วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2556

อาหารเพื่อสมองสดใส

By โอ๊ต
 มาดูกันว่าเรากินอะไรสมองจะได้สดใสพร้อมสอบ !!

1.บลูเบอร์รี่


ลูกเบอร์รี่ต่าง ๆ คือหนึ่งในอาหารที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์เรา และบลูเบอร์รี่ก็ดีต่อสมองมาก ๆ เนื่องจากมีใยอาหารสูงแต่ค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ หมายความว่า ผู้ป่วยเบาหวานก็กินได้โดยที่ไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงเฉียบพลัน เคยมีการศึกษามากมายที่ชี้ว่า มันจะช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคอัลไซเมอร์ ช่วยให้เราเรียนรู้เรื่องต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น สิ่งที่ต้องระวังก็คือให้เลี่ยงบลูเบอร์รี่เชื่อม หรืออบแห่งเท่านั้น

2.แซลมอนธรรมชาติ



กรดไขมันจำเป็น โอเมก้า-3 เป็นสิ่งที่สำคัญต่อสมองมาก ไขมันที่มีประโยชน์นี้มีความเกี่ยวพันกับสติปัญญา ช่วยให้กระปรี้กระเปร่า ชะลอความเสื่อมถอยของระบบประสาทส่วนกลาง พัฒนาความจำ ทำให้อารมณ์ดี และลดโอกาสเกิดโรคซึมเศร้า หรือโรคสมาธิสั้น แต่ถ้ามีโอกาสก็ให้เลือกแซลมอนตามธรรมชาติดีกว่าแซลมอนจากฟาร์มเลี้ยง

 3.ทับทิม



คนรักทับทิมควรจะกินจากผลสด ๆ มากกว่าดื่มน้ำคั้น เพราะจะได้ใยอาหารด้วย ทับทิมมีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่นเดียวกับบลูเบอร์รี่ ซึ่งจำเป็นมาก ๆ สำหรับสุขภาพของสมอง เพราะสมองคืออวัยวะแรก ๆ ที่จะได้รับผลกระทบจากความเครียด ดังนั้น สิ่งใดก็ตามที่ช่วยระงับความเครียดได้จะดีต่อสมองเช่นกัน

4.กาแฟ



เมล็ดกาแฟคล้ายกับเมล็ดโกโก้ตรงที่มันเต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ กรดอะมิโน วิตามิน และแร่ธาตุ โดยเฉพาะผงกาแฟจากเมล็ดที่บดใหม่ ๆ จะมีประโยชน์ต่อทั้งสมองและร่างกายมาก ส่วนกาเฟอีนก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีผลดีต่อสมองเช่นกัน การดื่มกาแฟเป็นประจำจะช่วยชะลอไม่ให้สมองเสื่อมถอย ป้องกันโรคอัลไซเมอร์หรือโรคหลงลืมได้จริง แม้กระนั้นก็ยังมีคำถามว่า ตกลงแล้วกาแฟมีประโยชน์หรือเปล่า ปัญหาอยู่ที่เรามักจะผสมกาแฟกับของที่ไม่ดีต่อสุขภาพอื่น ๆ เช่น ครีม น้ำตาล ช็อกโกแลต หรือวิปครีม สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เพิ่มทั้งสารเคมีและไขมันให้แก่กาแฟ ความจริงแล้วเมล็ดกาแฟเป็นของปลอดภัย ยิ่งถ้าเป็นเอสเพรสโซ่เพียว ๆ ยิ่งดีต่อทั้งหัวใจและสมองเลยล่ะ

5.ถั่ว



ถั่วมีทั้งโปรตีน ใยอาหาร และไขมันที่มีประโยชน์ คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่อยู่ในถั่วจะทำให้เราแจ่มใสได้ ในขณะที่โปรตีนและไขมันจะช่วยให้พลังงานคงระดับตลอดทั้งวัน นอกจากนี้ ยังมีวิตามินอีซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของสมอง แต่อย่างไรก็ควรหลีกเลี่ยงถั่วเหลือบน้ำตาล หรือปรุงรส ส่วนทางเลือกที่ดีก็มีตั้งแต่เฮเซลนัต เม็ดมะม่วงหิมพานต์ วอลนัต และอัลมอนต์ ส่วนแมคคาเดเมียนั้นมีปริมาณไขมันมากกว่าถั่วชนิดอื่น ๆ

