วันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

150 Years of SOLVAY (ประวัติ 150 ปี ของ Solvay)

By Nick



พอดีวันนี้นั่งว่างๆดูยูทูปไปเรื่อยๆ บังเอิญไปเจอเข้าเลยเอามาแบ่งปันให้กันดู แต่ว่ามันเป็นภาษาอังกฤษนะ ดังนั้นใครอยากรู้ประวัติบริษัท เตรียมเปิด Dict ได้เลย หรือง่ายกว่านั้น ถามป๋านูญให้ช่วยแปลก็ดีนะ ; )

ตอนที่ 1 ช่วงเวลาแห่งการบุกเบิก (Pioneering times)


ตอนที่ 2 การประสานพลัง (Consolidation of Power)


ตอนที่ 3 ห้วงเวลาแห่งความคลุมเครือ ( Time of doupt)


ตอนที่ 4 กระจายการลงทุนและการเปิดโอกาส (Diversification and Opening)
ตอนที่ 5 เผชิญหน้ากับความท้าทายของโลก (Facing global challenges)


ตอนที่ 6 สู่ New Solvay (Toward a New SOVLAY)
เป็นไงกันบ้างใครดูจบแล้วอย่าลืมช่วยคนข้างๆแปลด้วยนะ
อ่านบทความทั้งหมด

ว่าด้วยเรื่องการสักยันต์

By Tum นู๋



ว่าแล้วอยู่กับพี่ๆ SOLVAY ก็เข้าปีที่ 3 แล้วเห็นพี่หลายๆคนชอบพระเครื่อง ชอบเรื่องการสักยันต์ผมเลยเอาเรื่องนี้มาฝากครับ ว่าความเป็นมาเป็นอย่างไร อย่างน้อยส่วนตัวผมก็ชื่นชอบในรอยสักเหมือนกัน เข้าเรื่องเลยแล้วกันนะครับ


การสักยันต์มีมาแต่สมัยโบราณกาลแล้ว สมัยก่อนมีการสักยันต์สองประเภทคือสักยันต์สำหรับ พวกเล่นวิชา สักยันต์อีกแบบหนึ่งเรียกว่า นักโทษหรือทาส สักยันต์แบบพวกเล่นวิชามีมาแต่สมัยโบราณผู้ที่สักหรือผู้เล่นวิชาจะถือวิชา อย่างเคร่งครัดไม่ยอมผิดครูใดๆ ทั้งสิ้นเพราะกลัววิชาจะไม่กล้าแกร่งอย่างเต็มที่

สักยันต์นั้นมีมาแต่ยุคสมัยก่อนกรุงสุโขทัยที่เท่าที่เห็นได้ชัดมาปรากฎในยุคของสมเด็จพระนเรศวร มหาราช เพราะเป็นช่วงการเสียเมืองบรรดาทหารประชาชน ต่างก็ต้องหาของดีไว้ป้องกันตัวแม้แต่พระ องค์ท่านซึ่งไม่มีประวัติในการสักก็จริง แต่มีในส่วนของสมเด็จพระสังฆราชคือ สมเด็จพระวันรัตน์วัดป่า แก้วเป็นผู้ที่ดูฤกษ์ชัยประกอบพิธีกรรมต่างๆในยุคนั้น ไม่ว่าการบรรจุดวงพิชัยสงครามการดูฤกษ์ออกรบ การปล้นค่าย รวมทั้งการทำพิธีศักสิทธิ์ทั้งหลายเพื่อให้ได้ชัยชนะ

การสักยันต์จะมาปรากฎให้เห็นเด่นชัด ในช่วงปลายกรุงศรีอยุธยา คือยุคบางระจัน ที่ชาวบ้านบางระจันป้องกันหมู่บ้านของตนเอง ที่มีพระอาจารย์ ธรรมโชติเป็นฝ่ายสงฆ์ ท่านเป็นพระผู้ให้และเสียสละทุกครั้งที่มีการต่อสู้พม่าท่านจะให้ศีลให้พรรวมทั้ง การแจกผ้ายันต์ตระกรุดพิศมร ให้กับชาวบ้านไม่ว่าระดับเล็กหรือระดับใหญ่ และชาวบ้านส่วนมากก็มี การสักยันต์ การลงน้ำมันทาตัว เพื่อให้เหนียวและคงกระพัน จนเป็นที่แปลกใจให้กับบรรดาแม่ทัพของพม่า ว่าชาวบ้านเพียงเล็กน้อยจะสามารถต่อสู้กับทัพใหญ่ของพม่าได้

