆ ไม่ได้รู้สึกว่าถูกบังคับแล้ว ทัศนคติหรือพฤติกรรมอันใดอันหนึ่งที่ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงก็มักจะมีการเปลี่ยนแปลงตามไปในที่สุด (ทดสอบ)
เรียบเรียงจาก  http://www.safetyperformance.com/pdf/Articles/1996/WhichFirst-AttitudeorBehavior.pdf

Credit:
http://www.bangpoosociety.com/forum/index.php?PHPSESSID=ca4df840590e0616eaddb8fd9962fc11&topic=3734.0
อ่านบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2556

Safety Serie: #1 การเกิดอุบัติเหตุเนื่องจากการทำงาน




พูดถึงเรื่องของความปลอดภัย เชื่อว่าเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ทุกคนย่อมตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ให้ความสำคัญกับ Safety แต่รู้หรือไม่ว่า อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นนั้นจากผลการเก็บสถิติพบว่า เกินกว่าครึ่งเกิดจากปัจจัยทางด้านบุคคลแทบทั้งสิ้น ดังนั้นวันนี้จะพาทุกคนมาเริ่มต้นทำความรู้จักกับปัจจัยของการเกิดอุบัติเหตุในสถานที่ทำงานกันครับ
ความปลอดภัย (Safety) หมายถึง :

การป้องกันอุบัติเหตุ การบาดเจ็บ โดย อาศัยหลักการ วิชาการ เทคโนโลยีด้านต่างๆ เพื่อ สืบค้นหาปัญหา อันตรายต่างๆ และ หาทางขจัดอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้น
  ** การป้องกันความสูญเสีย (Loss Prevention) ขั้นตอนการดำเนินการ เพื่อหาทางลดความรุนแรงของอุบัติเหตุ และหาทางควบคุมความสูญเสีย
1. การสืบค้นหาอันตราย (Hazard Identification)
2. การใช้เทคนิคในการประเมินหาขนาดของอันตราย (Technical Evaluation)
3. การออกแบบด้านวิศวกรรม (Engineering Design)

อุบัติเหตุ (Accidents) หมายถึง : เหตุการณ์ อุบัติการณ์ ทุกชนิด : ไม่ได้คาดคิดมาก่อน : ไม่ได้วางแผน / ตั้งใจ ก่อให้เกิดความเสียหาย ต่อ ชีวิต ทรัพสิน ทรัพยากรต่างๆ

อุบัติเหตุจากการทำงาน (Occupational Accident) หมายถึง : อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในภาวะการจ้างงาน ก่อให้เกิดความสูญเสียต่อ ชีวิตคน เครื่องจักร สิ่งของ ในเวลา ทันทีทันใด / ช่วงเวลาถัดไปในสถานที่ทำงาน / นอกสถานที่ทำงาน

สาเหตุการเกิดอุบัติเหตุ H.W. Heinrich สาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุ มี 3 ประการ คือ

1. สาเหตุจากคน (Human causes) มีจำนวนถึง 88%

2. สาเหตุจากความผิดพลาดของเครื่องจักร (Mechanical failure) มีจำนวนถึง 10%

 3. สาเหตุที่เกิดจากดวงชะตา (Act of god) มีเพียง 2% สรุปสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุ

ที่สำคัญมี 2 ประการ คือ

1. การกระทำที่ไม่ปลอดภัย (Unsafe act) เป็นสาเหตุใหญ่ คิดจำนวนเป็น 85% ของการเกิดอุบัติเหตุทั้งหมด

2. สภาพการณ์ที่ไม่ปลอดภัย (Unsafe condition) เป็นสาเหตุรอง คิดจำนวนเป็น 15% ของการเกิดอุบัติเหตุทั้งหมด

การกระทำที่ไม่ปลอดภัย (Unsafe Act) หมายถึง การกระทำหรือการปฏิบัติงานของคนที่มีผลทำให้เกิดความไม่ปลอดภัยกับตนเองและผู้อื่น เช่น
* การทำงานไม่ถูกวิธี หรือไม่ถูกขั้นตอน เช่น ยกของด้วยท่าทางที่ผิด
* ความประมาท พลั้งเผลอ เหม่อลอย
* ถอดเครื่องกำบังเครื่องจักร
* ใช้เครื่องมือไม่เหมาะสมกับงาน
* การไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบ
* การมีทัศนคติที่ไม่ถูกต้อง เช่น อุบัติภัยเป็นเรื่องของเคราะห์กรรมแก้ไขป้องกันไม่ได้
* การทำงานโดยที่ร่างกายและจิตใจไม่พร้อมหรือผิดปกติ เช่น ไม่สบาย เมาค้าง มีปัญหาครอบครัว ทะเลาะกับแฟน เป็นต้น
* การใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์ต่างๆไม่เหมาะสมกับงานเช่นการใช้ขวดแก้วตอกตะปูแทนการใช้ค้อน ฯลฯ สภาพงานที่ไม่ปลอดภัย

(Unsafe Condition) หมายถึง สภาพของโรงงานอุตสาหกรรม เครื่องจักร กระบวนการผลิต เครื่องยนต์ อุปกรณ์ในการผลิต ไม่มีความปลอดภัยเพียงพอ เช่น
* การออกแบบโรงงาน แผนผังโรงงาน
* ระบบความปลอดภัยไม่มีประสิทธิภาพ ไม่มีอุปกรณ์ด้านความปลอดภัย ส่วนที่เป็นอันตราย (ส่วนที่เคลื่อนไหว) ของเครื่องจักรไม่มีเครื่องกำบังหรืออุปกรณ์ป้องกันอันตราย
* เครื่องจักรกล เครื่องมือ หรืออุปกรณ์ชำรุดบกพร่อง ขาดการซ่อมแซมหรือบำรุงรักษาอย่างเหมาะสม
* สภาพแวดล้อมในการทำงานไม่เหมาะสม เช่น - แสงสว่างไม่เพียงพอ - เสียงดังเกินควร - ความร้อนสูง - ฝุ่นละออง - ไอระเหยของสารเคมีที่เป็นพิษ เป็นต้น

