By Max
ใกล้ปีใหม่แล้วแล้วผมคิดว่าเพื่อนๆพี่หลายคนต้องเดินทางกลับบ้านต่างจังหวัด ซึ่งเพื่อนๆพี่ๆก็ต้องใช้รถยนต์ในการเดินทางกลับบ้านในระยะทางที่ไกลๆ ทั้งนี้ตัวผมเองนั้นเป็นคนสนใจในเรื่องรถยนต์มากอยู่แล้ว จึงอยากเสนอความรู้เล็กๆน้อยให้พวกเพื่อนๆและพี่ได้อ่านและนำไปตรวจสอบรถของพวกพี่ๆได้เองแบบง่ายๆโดยที่ไม่ต้องพึ่งช่างให้เสียค่าใช้จ่าย ก่อนอื่นผมมีวิธีจะนำเสนอเป็นแบบง่ายดังนี้ครับ
1.ตรวจสอบและประเมินสภาพโดยรวมของรถ เช่น สภาพรถ สภาพการใช้งาน โดยตรวจสอบจากประวัติครั้งล่าสุดของรถยนต์ที่เข้าตรวจเช็คที่ตามศูนย์บริการ เพื่อให้หมั้นใจได้ว่ารถยนต์ของพวกเพื่อนๆและพี่ๆได้เข้ารับบริการทุกๆระยะตรวจเช็คหรือตรวจซ่อม
2.ตรวจเช็คสภาพความพร้อมใช้งานของเครื่องยนต์และอุปกรณ์ภายใต้ฝากระโปรงรถยนต์ของพวกเพื่อนๆและพี่ๆ ถ้าเพื่อนและพี่ๆนำรถเข้าตรวตเช็คตาระยะอยู่แล้วก็เบาใจได้ระดับนึกเลยครับ แต่ก็อย่าละเลยกับสิ่งเล็กๆน้อยที่อยู้ใต้ฝากระโปรงละครับ อันดับแรกเลยคือ สังเกตุและตรวจสอบระดับของเหลวในรถยนต์ เช่น ระดับน้ำหม้อน้ำ ระดับน้ำในหม้อน้ำสำรอง ระดับน้ำมันเบรก น้ำมันเครื่อง น้ำมันเพาว์เวอร์ น้ำมันเกียร์ โดยตรวจสอบให้อยู่ในระดับไม่น้อยกว่าตำแหน่ง Lowของก้านตรวจเช็ค และที่สำคัญไม่น้อยกว่ากันอีกอย่างคือตรวจสอบระดับน้ำกลั่นในแบตเตอรี่รถยนต์ หรือสังเกตุง่ายๆที่สัญลักษญ์ไฟที่แบตเตอรี่(ถ้าเป็นแบตรุ่นใหม่ๆจะมีไฟบอก) ถ้าเพื่อนๆพี่ๆตรวจเช็คแล้วระดับของเหลวอยู่ในระดับปกติ ก็สบายใจได้เลยทีเดียว
3.ตรวจสอบช่วงล่าง ตรวจสอบง่ายๆเลยเพียงแค่เพื่อนและพี่ๆก้มลงไปดูมันสักแปปนึง โดยการสังเกตุง่ายๆเลยก็คือสังเกตุ การรั่วซึมหรือรอยของคราบน้ำมัน ในส่วนต่างๆ ถ้าเกินมีจุดใดรั่วซึมผมแนะนำให้พวกพี่ๆและเพื่อนๆนำรถเข้าเช็คกับทางศูนย์บริการก่อนจะดีที่สุดนะครับ หรือถ้าเช็คหรือซ่อมเองได้อันนี้ก็ไม่ว่ากัน
4.ตรวจสอบเสียงหรืออาการผิดปกติของรถยนต์ วิธีนี้สังเกตุง่ายๆแค่ฟังเสียงหรืออาการตอนขับขี่ว่าผิดปกติหรือรู้สึกว่าแตกต่างหรือไม่ ถ้ามีอาการควรเข้าเช็คตามศูนย์บริการนะครับ จะง่ายที่สุด