การสักยันต์ในที่นี้จะขอกล่าวไว้ 2 ประเภท
1.สักยันต์แบบน้ำมัน
2.สักยันต์แบบหมึก

1.สักยันต์แบบน้ำมัน เป็นการสักยันต์ที่ไม่ปรากฎภาพให้เห็น วัถุที่ประกอบในการสักน้ำมันมี
1.1.น้ำมันสัก อาจารย์ส่วนใหญ่จะใช้น้ำมันงาเพราะเข้าร่างกายไม่เป็นอะไร
1.2.ว่านที่ใช้ผสมกับน้ำมันงา อยู่แต่ละประเภทของยันต์หรือภาพยันต์ แต่การนำว่านที่มาผสมสัก นั้นไม่ใช่ว่าจะซื้อมาใช้ได้เลย ต้องมีพิธีกรรมเมื่อได้หัวว่านมาแล้ว มีการหาฤกษ์หายามในการปลูก ถ้าคง กระพันต้องปลูกวันแข็ง ถ้าว่านทางเมตตาใช้วันอ่อน ระหว่างที่ปลูกต้องมีมนต์คาถาปลูกและการรดน้ำว่าน ก็มีคาถากำกับเสมอ และในตอนสุดท้ายการขุดหาวันขุดว่านด้วย ถึงจะได้สำฤทธิ์ผลของว่านด้วยไม่ใช่ ซื้อว่านมาผสมทำได้เลยแบบนี้ที่อาจารย์สมัยใหม่หลายๆท่านได้ทำกัน

ถ้าคนที่มาสักยันต์กับอาจารย์เป็นนักเรียนักศึกษาอาจารย์จะไม่ค่อยสักหมึกให้เพราะกลัวมีปัญหา เมื่อคนที่มาสักไปหางานหาการทำจะมีปัญหาในการรับเข้าทำงานอาจารย์จะลงน้ำ หมึกและน้ำมันพุทธคุณดีสุดยอดให้กับลูกศิษย์ลูกหาที่มาสัก ยันต์ที่อาจารย์สักมีหลายด้านอาจารย์จะสักแบบโบราณจะไม่ใช้เครื่องสักเลย 2

.สักยันต์แบบน้ำหมึกการ สักยันต์แบบหมึก การสักสันต์แบบหมึกนี้จะปรากฏเป็นภาพสีขึ้นมาโดยปกติการใช้ หมึกนั้นส่วนใหญ่จะหมึกจีนเป็นหลักแต่ปัจจุบันนี้ได้มีหมึกเข้ามาในประเทศ อย่างมากบางอาจารย์ก็ใช้หมึกของต่างประเทศเพื่อให้ดูสวยงาม บางอาจารย์ใช้หมึกสีแดง สีเขียวเข้ามาประกอบด้วย เพื่อพัฒนาลวดลายของสำนักตนเอง แต่ที่ตามโบราณ์ยึดถือกันมาเก่าแก่ คือหมึกจีนมากกว่า

แนวปฏิบัติเมื่อสักของดีจากอาจารย์ไปแล้วเพื่อให้เกิดความขลังสืบไป
1.ไม่ให้ประมาทอยู่ในความมีสติ
2.ไม่ลบหลู่ศีลธรรม พ่อแม่ครูอาจารย์
3.ไม่กระทำความชั่วให้รักษาศีล
4.ไม่ด่าบุพการีของตนเองและผู้อื่น