การสูญเสียเนื่องจากการเกิดอุบัติเหตุ
1. การสูญเสียโดยทางตรง การสุญเสียที่คิดเป็นเงินที่ต้องจ่ายโดยตรง
2. การสูญเสียโดยทางอ้อม การสูญเสียที่แฝงอยู่ ไม่ปรากฏเด่นชัด

ใครที่อ่านมาถึงตรงนี้แล้วขอให้ตอบในคอมเมนท์ว่าโรงงานของเรามี Unsafe Act และ Unsafe Condition อะไรบ้างสักคนละ 1 เรื่อง เพื่อที่จะได้ช่วยกับระแวดระวังและแก้ไขให้ทันท่วงทีก่อนที่เหตุการณ์ทั้งหลายจะเกิดขึ้น

Credit: http://www.sut.ac.th/im/618241-BASIC_OCC/leson%206-1.htm
อ่านบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2556

อาหารเพื่อสมองสดใส

By โอ๊ต
 มาดูกันว่าเรากินอะไรสมองจะได้สดใสพร้อมสอบ !!

1.บลูเบอร์รี่


ลูกเบอร์รี่ต่าง ๆ คือหนึ่งในอาหารที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์เรา และบลูเบอร์รี่ก็ดีต่อสมองมาก ๆ เนื่องจากมีใยอาหารสูงแต่ค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ หมายความว่า ผู้ป่วยเบาหวานก็กินได้โดยที่ไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงเฉียบพลัน เคยมีการศึกษามากมายที่ชี้ว่า มันจะช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคอัลไซเมอร์ ช่วยให้เราเรียนรู้เรื่องต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น สิ่งที่ต้องระวังก็คือให้เลี่ยงบลูเบอร์รี่เชื่อม หรืออบแห่งเท่านั้น

2.แซลมอนธรรมชาติ



กรดไขมันจำเป็น โอเมก้า-3 เป็นสิ่งที่สำคัญต่อสมองมาก ไขมันที่มีประโยชน์นี้มีความเกี่ยวพันกับสติปัญญา ช่วยให้กระปรี้กระเปร่า ชะลอความเสื่อมถอยของระบบประสาทส่วนกลาง พัฒนาความจำ ทำให้อารมณ์ดี และลดโอกาสเกิดโรคซึมเศร้า หรือโรคสมาธิสั้น แต่ถ้ามีโอกาสก็ให้เลือกแซลมอนตามธรรมชาติดีกว่าแซลมอนจากฟาร์มเลี้ยง

 3.ทับทิม



คนรักทับทิมควรจะกินจากผลสด ๆ มากกว่าดื่มน้ำคั้น เพราะจะได้ใยอาหารด้วย ทับทิมมีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่นเดียวกับบลูเบอร์รี่ ซึ่งจำเป็นมาก ๆ สำหรับสุขภาพของสมอง เพราะสมองคืออวัยวะแรก ๆ ที่จะได้รับผลกระทบจากความเครียด ดังนั้น สิ่งใดก็ตามที่ช่วยระงับความเครียดได้จะดีต่อสมองเช่นกัน

4.กาแฟ



เมล็ดกาแฟคล้ายกับเมล็ดโกโก้ตรงที่มันเต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ กรดอะมิโน วิตามิน และแร่ธาตุ โดยเฉพาะผงกาแฟจากเมล็ดที่บดใหม่ ๆ จะมีประโยชน์ต่อทั้งสมองและร่างกายมาก ส่วนกาเฟอีนก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีผลดีต่อสมองเช่นกัน การดื่มกาแฟเป็นประจำจะช่วยชะลอไม่ให้สมองเสื่อมถอย ป้องกันโรคอัลไซเมอร์หรือโรคหลงลืมได้จริง แม้กระนั้นก็ยังมีคำถามว่า ตกลงแล้วกาแฟมีประโยชน์หรือเปล่า ปัญหาอยู่ที่เรามักจะผสมกาแฟกับของที่ไม่ดีต่อสุขภาพอื่น ๆ เช่น ครีม น้ำตาล ช็อกโกแลต หรือวิปครีม สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เพิ่มทั้งสารเคมีและไขมันให้แก่กาแฟ ความจริงแล้วเมล็ดกาแฟเป็นของปลอดภัย ยิ่งถ้าเป็นเอสเพรสโซ่เพียว ๆ ยิ่งดีต่อทั้งหัวใจและสมองเลยล่ะ

5.ถั่ว



ถั่วมีทั้งโปรตีน ใยอาหาร และไขมันที่มีประโยชน์ คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่อยู่ในถั่วจะทำให้เราแจ่มใสได้ ในขณะที่โปรตีนและไขมันจะช่วยให้พลังงานคงระดับตลอดทั้งวัน นอกจากนี้ ยังมีวิตามินอีซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของสมอง แต่อย่างไรก็ควรหลีกเลี่ยงถั่วเหลือบน้ำตาล หรือปรุงรส ส่วนทางเลือกที่ดีก็มีตั้งแต่เฮเซลนัต เม็ดมะม่วงหิมพานต์ วอลนัต และอัลมอนต์ ส่วนแมคคาเดเมียนั้นมีปริมาณไขมันมากกว่าถั่วชนิดอื่น ๆ