5.ตรวจยาง แรงดันลมยางและยางอะไหล่ วิธีที่สังเกตุง่ายที่สุดคือการดู โดยสักเกตุความต่างของยางแต่ละข้างว่าระดับยางแตกต่างกันหรือไม่ และเพื่อความมั่นใจควรนำรถเข้าเช็คลมยางก่อนจะดีที่สุดครับ จากประสบการณ์ของผมแล้ว แนะนำว่ารถยนต์นั้งที่จะเดินทางไกลควรเติมลมยางอยู่ที่ 29-31 PSI เพราะจะไม่กระด้างและไม่เปลืองน้ำมันด้วยนะครับ ส่วนรถกระบะควรเช็คลมยางให้อยู่ระดับ30-32 PSI ส่วนล้อหลังถ้าบรรทุกหนักควรอยู่ที่ 34-38 PSI ถ้าเติมลมแข็งเกินไปจะทำการขับขี่กระด้างเกินไป และเกิดความเสียสายกับยางโดยใช่เหตุ ส่วนยางอะไหล่ก็อย่าลืมตรวจสอบกันนะครับเพราะว่ายางอะไหล่ที่ไม่เคยนำออกมาใช้เลย แรงดันลมยางก็ต่ำได้นะครับ และอย่าลืมตรวจสอบอุปกรณ์เปลี่ยนยางอะไหล่ละครับ (ถ้ายางแตกหรือรั่วซึมในเขตนอกเมือง ผมมีวิธีมาแนะนำนะครับ ก็คือ สเปรย์อุดรอยรั่ว ใช้ง่ายและมีวิธีใช้อยู่ด้านข้างขวด เมื่ออัดเข้าไปขณะรั่วจะสามารถวิ่งไปได้ต่อประมาณ30-50 กม.เลยทีเดียวนะครับ หาซื้อได้ทั่วไปที่ห้างหรือตามร้านขายอะไหล่ยนต์นะครับ)
6.ตรวจสอบระบบส่องสว่าง วิธีที่ตรวจสอบง่ายๆเลยก็คือดูอีกนั้นแหละครับ โดยที่เปิดระบบส่องสว่างของรถยนต์ของเพื่อนๆพี่ๆให้หมดละครับ แล้วสักเกตุว่ามีจุดได้ไม่ส่องสว่างหรือไม่ หรือถ้าเป็นไฟเบรกก็ให้คนในครอบครัวไปเหยียบเบรกให้ก็ได้ครับ (เรื่องไฟเบรกควรตรวจเช็คเป็นประจำนะครับเพราะสำคัญกับผู่ร่วมใช้ทางด้วยกันเอง)
7.ตรวจสอบตัวท่านเอง ข้อสุดท้ายนี้หน้าจะเป็นข้อที่สำคัญที่สุดนะครับ เพราะว่าถ้าตัวผู้ขับไม่พร้อมก็ไม่ควรขับนะครับ หรือถ้าไม่มีใบอณุญาติยิ่งไม่ควรขับเป็นอย่างยิ่ง และควรมีน้ำใจขับผู้ร่วมทางด้วยนะครับ “ดื่มไม่ขับนะคร๊าบ!!!” ด้วยความห่วงใยจากผมเองนะครับ ขอบคุณครับ
อ่านบทความทั้งหมด
2.ตรวจเช็คสภาพความพร้อมใช้งานของเครื่องยนต์และอุปกรณ์ภายใต้ฝากระโปรงรถยนต์ของพวกเพื่อนๆและพี่ๆ ถ้าเพื่อนและพี่ๆนำรถเข้าตรวตเช็คตาระยะอยู่แล้วก็เบาใจได้ระดับนึกเลยครับ แต่ก็อย่าละเลยกับสิ่งเล็กๆน้อยที่อยู้ใต้ฝากระโปรงละครับ อันดับแรกเลยคือ สังเกตุและตรวจสอบระดับของเหลวในรถยนต์ เช่น ระดับน้ำหม้อน้ำ ระดับน้ำในหม้อน้ำสำรอง ระดับน้ำมันเบรก น้ำมันเครื่อง น้ำมันเพาว์เวอร์ น้ำมันเกียร์ โดยตรวจสอบให้อยู่ในระดับไม่น้อยกว่าตำแหน่ง Lowของก้านตรวจเช็ค และที่สำคัญไม่น้อยกว่ากันอีกอย่างคือตรวจสอบระดับน้ำกลั่นในแบตเตอรี่รถยนต์ หรือสังเกตุง่ายๆที่สัญลักษญ์ไฟที่แบตเตอรี่(ถ้าเป็นแบตรุ่นใหม่ๆจะมีไฟบอก) ถ้าเพื่อนๆพี่ๆตรวจเช็คแล้วระดับของเหลวอยู่ในระดับปกติ ก็สบายใจได้เลยทีเดียว