 6.ทูน่า



นอกจากจะเป็นแหล่งของโอเมก้า-3 แล้ว ปลาทูน่า โดยเฉพาะปลาทูน่าครีบเหลือง ซึ่งมีระดับวิตามินบี 6 สูงกว่าอาหารประเภทอื่น ๆ วิตามินบี 6 นี้เกี่ยวพันโดยตรงกับความจำและสติปัญญา รวมถึงสุขภาพโดยรวมในระยะยาวของสมอง โดยรวมแล้ววิตามินบีคือ หนึ่งในสิ่งที่สำคัญที่สุดต่อการรักษาอารมณ์ให้คงที่ แต่วิตามินบี 6 จะส่งผลต่อการรับสารโดพามีนที่เป็นหนึ่งในฮอร์โมนความสุขเหมือนกับเซโรโทนิน

7.ข้าวกล้อง



ด้วยความที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ ข้าวกล้องจึงดีมาก ๆ สำหรับคนที่แพ้กลูเธนเพื่อให้สุขภาพของหลอดเลือดหัวใจแข็งแรงขึ้น ยิ่งระบบไหลเวียนโลหิตของเราดีเท่าไหร่ สมองก็ยิ่งเฉียบแหลมมากเท่านั้น

8.ชาเขียว



ชาเขียวนี้คือ มัตชะ ชาเขียวจากใบชาอ่อน ๆ ที่ผ่านกรรมวิธีบดด้วย หินตามแบบฉบับญี่ปุ่น เมื่อเราดื่มชาเขียวเหล่านี้เข้าไป ก็เหมือนกับเราดื่มใบชาเข้าไปทั้งใบ ผงชาเขียวนั้นอุดมไปด้วยสารคลอโรฟิลด์จึงทำให้มีสีเขียวสด เมื่อผสมเข้ากับน้ำร้อน (แต่ไม่เดือด) จะมีรสชาติฝาดนิด ๆ และเพียงแก้วเดียวก็ทำให้คุณรู้สึกปลอดโปร่งได้ ว่ากันว่า มัตชะคือเหตุผลหนึ่งซึ่งทำให้พระสงฆ์ญี่ปุ่นสามารถนั่งสมาธินาน ๆ ได้ แต่ถ้าพูดในแง่วิทยาศาสตร์แล้วมัตชะมีสารที่ชื่อว่า Catechin วิตามินเอและซี ฟลูออไรด์ และสาร L-Theanine ซึ่งช่วยในเรื่องสมาธิ แค่เฉพาะสารต้านอนุมูลอิสระอย่างเดียวก็มีมากกว่าบลูเบอร์รี่ถึง 33 เท่า

9.เมล็ดพืช



ไม่ว่าจะเป็นเมล็ดทานตะวัน เมล็ดแฟล็กซ์ เมล็ดฟักทอง หรือเมล็ดพืชอื่น ๆ ก็ล้วนมีโปรตีน ไขมัน วิตามินอี สารต้านอนุมูลอิสระ และแร่ธาตุซึ่งช่วยเสริมสร้างสมองอย่างแมกนีเซียม

10.ข้าวโอ๊ต



ถ้ามันดีต่อสุขภาพของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ ก็แปลว่ามันดีต่อสมองของเราด้วย ข้าวโอ๊ตมีใยอาหารและก็มีโปรตีนอยู่พอสมควร หรือแม้แต่โอเมก้า-3 ก็ยังมีอีกจำนวนหนึ่ง การกินข้าวโอ๊ตตอนเช้าจะช่วยให้เราแจ่มใส และไม่ง่วงนอนแม้ในยามบ่ายด้วย