 6.ทูน่า



นอกจากจะเป็นแหล่งของโอเมก้า-3 แล้ว ปลาทูน่า โดยเฉพาะปลาทูน่าครีบเหลือง ซึ่งมีระดับวิตามินบี 6 สูงกว่าอาหารประเภทอื่น ๆ วิตามินบี 6 นี้เกี่ยวพันโดยตรงกับความจำและสติปัญญา รวมถึงสุขภาพโดยรวมในระยะยาวของสมอง โดยรวมแล้ววิตามินบีคือ หนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดต่อการรักษาอารมณ์ให้คงที่ แต่วิตามินบี 6 จะส่งผลต่อการรับสารโดพามีนที่เป็นหนึ่งในฮอร์โมนความสุขเหมือนกับเซโรโทนิน

7.ข้าวกล้อง



ด้วยความที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ ข้าวกล้องจึงดีมาก ๆ สำหรับคนที่แพ้กลูเธนเพื่อให้สุขภาพของหลอดเลือดหัวใจแข็งแรงขึ้น ยิ่งระบบไหลเวียนโลหิตของเราดีเท่าไหร่ สมองก็ยิ่งเฉียบแหลมมากเท่านั้น

8.ชาเขียว



ชาเขียวนี้คือ มัตชะ ชาเขียวจากใบชาอ่อน ๆ ที่ผ่านกรรมวิธีบดด้วย หินตามแบบฉบับญี่ปุ่น เมื่อเราดื่มชาเขียวเหล่านี้เข้าไป ก็เหมือนกับเราดื่มใบชาเข้าไปทั้งใบ ผงชาเขียวนั้นอุดมไปด้วยสารคลอโรฟิลด์จึงทำให้มีสีเขียวสด เมื่อผสมเข้ากับน้ำร้อน (แต่ไม่เดือด) จะมีรสชาติฝาดนิด ๆ และเพียงแก้วเดียวก็ทำให้คุณรู้สึกปลอดโปร่งได้ ว่ากันว่า มัตชะคือเหตุผลหนึ่งซึ่งทำให้พระสงฆ์ญี่ปุ่นสามารถนั่งสมาธินาน ๆ ได้ แต่ถ้าพูดในแง่วิทยาศาสตร์แล้วมัตชะมีสารที่ชื่อว่า Catechin วิตามินเอและซี ฟลูออไรด์ และสาร L-Theanine ซึ่งช่วยในเรื่องสมาธิ แค่เฉพาะสารต้านอนุมูลอิสระอย่างเดียวก็มีมากกว่าบลูเบอร์รี่ถึง 33 เท่า

9.เมล็ดพืช



ไม่ว่าจะเป็นเมล็ดทานตะวัน เมล็ดแฟล็กซ์ เมล็ดฟักทอง หรือเมล็ดพืชอื่น ๆ ก็ล้วนมีโปรตีน ไขมัน วิตามินอี สารต้านอนุมูลอิสระ และแร่ธาตุซึ่งช่วยเสริมสร้างสมองอย่างแมกนีเซียม

10.ข้าวโอ๊ต



ถ้ามันดีต่อสุขภาพของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ ก็แปลว่ามันดีต่อสมองของเราด้วย ข้าวโอ๊ตมีใยอาหารและก็มีโปรตีนอยู่พอสมควร หรือแม้แต่โอเมก้า-3 ก็ยังมีอีกจำนวนหนึ่ง การกินข้าวโอ๊ตตอนเช้าจะช่วยให้เราแจ่มใส และไม่ง่วงนอนแม้ในยามบ่ายด้วย

11.หอยนางรม



ไม่ใช่หอยทุกชนิดจะเป็นอาหารสมองได้ แต่หอยนางรมน่ะใช่แน่ ๆ เพราะมีทั้งซีลีเนียม แมกนีเซียม โปรตีน และแร่ธาตุอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อสุขภาพสมอง ก่อนหน้านี้เคยมีการทดลองพบว่า คนที่กินหอยนางรมมีความจำและอารมณ์ดีขึ้นด้วย
อ่านบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2556

10วิธีเปลี่ยนความรักแสนเปราะบาง ให้มั่นคงแข็งแรง

By Sam



ความรักเป็นความรู้สึกที่เปราะบางและแตกหักง่าย ซึ่งตอนนี้หลาย ๆ คนอาจตกอยู่ในห้วงอารมณ์รู้สึกสับสน ไม่แน่ใจ ในความสัมพันธ์ของตัวเอง อีกทั้งจะหันไปปรึกษาใครก็ได้คำตอบที่ไม่ตรงใจสักเท่าไหร่ เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับแต่ละคนไม่เหมือนกัน ดังนั้น ในวันนี้เราจึงรวบรวมคำแนะนำดี ๆ มาฝากกัน จะได้รู้กันไปเลยว่าถ้าอยากให้ความรักมั่นคงแข็งแรงต้องทำอย่างไรบ้าง

1. ซื่อสัตย์กับคนรัก

ในวันที่รู้สึกไม่แน่ใจและสับสนสิ่งแรกที่ควรทำก็คือ ซื่อสัตย์กับคนรักของตัวเอง โดยการพูดคุยอย่างตรงไปตรงมาทุก ๆ เรื่อง ทั้งแผนที่วางเอาไว้สำหรับอนาคต หรือความรู้สึกที่แท้จริงกับสถานการณ์ในปัจจุบัน เพราะการเก็บงำสิ่งเหล่านั้นไว้กับตัวเองจะยิ่งเพิ่มอารมณ์ด้านลบมากยิ่งขึ้น หรือเรียกง่าย ๆ ว่าอาการคิดมาก สุดท้ายก็หนีไม่พ้นการทะเลาะกันแน่นอน