3.ตรวจสอบช่วงล่าง ตรวจสอบง่ายๆเลยเพียงแค่เพื่อนและพี่ๆก้มลงไปดูมันสักแปปนึง โดยการสังเกตุง่ายๆเลยก็คือสังเกตุ การรั่วซึมหรือรอยของคราบน้ำมัน ในส่วนต่างๆ ถ้าเกินมีจุดใดรั่วซึมผมแนะนำให้พวกพี่ๆและเพื่อนๆนำรถเข้าเช็คกับทางศูนย์บริการก่อนจะดีที่สุดนะครับ หรือถ้าเช็คหรือซ่อมเองได้อันนี้ก็ไม่ว่ากัน
4.ตรวจสอบเสียงหรืออาการผิดปกติของรถยนต์ วิธีนี้สังเกตุง่ายๆแค่ฟังเสียงหรืออาการตอนขับขี่ว่าผิดปกติหรือรู้สึกว่าแตกต่างหรือไม่ ถ้ามีอาการควรเข้าเช็คตามศูนย์บริการนะครับ จะง่ายที่สุด
5.ตรวจยาง แรงดันลมยางและยางอะไหล่ วิธีที่สังเกตุง่ายที่สุดคือการดู โดยสักเกตุความต่างของยางแต่ละข้างว่าระดับยางแตกต่างกันหรือไม่ และเพื่อความมั่นใจควรนำรถเข้าเช็คลมยางก่อนจะดีที่สุดครับ จากประสบการณ์ของผมแล้ว แนะนำว่ารถยนต์นั้งที่จะเดินทางไกลควรเติมลมยางอยู่ที่ 29-31 PSI เพราะจะไม่กระด้างและไม่เปลืองน้ำมันด้วยนะครับ ส่วนรถกระบะควรเช็คลมยางให้อยู่ระดับ30-32 PSI ส่วนล้อหลังถ้าบรรทุกหนักควรอยู่ที่ 34-38 PSI ถ้าเติมลมแข็งเกินไปจะทำการขับขี่กระด้างเกินไป และเกิดความเสียสายกับยางโดยใช่เหตุ ส่วนยางอะไหล่ก็อย่าลืมตรวจสอบกันนะครับเพราะว่ายางอะไหล่ที่ไม่เคยนำออกมาใช้เลย แรงดันลมยางก็ต่ำได้นะครับ และอย่าลืมตรวจสอบอุปกรณ์เปลี่ยนยางอะไหล่ละครับ (ถ้ายางแตกหรือรั่วซึมในเขตนอกเมือง ผมมีวิธีมาแนะนำนะครับ ก็คือ สเปรย์อุดรอยรั่ว ใช้ง่ายและมีวิธีใช้อยู่ด้านข้างขวด เมื่ออัดเข้าไปขณะรั่วจะสามารถวิ่งไปได้ต่อประมาณ30-50 กม.เลยทีเดียวนะครับ หาซื้อได้ทั่วไปที่ห้างหรือตามร้านขายอะไหล่ยนต์นะครับ)
6.ตรวจสอบระบบส่องสว่าง วิธีที่ตรวจสอบง่ายๆเลยก็คือดูอีกนั้นแหละครับ โดยที่เปิดระบบส่องสว่างของรถยนต์ของเพื่อนๆพี่ๆให้หมดละครับ แล้วสักเกตุว่ามีจุดได้ไม่ส่องสว่างหรือไม่ หรือถ้าเป็นไฟเบรกก็ให้คนในครอบครัวไปเหยียบเบรกให้ก็ได้ครับ (เรื่องไฟเบรกควรตรวจเช็คเป็นประจำนะครับเพราะสำคัญกับผู่ร่วมใช้ทางด้วยกันเอง)
7.ตรวจสอบตัวท่านเอง ข้อสุดท้ายนี้หน้าจะเป็นข้อที่สำคัญที่สุดนะครับ เพราะว่าถ้าตัวผู้ขับไม่พร้อมก็ไม่ควรขับนะครับ หรือถ้าไม่มีใบอณุญาติยิ่งไม่ควรขับเป็นอย่างยิ่ง และควรมีน้ำใจขับผู้ร่วมทางด้วยนะครับ “ดื่มไม่ขับนะคร๊าบ!!!” ด้วยความห่วงใยจากผมเองนะครับ ขอบคุณครับ