11.หอยนางรม



ไม่ใช่หอยทุกชนิดจะเป็นอาหารสมองได้ แต่หอยนางรมน่ะใช่แน่ ๆ เพราะมีทั้งซีลีเนียม แมกนีเซียม โปรตีน และแร่ธาตุอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อสุขภาพสมอง ก่อนหน้านี้เคยมีการทดลองพบว่า คนที่กินหอยนางรมมีความจำและอารมณ์ดีขึ้นด้วย
อ่านบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2556

10วิธีเปลี่ยนความรักแสนเปราะบาง ให้มั่นคงแข็งแรง

By Sam



ความรักเป็นความรู้สึกที่เปราะบางและแตกหักง่าย ซึ่งตอนนี้หลาย ๆ คนอาจตกอยู่ในห้วงอารมณ์รู้สึกสับสน ไม่แน่ใจ ในความสัมพันธ์ของตัวเอง อีกทั้งจะหันไปปรึกษาใครก็ได้คำตอบที่ไม่ตรงใจสักเท่าไหร่ เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับแต่ละคนไม่เหมือนกัน ดังนั้น ในวันนี้เราจึงรวบรวมคำแนะนำดี ๆ มาฝากกัน จะได้รู้กันไปเลยว่าถ้าอยากให้ความรักมั่นคงแข็งแรงต้องทำอย่างไรบ้าง

1. ซื่อสัตย์กับคนรัก

ในวันที่รู้สึกไม่แน่ใจและสับสนสิ่งแรกที่ควรทำก็คือ ซื่อสัตย์กับคนรักของตัวเอง โดยการพูดคุยอย่างตรงไปตรงมาทุก ๆ เรื่อง ทั้งแผนที่วางเอาไว้สำหรับอนาคต หรือความรู้สึกที่แท้จริงกับสถานการณ์ในปัจจุบัน เพราะการเก็บงำสิ่งเหล่านั้นไว้กับตัวเองจะยิ่งเพิ่มอารมณ์ด้านลบมากยิ่งขึ้น หรือเรียกง่าย ๆ ว่าอาการคิดมาก สุดท้ายก็หนีไม่พ้นการทะเลาะกันแน่นอน

2. เชื่อใจกันและกัน

หากมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสูญเสียความเชื่อใจไปแล้ว ก็เป็นเรื่องยากที่จะเรียกความรู้สึกเหล่านั้นกลับมาได้อีก ฉะนั้น ตอนนี้ก็ลบความรู้สึกหวาดระแวงทิ้งไป แล้วสร้างความเชื่อใจขึ้นมา อย่างเช่น ปล่อยให้อีกฝ่ายออกไปหาครอบครัวหรือเพื่อนฝูงบ้างและไม่โทรศัพท์ไปหาบ่อยจนเกินจำเป็น ในระหว่างนั้นตัวเองก็ทำสิ่งที่ชอบไปพลาง ๆ จะได้ไม่ฟุ้งซ่าน

3. พูดคุยกันบ่อยขึ้น

การพูดคุยเป็นเรื่องสำคัญที่สามารถทำให้ทั้งสองคนเข้าอกเข้าใจและสนิทแนบแน่นกันมากยิ่งขึ้น หากเป็นไปได้ในแต่ละวันควรจะมีการพูดคุยกันบ้างสักนิดสักหน่อย อาจเป็นเรื่องข่าว เหตุการณ์ต่าง ๆ หรือบรรยากาศการทำงานก็ได้ ดีกว่าปล่อยให้ความเงียบเป็นตัวคั่นกลาง เพราะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ทั้ง 2 ฝ่ายห่างเหินออกไป

4. ให้ความสนใจ

ในเมื่อมีคนรักอยู่ข้างกายแล้วควรจะดูแลให้ดี เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกเหงาหรือโดดเดี่ยว หากเป็นไปได้ในแต่ละวันควรจะแบ่งเวลาให้กับคนรักบ้าง พากันไปทานอาหาร ดูหนัง ฟังเพลงเหมือนคู่อื่น ๆ หรือถ้าหากมีเวลาน้อยก็อาจจะซื้อของขวัญ ทำอาหารให้ทาน หรือชวนกันไปเที่ยวสถานที่ใกล้ ๆ ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ก็ได้