2. เชื่อใจกันและกัน

หากมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสูญเสียความเชื่อใจไปแล้ว ก็เป็นเรื่องยากที่จะเรียกความรู้สึกเหล่านั้นกลับมาได้อีก ฉะนั้น ตอนนี้ก็ลบความรู้สึกหวาดระแวงทิ้งไป แล้วสร้างความเชื่อใจขึ้นมา อย่างเช่น ปล่อยให้อีกฝ่ายออกไปหาครอบครัวหรือเพื่อนฝูงบ้างและไม่โทรศัพท์ไปหาบ่อยจนเกินจำเป็น ในระหว่างนั้นตัวเองก็ทำสิ่งที่ชอบไปพลาง ๆ จะได้ไม่ฟุ้งซ่าน

3. พูดคุยกันบ่อยขึ้น

การพูดคุยเป็นเรื่องสำคัญที่สามารถทำให้ทั้งสองคนเข้าอกเข้าใจและสนิทแนบแน่นกันมากยิ่งขึ้น หากเป็นไปได้ในแต่ละวันควรจะมีการพูดคุยกันบ้างสักนิดสักหน่อย อาจเป็นเรื่องข่าว เหตุการณ์ต่าง ๆ หรือบรรยากาศการทำงานก็ได้ ดีกว่าปล่อยให้ความเงียบเป็นตัวคั่นกลาง เพราะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ทั้ง 2 ฝ่ายห่างเหินออกไป

4. ให้ความสนใจ

ในเมื่อมีคนรักอยู่ข้างกายแล้วควรจะดูแลให้ดี เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกเหงาหรือโดดเดี่ยว หากเป็นไปได้ในแต่ละวันควรจะแบ่งเวลาให้กับคนรักบ้าง พากันไปทานอาหาร ดูหนัง ฟังเพลงเหมือนคู่อื่น ๆ หรือถ้าหากมีเวลาน้อยก็อาจจะซื้อของขวัญ ทำอาหารให้ทาน หรือชวนกันไปเที่ยวสถานที่ใกล้ ๆ ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ก็ได้

5. แสดงความรัก

ถึงแม้จะรักอีกฝ่ายสุดหัวใจและยอมทำทุกอย่างเพื่อเขาหรือเธอ แต่บางครั้งก็ควรพูดหรือแสดงออกมาเพื่อให้อีกฝ่ายมั่นใจมากยิ่งขึ้น อย่างเช่น บอกรัก กอด หรือวิธีง่าย ๆ แบบจับมือขณะเดินช้อปปิ้ง เท่านี้ก็สามารถทำให้อีกฝ่ายหัวใจพองโต หน้าแดงได้แล้ว

6. ให้เกียรติกันและกัน

ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายต่างก็ต้องการคนรักที่เคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกันทั้งนั้น ไม่นำเรื่องส่วนตัวไปเปิดเผย หรือทำให้รู้สึกอับอายทั้งต่อหน้าและลับหลัง ต่างคนต่างก็พูดถึงแต่เรื่องดี ๆ หากมีปัญหาก็เก็บมาพูดคุยกันสองต่อสอง ไม่ใช่โมโหต่อขานว่ากล่าวในที่สาธารณะหรือช่วงที่อยู่กับกลุ่มเพื่อน ๆ

7. ยืนเคียงข้างกัน

นอกจากนี้ควรจะคอยเคียงข้างกันตลอดเวลาไม่ว่าจะมีความสุขหรือทุกข์ใจ ในขณะเดียวกันก็ไม่ทิ้งให้อีกฝ่ายต้องอยู่คนเดียวเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์คับขันหรือช่วงที่กำลังลำบาก ถึงแม้จะไม่มีคำแนะนำหรือวิธีให้กำลังใจดี ๆ แบบคนอื่น แค่นั่งอยู่ข้าง ๆ ร้องไห้ หัวเราะไปด้วยกันก็เพียงพอแล้ว

8. ปรับข้อเสีย

ต่างคนต่างก็มีข้อเสียของตัวเองด้วยกันทั้งนั้น แต่เพื่อความสัมพันธ์ที่มั่นคงและยั่งยืน หากรู้ว่าตัวเองมีข้อเสียหรือจุดด้อยตรงไหน หากเป็นไปได้ก็ควรจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น โดยเฉพาะส่วนที่เป็นปัญหาทำให้มีการทะเลาะกันบ่อย ๆ อย่างเช่น นิสัยเอาแต่ใจ ใช้เงินไม่คิด หรือชอบคิดมาก เป็นต้น

9. ชมให้ชื่นใจ

หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าแค่คำชมเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็สามารถทำให้ความสัมพันธ์แข็งแรงขึ้นได้เหมือนกัน เพราะเป็นเสมือนการให้กำลังใจและสร้างความมั่นใจให้กับอีกฝ่ายไปในตัว แถมยังช่วยให้คนที่ถูกชมรู้สึกว่าเป็นคนพิเศษจริง ๆ ด้วย