ข้อห้ามของอาจารย์สำหรับลูกศิษย์ที่จะมาสักกับอาจารย์
1.ห้ามใช้ผ้าเช็ดตัวมาเช็ดหน้าและศีรษะ (แยกเป็นสองผืนๆหนึ่งเช็ดตัวผืนหนึ่งเช็ดหน้าและศีรษะ)
2.ห้ามกินของที่เขาบอกว่าเป็นของเหลือเดน
3.ห้ามนำกางเกงหรือของต่ำมาข้ามศีรษะ

ปล.ใครส่งเรื่องอะไรมากันแล้วยังไม่ได้ลงใจเย็นๆนะครับ เปลี่ยนบรรยากาศกันนิดนึงเพราะส่วนมากส่งมาเป็นเรื่องเกี่ยวกับแนวคิดทั้งนั้นเลย อ่านไปเยอะๆหนักสมองเหมือนกันนะ ดังนั้นตั้มหนูเอาเรื่องนี้มาเล่าเลยหยิบมาให้อ่านกันเพลินๆก่อนนะครับ


อ่านบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

คุณค่าแห่งการรู้คุณค่า

By Bank


หนุ่มน้อยเพิ่งจบการศึกษาด้วยผลการเรียนดีเยี่ยมไปสมัครงานในตำแหน่งผู้จัดการในบริษัทใหญ่แห่งหนึ่ง หลังจากผ่านการสอบสัมภาษณ์ครั้งแรกไปแล้วผู้อำนวยการได้เรียกเขาไปสัมภาษณ์เป็นครั้งสุดท้ายก่อนตัดสินใจ ผู้อำนวยการเห็นข้อมูลในประวัติของเด็กหนุ่มคนนี้ว่ามีผลการเรียนเป็นเลิศในทุกวิชาตลอดมานับตั้งแต่อุดมศึกษาจนจบมหาวิทยาลัย ไม่ปรากฏว่าเขาทำคะแนนตกเลย



ผู้อำนวยการเริ่มคำถามว่า " เธอเคยได้รับทุนการศึกษาอะไรหรือเปล่า ?"

เด็กหนุ่มตอบว่า " ไม่เคยครับ "

ผู้อำนวยการถามต่อว่า " คุณพ่อของเธอเป็นคนจ่ายค่าเล่าเรียนให้ใช่ไหม? "

เด็กหนุ่มตอบว่า " คุณพ่อของผมเสียไปตั้งแต่ผมอายุได้ขวบเดียวครับ เป็นคุณแม่ที่จ่ายค่าเล่าเรียนให้ผม"

ผู้อำนวยการถามต่อว่า " คุณแม่ของเธอทำงานที่ไหน? "

เด็กหนุ่มตอบว่า " คุณแม่ทำงานซักรีด "

ผู้อำนวยการขอดูมือของเขา เด็กหนุ่มยื่นมือที่เรียบลื่นไม่มีที่ติให้ผู้อำนวยการดู

ผู้อำนวยการถามต่อว่า " เธอเคยช่วยคุณแม่ของเธอทำงานบ้างหรือเปล่า ?"

เด็กหนุ่มตอบว่า " ไม่เคยครับ คุณแม่ต้องการให้ผมเรียนแล้วก็อ่านหนังสือเยอะๆ คุณแม่ซักผ้าได้เร็วกว่าผมด้วยครับ "

ผู้อำนวยการบอกว่า " ฉันมีเรื่องให้เธอช่วยทำอย่างหนึ่งนะ วันนี้เธอกลับไปที่บ้าน ช่วยล้างมือของคุณแม่ของเธอแล้วกลับมาพบฉันอีกทีพรุ่งนี้เช้า "


ด้วยความมั่นใจว่าโอกาสที่จะได้งานทำมีอยู่สูงมาก เมื่อเขากลับไปถึงบ้านเขาจึงรู้สึกเต็มใจที่จะล้างมือให้แม่ของเขา ฝ่ายแม่รู้สึกประหลาดใจระคนหวั่นใจ เธอส่งมือให้ลูก หนุ่มน้อยค่อยๆ ล้างมือให้แม่ แล้วน้ำตาไหลก็ออกมา เขาเพิ่งรู้สึกว่ามือของแม่นั้นช่างเหี่ยวย่นและเต็มไปด้วยริ้วรอขูดข่วน ซึ่งบางแผลพอโดนล้างน้ำก็ทำให้แม่เจ็บจนตัวสั่นระริก