5. แสดงความรัก

ถึงแม้จะรักอีกฝ่ายสุดหัวใจและยอมทำทุกอย่างเพื่อเขาหรือเธอ แต่บางครั้งก็ควรพูดหรือแสดงออกมาเพื่อให้อีกฝ่ายมั่นใจมากยิ่งขึ้น อย่างเช่น บอกรัก กอด หรือวิธีง่าย ๆ แบบจับมือขณะเดินช้อปปิ้ง เท่านี้ก็สามารถทำให้อีกฝ่ายหัวใจพองโต หน้าแดงได้แล้ว

6. ให้เกียรติกันและกัน

ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายต่างก็ต้องการคนรักที่เคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกันทั้งนั้น ไม่นำเรื่องส่วนตัวไปเปิดเผย หรือทำให้รู้สึกอับอายทั้งต่อหน้าและลับหลัง ต่างคนต่างก็พูดถึงแต่เรื่องดี ๆ หากมีปัญหาก็เก็บมาพูดคุยกันสองต่อสอง ไม่ใช่โมโหต่อขานว่ากล่าวในที่สาธารณะหรือช่วงที่อยู่กับกลุ่มเพื่อน ๆ

7. ยืนเคียงข้างกัน

นอกจากนี้ควรจะคอยเคียงข้างกันตลอดเวลาไม่ว่าจะมีความสุขหรือทุกข์ใจ ในขณะเดียวกันก็ไม่ทิ้งให้อีกฝ่ายต้องอยู่คนเดียวเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์คับขันหรือช่วงที่กำลังลำบาก ถึงแม้จะไม่มีคำแนะนำหรือวิธีให้กำลังใจดี ๆ แบบคนอื่น แค่นั่งอยู่ข้าง ๆ ร้องไห้ หัวเราะไปด้วยกันก็เพียงพอแล้ว

8. ปรับข้อเสีย

ต่างคนต่างก็มีข้อเสียของตัวเองด้วยกันทั้งนั้น แต่เพื่อความสัมพันธ์ที่มั่นคงและยั่งยืน หากรู้ว่าตัวเองมีข้อเสียหรือจุดด้อยตรงไหน หากเป็นไปได้ก็ควรจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น โดยเฉพาะส่วนที่เป็นปัญหาทำให้มีการทะเลาะกันบ่อย ๆ อย่างเช่น นิสัยเอาแต่ใจ ใช้เงินไม่คิด หรือชอบคิดมาก เป็นต้น

9. ชมให้ชื่นใจ

หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าแค่คำชมเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็สามารถทำให้ความสัมพันธ์แข็งแรงขึ้นได้เหมือนกัน เพราะเป็นเสมือนการให้กำลังใจและสร้างความมั่นใจให้กับอีกฝ่ายไปในตัว แถมยังช่วยให้คนที่ถูกชมรู้สึกว่าเป็นคนพิเศษจริง ๆ ด้วย

10. เข้าอกเข้าใจกัน

สำหรับความรักแค่การสื่อสารเพียงอย่างเดียวคงไม่พอ แต่มีความเข้าใจประกอบไปด้วยกัน โดยเฉพาะเวลาที่มีปัญหาหากต่างฝ่ายต่างเอาแต่พูดเหตุผลของตัวเองปัญหาคงไม่มีวันจบแน่นอน นอกจากจะเปิดใจรับฟังและคิดตามบ้าง ความสัมพันธ์จะแข็งแรงและมั่นคงหรือไม่นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความรักเพียงอย่างเดียว แต่ควรจะมีความเข้าอกเข้าใจ ซื่อสัตย์ และอื่น ๆ ด้วย เพราะถ้าหากขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปแล้ว รอยแตกร้าวก็จะค่อย ๆ ขยายกลายเป็นปัญหา และเลิกรากันไปในที่สุด ในเมื่อตอนนี้รู้แล้วว่าควรทำอย่างไรก็อย่าลืมนำไปปฏิบัติกันด้วย
อ่านบทความทั้งหมด