10. เข้าอกเข้าใจกัน

สำหรับความรักแค่การสื่อสารเพียงอย่างเดียวคงไม่พอ แต่มีความเข้าใจประกอบไปด้วยกัน โดยเฉพาะเวลาที่มีปัญหาหากต่างฝ่ายต่างเอาแต่พูดเหตุผลของตัวเองปัญหาคงไม่มีวันจบแน่นอน นอกจากจะเปิดใจรับฟังและคิดตามบ้าง ความสัมพันธ์จะแข็งแรงและมั่นคงหรือไม่นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความรักเพียงอย่างเดียว แต่ควรจะมีความเข้าอกเข้าใจ ซื่อสัตย์ และอื่น ๆ ด้วย เพราะถ้าหากขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปแล้ว รอยแตกร้าวก็จะค่อย ๆ ขยายกลายเป็นปัญหา และเลิกรากันไปในที่สุด ในเมื่อตอนนี้รู้แล้วว่าควรทำอย่างไรก็อย่าลืมนำไปปฏิบัติกันด้วย
อ่านบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2556

มาเพาะเห็ดฟางกันเต๊อะ

By อ๋อง


….ปกติเห็ดฟางเป็นเห็ดที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติได้ง่ายเป็นเห็ดที่เพาะปลูกได้ตลอดทั้งปี มีอายุการเพาะสั้นประมาณ 10-15 วัน วัสดุที่นำมาเพาะเห็ดฟางมีหลากหลาย เช่น เปลือกถั่วเขียว, ทะลายปาล์มน้ำมัน. มันเส้น, ผักตบชวา, ต้นกล้วยสับแห้ง, ขี้เลื่อย, ฟางข้าว และ ตอซังข้าว

การเพาะเห็ดฟางมีขั้นตอนที่ไม่ยุ่งยากเหมือนกับการเพาะเห็ดอื่นๆ ไม่ต้องมีการนึ่งฆ่าเชื้อในวัสดุเพาะ ซึ่งตัวกระผมเองได้ลองเพาะมาแล้วเผื่อพี่ๆน้องท่านไดที่พอจะมีที่ว่างแถวๆข้างบ้านอยากใช้เวลาว่างในวันหยุดอยู่กับครอบครัวลองทำกินกันเล่นๆลองทำได้นะครับไม่ยากทำง่ายมาก องค์ประกอบในการเพาะง่ายๆ ได้แก่ อุปกรณ์
1. วัสดุที่ใช้ในการเพาะ (ฟางข้าว หรือ ตอซังข้าว, หญ้าแฝก, ก้อนขี้เลื่อยเก่า )
2. อาหารเสริม ( ผักตบชวาสดหั่นเป็นท่อน, ต้นกล้วยหั่นตากแห้ง, มูลวัว , แป้งข้าวจ้าว หรือ ข้าวเหนียว ) 3. เชื้อเห็ดฟางแบบก้อน ( ราคาก้อนละ 8-12 บาท ) 4. บัวรดน้ำ 5 พลาสติกใส (ไว้สำหรับคลุม ) 6. ตะกร้า ( จะเป็นตะกร้าพลาสติก หรือไม้ไผ่สานก็ได้ครับ แต่ขอให้มีรูพอให้เห็ดทะลุออกได้ )


......ของผมใช้ตะกร้าไม้ไผ่สานครับ ( เหลือใช้ จากใส่ผัก เอาไปขายในเมือง )







อ่านบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ปั่นให้ไกล ไปให้ถึง 100 กม.

โดย. พี่โหน่ง.....สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน



หากคุณใช้เวลาหลังพวงมาลัยรถสัก 100 กม. คงเป็นเรื่องเล็กน้อย แสนง่ายดาย แต่เมื่อคุณอยู่บนอานจักรยานนั้น ทุกอย่างต้องผ่านการเตรียมตัว เตรียมใจ และหัวใจที่หาญกล้าพอจะไปท่องเที่ยวกับจักรยานคุณ ท่ามกลางสายลม แสงแดด ตลอดระยะทาง 100 กม. นี้ แต่ไม่ใช่เรื่องยากเย็นแสนเข็ญแต่ใดเลย สำหรับนักปั่นน่องเหล็กผู้โชกโชนประสบการณ์หรือคนที่เริ่มจริงจังกับการปั่นจักรยานมาสักระยะหนึ่งจะรู้ได้ทันทีเลยว่า มันสามารถเป็นไปได้ แต่ถ้ามือใหม่หัดปั่นแล้วอยากจะลองดู วันนี้เรามีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยมาบอกเพื่อที่คุณจะได้ปั่นทะลุ 100 กม. ใน 1 วันอย่างง่ายดาย

เตรียมตัวให้ฟิต วางแผนให้ดี ก่อนออกไปปั่นจักรยาน
        การเตรียมและวางแผนสำคัญมากในทุกๆ เรื่อง การปั่นจักรยานก็เช่นกัน คุณจะต้องคำนวณเวลาดูว่าวันนี้จะปั่นโดยใช้เวลาประมานกี่ชั่วโมง ศึกษาเส้นทาง ใช้ความเร็วเท่าไรในการปั่นเท่าใด ตัวอย่างเช่น วันนี้คุณจะปั่นสัก 100-120 กม. คุณใช้ความเร็วประมาณ 20-25 กม./ชม. คุณก็ต้องใช้เวลาประมาณ 6 ชม.ขึ้นไปอยู่แล้ว จึงต้องเผื่อจุดพัก จุดกินข้าว เข้าห้องน้ำ ไว้ให้ดี ที่สำคัญควรเลือกเวลาในการเริ่มต้นปั่นด้วยว่าเราจะออกไปปั่นเวลากี่โมง และจะกลับถึงที่พักหรือบ้านเวลากี่โมง ไม่ต้องซีเรียสว่าทุกอย่างต้องเป๊ะไปตามแผนนะครับ เพราะทุกอย่างมันไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดเสมอไปหรอก เอาแค่พอยืดหยุ่นได้ มีกำหนดการคร่าวๆ ก็พอ