นี่เป็นครั้งแรกที่เด็กหนุ่มตระหนักรู้ว่า มือคู่นี้เองที่ซักผ้าทุกวันเพื่อหารายได้มาส่งเสียให้เขาได้เล่าเรียน รอยแผลเหล่านี้คือราคาทีแม่ต้องจ่ายไปเพื่อความสำเร็จในการศึกษาของเขา เพื่อผลการเรียนที่ยอดเยี่ยมของเขาและอาจจะเพื่ออนาคตของเขาด้วย

คืนนั้นสองแม่ลูกได้คุยกันอยู่นาน

เช้าวันต่อมา เด็กหนุ่มก็เดินทางไปที่ออฟฟิศของผู้อำนวยการ

ผู้อำนวยการสังเกตเห็นน้ำตาในดวงตาของเขา จึงถามขึ้นว่า

" ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยว่าเมื่อคืนที่บ้าน เธอทำอะไรบ้าง แล้วได้บทเรียนอะไร "

เด็กหนุ่มตอบว่า " ผมล้างมือให้แม่ครับ แล้วก็เลยช่วยแม่ซักผ้าที่เหลือจนเสร็จ "

ผู้อำนวยการบอกว่า " ช่วยเล่าให้ฉันฟังหน่อยว่า เธอรู้สึกยังไง "

เด็กหนุ่มตอบ

"ข้อที่หนึ่ง ผมได้รู้ซึ้งถึงคำว่า สำนึกในบุญคุณ

ถ้าไม่มีแม่ก็คงไม่มีความสำเร็จของผมด้วย

ข้อที่สอง จากการช่วยแม่ทำงานว่า ผมได้รู้ว่ามันลำบากยากเย็นยังไงกว่าจะทำอะไรออกมาสักอย่างหนึ่ง

ข้อที่สาม ผมได้เรียนรู้ถึงความสำคัญของความผูกพันในครอบครัว "

ผู้อำนวยการจึงบอกว่า " นี่คือสิ่งที่ฉันต้องการ

ฉันอยากได้คนที่รู้ค่าของการได้รับความช่วยเหลือ

อยากได้คนที่เข้าใจถึงความลำบากของใครสักคนในการจะทำอะไรได้มาสักอย่าง และอยากได้คนที่ไม่ได้ตั้งเงินเป็นเป้าหมายในชีวิตแต่เพียงอย่างเดียว มาเป็นผู้จัดการให้ฉัน เป็นอันตกลงว่าฉันรับเธอไว้ทำงาน "


ในเวลาต่อมา เด็กหนุ่มคนนี้ก็ได้ทำงานอย่างหนักและได้รับความนับถือจากผู้ใต้บังคับบัญชา ลูกจ้างทุกคนทำงานเป็นทีมอย่างขยันขันแข็ง กิจการของบริษัทก็เจริญก้าวหน้าเป็นอย่างดี

เด็กที่ถูกตามใจจนเป็นนิสัยได้รับทุกอย่างที่ต้องการ จะสร้างนิสัยเอาแต่ใจตัวเองและเห็นแก่ตัวเองเป็นอันดับแรก เขาจะไม่สนใจความเหนื่อยยากของพ่อแม่ เมื่อถึงวัยทำงานเขาก็จะคาดหวังว่า ใครๆจะต้องเชื่อฟังเขา เมื่อเขาเป็นผู้จัดการ เขาจึงไม่มีวันรู้ว่าบรรดาลูกจ้างนั้นลำบากอย่างไรและมักจะโทษคนอื่น คนลักษณะนี้เขาอาจจะทำงานได้ อาจจะประสบความสำเร็จช่วงหนึ่ง แต่ในที่สุดแล้ว เขาจะไม่สำเหนียกคุณค่าของความสำเร็จ หากยังคงคร่ำครวญ เคียดขึ้ง และไม่มีวันรู้สึกเพียงพอ


ถ้าเราเป็นพ่อแม่ประเภทที่ปกป้องลูกแบบนี้ จงถามตัวเราว่า

เรากำลังให้ความรักกับลูกหรือ กำลังทำลายเขากันแน่ ?

เราให้ลูกๆ มีบ้านใหญ่ๆ อยู่ กินอาหารดีๆ เรียนเปียโน ดูทีวีจอใหญ่

แต่เวลาที่เราตัดหญ้า ลองให้ลูกได้ทำด้วย หลังอาหาร ให้เขาล้างถ้วยชามของตัวเองพร้อมๆกับพี่ๆน้องๆ ไม่ใช่ว่าเราไม่มีปัญญาจ้างคนรับใช้ แต่เพราะเราอยากจะให้ความรักกับพวกเขาอย่างถูกวิธี

เราอยากให้เขาเข้าใจว่า ไม่ว่าพ่อแม่จะจนหรือจะรวย วันหนึ่งก็จะต้องผมขาวแก่เฒ่าลงไป เหมือนกับแม่ของเด็กหนุ่มคนนี้


สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ลูกของเราจะได้เรียนรู้ คือ รู้คุณค่าของความพยายาม ได้รู้จักว่า ความยากลำบากมันเป็นยังไงและได้เรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกับผู้อื่นให้เป็น

อ่านบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เรื่องเข็มนาฬิกากับหน้าที่

By P'Sunant




เข็มนาฬิกากับหน้าที่ ณ ห้องนั่งเล่นของบ้านหรูสไตล์ตะวันตกหลังหนึ่งมีนาฬิกาเรือนงามเรือนหนึ่งประดับเด่นอยู่บนผนัง

ของห้องนั่งเล่นนั้นเข็มนาฬิกาทั้งสามบนหน้าปัดนาฬิกาเรือนงามนี้ต่างภูมิใจในหน้าที่ของพวกตนที่ได้บอกเวลาอย่างเที่ยงตรงแก่เจ้าของบ้านและผู้มาเยือนมาโดยตลอด

วันหนึ่งเจ้าเข็มวินาทีสีแดงสดรูปร่างเพรียวบางรู้สึกเหนื่อยหน่ายกับภาระหน้าที่ของตัวเองที่ต้องตรากตรำเดินอยู่บนหน้าปัดตลอดเวลาอย่างเหน็ดเหนื่อยในขณะที่ในวันหนึ่ง ๆ เจ้าเข็มสั้นและเจ้าเข็มยาวไม่ค่อยได้เดินสักเท่าไรเลยเจ้าเข็มวินาทีจึงรู้สึกว่าตนถูกเอารัดเอาเปรียบอย่างมาก จึงโวยวายออกไปว่า

“ข้าทนไม่ไหวแล้วนะ พอทีเถอะ ข้าเหนื่อยเหลือเกินกับการทำหน้าที่ของข้าพวกเจ้าเอาเปรียบข้า ข้าไม่เคยได้พักอย่างพวกเจ้าบ้างเลย ข้าไม่อยากเดินอีกต่อไปแล้ว พอกันที”

เมื่อได้ฟังดังนั้น เจ้าเข็มสั้นจึงบอกกับเจ้าเข็มวินาทีไปด้วยเสียงอันแหลมเล็กว่า

“โอ๊ะ.........โอ!! โถๆๆๆ เจ้าเข็มวินาทีเอ๋ย เจ้าหาว่าพวกข้าเอาเปรียบงั้นรึ? เจ้าจงมองดูรูปร่างของข้าสิอ้วนอุ้ยอ้ายและยังตัวสั้นเตี้ย แถมข้ายังมีหัวที่โตมากอีกต่างหากข้าต้องแบกหัวหนัก ๆ นี้ไว้ตลอดเวลาเลยกว่าข้าจะเดินได้แต่ก้าวนี่ช่างยากลำบากกว่าเจ้าเป็นไหน ๆ แล้วอย่างนี้เจ้าจะมาหาว่าข้าเอาเปรียบเจ้าได้อย่างไรกัน”