 ดื่มน้ำเยอะๆ
        อันนี้น่าจะไม่ต้องบอกอะไรกันมากมาย เพราะเราทุกคนน่าจะรู้กันดีอยู่แล้วว่าน้ำเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งต่อร่างกาย ยิ่งเวลาเราออกกำลังกายที่ร่างกายสูญเสียเหงื่อด้วยแล้วยิ่งจำเป็น ดังนั้น เวลาปั่นจักรยาน ร่างกายของเราจะสูญเสียน้ำมากๆ ควรจิบน้ำบ่อยๆ เวลาปั่นให้ติดเป็นนิสัย หนึ่งในวิธีทดสอบง่ายๆ ว่าร่างกายของเราได้รับน้ำเพียงพอหรือไม่ คือระหว่างทางเวลาเราแวะปัสสาวะ ให้สังเกตสีของมัน หากเป็นสีเหลืองเข้ม แสดงว่าร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอ ควรชดเชยน้ำให้ร่างกายอย่างเพียงพอ โดยเวลาปั่นควรจิบน้ำให้ถี่ขึ้นอีก



กินให้เยอะๆ (ระหว่างปั่น)
        ขณะที่ร่างกายของคุณกำลังเผาผลาญพลังงานด้วยการปั่นนั้น อย่าคิดว่าเอ้ย !! ไม่กินดีกว่า จะได้ลดความอ้วนได้เร็วๆ ด้วย คิดผิดแล้วครับ คุณต้องพยายามกินให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ อาจจะเป็นพวกของว่างอย่าง ขนม นมเนย น้ำอัดลม หรืออะไรหวานๆ ก็ได้ ที่ให้พลังงานสูง ซึ่งหาซื้อได้ตามร้านสะดวกซื้อทั่วไป เพราะรถยังต้องใช้น้ำมัน เราเองก็ต้องการเชื้อเพลิงให้ร่างกายเช่นกัน เพราะถ้าร่างกายคุณขาดพลังงานมากเกินไปแล้ว คุณอาจจะน็อกหรือเกิดอาการแบบหมดแรงเอาดื้อๆ ทั้งๆ ที่ตัวคุณคิดว่ามันยังไหว จะเหมือนหลับกลางอากาศเอาได้


อาหารกลางวัน (ทุกมื้อที่กินระหว่างปั่นสำคัญมาก)
        หากคุณออกเดินทางตั้งแต่เช้า แน่นอนว่า พอตกเที่ยงจะต้องรีบหาข้าวเที่ยงกิน บางคนอาจจะบ่นเอ้ย!! ยังไม่หิวเลย เพิ่งจะกินมาเมื่อเช้านี้เอง อย่าครับอย่า เพราะนั่นอาจทำให้คุณไม่ได้ไปต่อกับเพื่อนร่วมทาง การแวะรับประทานอาหารเที่ยง ควรทานให้มากๆ และควรเป็นอาหารที่ให้พลังงานสูง ไม่ต้องกลัวอ้วนครับ แล้วนาทีนี้ ทานให้มากเท่าที่คุณจะทำได้ ผลดีของมันนั้นไม่ได้มีเฉพาะระหว่างปั่นจักรยานที่ทำให้คุณมีแรงเท่านั้น แต่มันจะส่งผลดีหลังจบการปั่นไปแล้วด้วย เพราะมันจะทำให้เราไม่รู้สึกอ่อนเพลียมากเกินไปจากการปั่นจักรยานทางไกลนานๆ แต่นิดนึงครับ ควรนั่งพักสัก 30 นาที ให้ร่างกายได้ย่อยและดูดซึมไปบ้างก่อนออกไปปั่น ไม่งั้นคุณอาจนั่งจุกบนหลังอานได้



 สุดท้าย...ใจเท่านั้นครับ!!
        เมื่อคุณเริ่มปั่นมาได้สักครึ่งทางหรือปกติคุณเคยปั่นซ้อมที่ 40-50 กม.ทุกวัน แต่นี่คุณต้องปั่นถึง 100 กม. แน่นอนว่า ความเมื่อยล้าย่อมเพิ่มเป็นสองเท่า เมื่อคุณพักแวะทานอาหารกลางวันเสร็จเรียบร้อย ความเหนื่อยล้าอาจเริ่มถามหา ความเมื่อยจะทำให้คุณเบื่อ ลมที่พัดตีหน้าสร้างความรู้สึกอยากนอน แท็กซี่ที่อาจจะวิ่งผ่านในเส้นทางนั้น สองแถวที่ดูว่างเปล่าช่างชี้ชวนให้ยกจักรยานขึ้นไปเหลือเกิน หรือจะมีปัจจัยอื่นๆอีกมากมาย สุดท้าย ใจคุณต้องนิ่ง เด็ดขาดกับการตัดสินใจว่าจะอยู่บนอานจักรยานนี้จนครบ 100 กม. เมื่อคุณชนะใจตัวเองได้คุณจะสามารถชนะทุกสิ่งอย่างได้ สู้ๆๆ ครับ