เจ้าเข็มยาวก็กล่าวเสริมว่า “เจ้าเข็มวินาทีเอ๋ยเจ้าคงไม่รู้หรอกนะว่าข้าแอบอิจฉาเจ้าที่เจ้ามีรูปร่างเพรียวบางสามารถเดินได้อย่างคล่องแคล่วและมีสีแดงสดใสสะดุดตาเช่นเจ้านี้ ผิดกับข้านักที่ตัวดำและหนาเทอะทะ”


“ไม่จริง พวกเจ้าโกหกไม่ต้องมาหลอกข้าซะให้ยากบอกว่าข้าดีอย่างนั้นอย่างนี้ ทำไมไม่มาเป็นข้าดูบ้างล่ะ

ข้าจะได้พักผ่อนเสียที” เจ้าเข็มวินาทีกระแทกเสียง

เจ้าเข็มนาฬิกาทั้งสามจึงสลับหน้าที่กันโดยที่เจ้าเข็มสั้นทำหน้าที่แทนเจ้าเข็มยาวขณะที่เจ้าเข็มยาวทำหน้าที่แทนเจ้าเข็มวินาทีส่วนเจ้าเข็มวินาทีได้แต่นอนดูเพื่อน ๆ เดินตามหน้าที่ใหม่มันดีใจมากที่ไม่ค่อยได้เดินสักเท่าไรเพราะมันทำหน้าที่แทนเจ้าเข็มสั้น


ทันใดนั้นเจ้าของบ้านที่กำลังนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นก็เกิดความประหลาดใจมากที่เห็นนาฬิกาเรือนงามบนผนังเดินผิดปกติ กึก...กึก..........กึก........เจ้าเข็มวินาทีสะดุ้งเฮือกเมื่อรับรู้ถึงการสั่นสะเทือนของนาฬิกา “โอ๊ย......... เกิดอะไรขึ้นเนี่ย ?” เจ้าเข็มวินาทีถามขึ้น “แย่แล้ว..... พวกเราไม่มีประโยชน์อีกต่อไปแล้วหรือนี่ทำไมเขาถึงยกนาฬิกาที่เราอยู่ลงจากผนังเสีย ? เราจะทำอย่างไรดีล่ะทีนี้”

เจ้าเข็มสั้นพูดด้วยเสียงอันสั่นเครือ “เมื่อพวกเราต่างไม่ได้ทำตามหน้าที่ของตนนาฬิกาเรือนนี้ก็ไม่สามารถบอกเวลาได้อย่างแม่นยำเหมือนเดิมได้อีกแล้ว เจ้าของบ้านเขาคงเห็นว่าเราคงหมดประโยชน์แล้วล่ะแต่ข้าว่ามันคงไม่สายเกินไปนะที่พวกเราจะทำให้นาฬิกาเรือนที่เราอยู่นี้มีคุณค่าขึ้นอีกครั้งโดยที่เราต้องทำตามหน้าที่ของแต่คนตามเดิม” เจ้าเข็มยาวบอก

“ข้าผิดไปแล้ว เพราะข้าคนเดียวทำให้พวกเราหมดคุณค่าไป” เจ้าเข็มวินาทีพูดด้วยความสำนึกผิด แล้วเจ้าเข็มนาฬิกาทั้งสามก็กลับมาทำหน้าที่ของพวกตนตามเดิม

เมื่อเจ้าของบ้านเห็นว่านาฬิกาเรือนงามของเขาสามารถบอกเวลาได้ตามปกติแล้วเขาจึงนำนาฬิกาเรือนนั้นไปแขวนที่ผนัง

ห้องนั่งเล่นตามเดิมเจ้าเข็มนาฬิกาทั้งสามก็เดินบนหน้าปัดนาฬิกาเรือนงามตามหน้าที่ของพวกตนอย่างมีความสุข
อ่านบทความทั้งหมด