 สำคัญที่สุด ….
        อย่ายึดติดว่าจะต้องปั่นให้เร็วเท่าคนนั้น เท่าคนนี้ ต้องทำเวลาให้เร็วกว่าคนอื่น รถจักรยานเราทำมาแพง จะมาปั่นแบบให้รถถูกๆ แซงได้ยังไง?? ถ้าคิดแบบนี้เมื่อไหร่ นั่นคือคุณกำลังลืมไปว่า จักรยานคือหนึ่งในพาหนะที่ช่วยให้เราได้ใช้ชีวิตช้าลง ซึมซับกับสิ่งรอบข้างระหว่างทางให้มากขึ้น จักรยานจะช่วยสร้างโลกใบใหม่ที่เราไม่ต้องไปเร็วเหมือนใคร แต่เราก็มีความสุขได้ อย่าลืมแวะถ่ายรูปอัปอินสตาแกรมระหว่างทางที่คุณผ่านไปด้วยนะ …. 
อ่านบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

สติ กับ การทำงาน

By Nick



วันนี้มีโอกาสดีที่จะได้มาเขียน Blog เองบ้าง เพราะช่วงนี้ฝ่ายผลิตของเรากำลังเจอกับปัญหาหนักและใหญ่อยู่ข้อหนึ่งคือ เกิดความผิดพลาดในการทำงานจาก คน หรือ Human Error

ซึ่งเราต้องยอมรับความจริงข้อหนึ่งว่า ความผิดพลาดที่เกิดจากคนนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเวลา แต่อะไรหล่ะที่เป็นปัจจัยทำให้เกิดความผิดพลาดเหล่านั้นขึ้น?

เท่าที่ผ่านการหาสาเหตุของเหตการณ์ต่างที่เกิดจากคนนั้นพบว่า มีข้อหนึ่งที่ตรงกันคือ

สติในการทำงาน ณ ตอนนั้น หายไป

สติ แปลว่าความระลึกได้ เอาง่ายๆคือ รู้ตัวอยู่เสมอ



การมีสติในการทำงานนั้น ไม่ยากนัก แค่ก่อนทำให้คิดถึงว่าเรากำลังจะทำอะไร จะเกิดสิ่งใด เพียงเท่านี้ ก็จะเกิดสติก่อนการทำงาน

การทบทวน WI ก่อนการทำงานเป็นการฝึกสติอย่างหนึ่ง เพราะ เราจะรู้ว่าทำอะไรก่อน อะไรหลัง รวมถึงการทำงานโดยใช้ WI จะเป็นการให้สติอย่างดีว่าเราต้องทำอะไรบ้าง เพราะงานที่เราทำนั้นมีหลากหลายมาก ขั้นตอนปลีกย่อยทั้งหลาย เชื่อว่า ไม่มีใครสามารถจำมันได้ทั้งหมด หลายคนอาศัยความชำนาญว่า ต้องทำอะไรก่อน อะไรหลัง ยิ่งกว่านั้น คือ อาศัยความเคยชินในการทำงาน
อย่างหลังนี่อันตรายมากที่สุด เพราะความผิดพลาดที่เกิดขึ้นนั้น เกิดจากความเคยชินแทบทั้งสิ้น

อะไรหล่ะ คือ สิ่งที่ทำให้เราขาดสติในการทำงาน

สิ่งที่ทำให้เราขาดสติในการทำงานนั้นมีมากมาย แค่คิดว่าสิ่งที่ต้องทำต่อไปคืออะไร แค่นี้ก็สามารถทำให้ใจเราหลุดลอยไปถึงงานต่อไปได้แล้ว เมื่อใจเราลอยไปหางานถัดไปสติกับงานปัจจุบันก็จะขาด และร่างกายจะทำไปด้วยความเคยชิน และนี่เองเป็นจุดเริ่มต้นของความผิดพลาด

อีกอย่างหนึ่ง คือ สิ่งเร้าภายนอก เช่น ความหิว/มีการเรียกมาจากเพื่อนร่วมงาน/ใกล้ถึงเวลาเลิกงาน สิ่งที่กล่าวมาสามารถทำให้ใจเราหลุดลอยออกจากงานที่ทำปัจจุบันและทำให้ไม่มีสติกับการทำงานที่ทำอยู่ตรงหน้าได้ จะเห็นได้ว่าสตินั้นมีปัจจัยให้หลุดออกจากงานที่ทำตรงหน้าได้หลายอย่างมาก

แล้วอะไรจะมาช่วยให้เรามีสติกับการทำงานได้???

1. การวางแแผนการทำงานก่อนเริ่มงาน

หลายครั้งที่มีโอกาสร่วมการส่งกะหรือประชุมกะ พวกเราแทบทั้งหมดจะทราบถึงงานใหม่ๆที่มีการอัพเดท หรือ งานต่างๆส่งต่อกันมาจากกะก่อนหน้า สิ่งเหล่านี้จะถูกพูดถึงในการส่งกะ และเราทีมงานทุกคนจะทำการจดหรือบางคนจำ เพื่อให้ทราบว่าต้องทำอะไรบ้าง แต่มีหลายคนที่สามารถทำอย่างหนึ่งได้ นั่นคือ Checklist ว่างานวันนี้เราต้องทำอะไรบ้าง ซึ่งมีทั้งงานรูทีนและงานใหม่ สิ่งนี้เองเป็นสิ่งที่คอยเคือนสติเราว่าต้องทำอะไรบ้าง

2. เรียงลำดับความเร่งด่วนและสำคัญ

การทำงานที่เรียงลำดับความสำคัญและเร่งด่วนจะทำให้ทำงานได้อย่างมั่นใจและไม่เกิดความกังวลเพราะบางครั้งหากเราเกิดอาการ หลุด ลืมงานสำคัญที่ต้องทำให้เสร็จภายในกะเราไปเมื่อเวลาใกล้หมดจะทำให้เราเกิดการรีบเร่งในการทำงาน ซึ่งเพิ่มโอกาสในการผิดพลาดได้ ดังนั้นอย่าลืมเรียงลำดับความสำคัญในการทำงานด้วย

หัวหน้างานต้องมีส่วนช่วยเหลือและสอนทีมงานในการเรียงลำดับความสำคัญ เพื่อให้ทราบถึงปริมาณงานของทีมงาน และจะได้วางแผนกระจายงานที่ สำคัญ ออกไปให้ไม่กระจุกอยู่ที่คนใดคนหนึ่ง เพื่อที่จะได้ลดความเร่งร้อนในการทำงาน อันเนื่องมาจากความไม่รู้ว่างานไหนสำคัญกว่ากัน เร่งร้อนเพื่อที่จะทำทุกอย่างให้เสร็จ

3. ทบทวน WI ก่อนทำ และ ใช้ WI ในการทำงาน

การทบทวน WI เป็นการเตือนสติเราว่าเราต้องทำอะไรบ้างซึ่งเป็นเหมือนการบอกตัวเองครั้งหนึ่งก่อน และเมื่อถึงเวลาทำงานโดยใช้ WI/Checklist จะทำให้เราทำงานอย่างมีสติถูกต้อง และลดโอกาสความผิดพลาด

จากการสังเกต มีหลายคนที่ใช้ WI ในการทำงานได้ดีคือ ทำไปเชคไป กับอีกส่วนหนึ่งที่เรียกได้ว่าใช้ WI แค่เพื่อให้ได้ชื่อว่าใช้ คือทำไปจนจบแล้วมาเชค แบบนี้เราจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยจากการใช้ WI

ซึ่งอยากฝากทุกคนเรื่องทัศนคติในการทำงานข้อหนึ่งไว้ว่า

ทีมงานมีประสิทธิภาพ ไม่ใช่ทีมงานการทำงานได้รวดเร็วหรือเก่งกาจ แต่คือ ทีมงานที่สามารถปฏิบัติได้อย่างถูกต้องตามวิธีการและปลอดภัย ;)

4. จำกัดปัจจัยภายนอก และ หลีกเลี่ยงความเสี่ยง

ข้อสี่นี้อยากให้ทุกคนฝึกปฏิบัติกันให้ดี เพราะ สาเหตุของความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในปีนี้ มีข้อนี้เป็นส่วนประกอบทั้งสิ้น

การจำกัดปัจจัยภายนอก แปลง่ายๆคือ ให้ความสำคัญกับงานที่กำลังทำอยู่ตรงหน้าที่สุดเสมอ นั่นคือ การมีสติในการทำงานตรงหน้านั่นเอง รู้ว่ากำลังเปิดวาล์ว รู้ว่าจะต้องปิดวาล์ว รู้ว่าการกระทำในแต่ละขั้นตอนจะเกิดอะไรขึ้นกับสิ่งที่เราทำ

- สิ่งที่เข้ามาภายนอก เช่น เพื่อนหรือหัวหน้าเรียก เราต้องบอกให้รอก่อนสักครู่หนึ่ง ให้สิ่งที่ต้องทำตรงหน้าลุล่วงไปก่อน หรือ หากเป็นสิ่งเร่งด่วน เราต้องรู้ว่างานที่ทำนั้น หยุดตรงไหนถึงจะปลอดภัย

- ส่วนปัจจัยอื่นๆ เช่น ความหิว เวลาเลิกงาน หรือ ตารางงานอักแน่นให้ เราสามารถแก้ไขได้ด้วยการวางแผนการทำงาน. หากงานมีปริมาณมากเราต้องแจ้งให้หัวหน้าทราบ ขอความช่วยเหลือ หรือหาทางแก้ไข อย่าพยายามทำงานเกินกำลัง หรือ รีบร้อนทำงาน ด้วยเหตุผลที่ว่า เพราะงานเยอะจึงต้องรีบเคลียงาน นี่เป็นทัศนคติในการทำงานที่ผิด

หลีกเลี่ยงความเสี่ยง

เป็นทัศนคติในการทำงานอีกข้อหนึ่งที่สามารถทำให้เราทำงานอย่างมีสติได้ เช่น บริเวณที่จะเข้าไปทำงานไปลอดภัย หรือ ไม่สะดวก ให้เราทำการแก้ไขให้ดีก่อนที่จะเข้าไปทำงาน อย่าฝืน เพราะใจเรานั้นจะไปพะวงกับความปลอดภัยในการทำงานของตัวเองจนสติของเราไม่อยู่กับงานที่ทำได้

หากมีความจำเป็นต้องทำงานในที่ๆมีความเสี่ยง ต้องหันมาปรึกษากับหัวหน้างาน เพื่อให้ทราบถึง อันตรายและโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เพื่อหาทางเพื่อลดความเสี่ยงนั้นและในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉินว่าใครจะต้องทำอะไร

แต่ดีที่สุด คือ ไม่ทำงานแบบมีความเสี่ยง เพราะ ผลกระทบนั้น ไม่มีใครในทีมงานเราสามารถรับได้คนเดียว ผลกระทบที่เกิดขึ้น ส่งผลถึงทั้งบริษัท


เชื่อว่าหากทีมงานของเราทุกคนสามารถทำได้อย่างข้างบนแล้ว โอกาสความผิดพลาดในการทำงานของพวกเราจะลดลง และเป็นการฝึกให้เรามีสติอยู่ตลอดเวลานั่นเอง

อะไรที่พลาดไปแล้วเราไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้ แต่เราเรียนรู้จากมันได้

อ่านบทความทั้งหมด