วันเสาร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2557

สาเหตุของอุบัติเหตุ (Causes of Accidents)

By Anon 


สาเหตุของอุบัติเหตุ ที่สำคัญมี 3 ประการ ได้แก่
1. สาเหตุที่เกิดจากคน (Human Cause) มีจำนวนสูงที่สุด คือ 89% ของการเกิดอุบัติเหตุทุกครั้ง ตัวอย่างเช่น การทำงานที่ไม่ถูกต้อง ความพลั้งเผลอ ความประมาท การมีนิสัยชอบเสี่ยงในการทำงาน เป็นต้น
2. สาเหตุที่เกิดจากความผิดพลาดของเครื่องจักร (Mechanical Failure) มีจำนวนเพียง 10% ของการเกิดอุบัติเหตุทุกครั้ง ตัวอย่างเช่น ส่วนที่เป็นอันตรายของเครื่องจักรที่ไม่มีเครื่องป้องกัน เครื่องจักร เครื่องมือหรืออุปกรณ์ต่างๆชำรุดบกพร่อง รวมถึงการวางผังโรงงานไม่เหมาะสม สภาพแวดล้อมในการทำงานไม่ปลอดภัย เป็นต้น
3. สาเหตุที่เกิดจากธรรมชาติ (Acts of God) มีจำนวนเพียง 1 % เป็นสาเหตุที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ นอกเหนือการควบคุมได้ เช่น พายุ น้ำท่วม ฟ้าผ่า เป็นต้น

ซึ่งเป็นการปฏิวัติแนวคิดเดิมเกี่ยวกับการป้องกันอุบัติเหตุหรือเสริมสร้างความปลอดภัยในโรงงานอย่างสิ้นเชิง เขาได้สรุปสาเหตุสำคัญของการเกิดอุบัติเหตุ เป็น 2 ประการ ได้แก่

1. การกระทำที่ไม่ปลอดภัย (Unsafe Acts) เป็นสาเหตุใหญ่ที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุคิดเป็นจำนวน90% ของการเกิดอุบัติเหตุทั้งหมด เช่น 

1.1 การทำงานไม่ถูกวิธี หรือ ไม่ถูกขั้นตอน
1.2 การมีทัศนคติที่ไม่ถูกต้องเช่นอุบัติเหตุเป็นเรื่องของเคราะห์กรรม แก้ไขป้องกันไม่ได้
1.3 ความไม่เอาใจใส่ในการทำงาน
1.4 ความประมาท พลั้งเผลอ เหม่อลอย
1.5 การมีนิสัยชอบเสี่ยง
1.6 การไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบของความปลอดภัยในการทำงาน
1.7 การทำงานโดยไม่ใช้อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล
1.8 การแต่งการไม่เหมาะสม
1.9 การถอดเครื่องกำบังส่วนอันตรายของเครื่องจักรออกด้วยความรู้สึกรำคาญ ทำงานไม่สะดวก หรือถอดออกเพื่อซ่อมแซมแล้วไม่ใส่คืน
1.10 การใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์ไม่เหมาะกับงาน เช่น การใช้ขวดแก้วตอกตะปูแทนการใช้ค้อน
1.11 การหยอกล้อกันระหว่างทำงาน
1.12 การทำงานโดยที่ร่างกายและจิตใจไม่พร้อมหรือผิดปกติ เช่น ไม่สบาย เมาค้าง มีปัญหาครอบครัว ทะเลาะกับแฟน เป็นต้น

2. สภาพการณ์ที่ไม่ปลอดภัย (Unsafe Condition) เป็นสาเหตุรอง คิดเป็นจำนวน10% เท่านั้น เช่น 

2.1 ส่วนที่เป็นอันตราย(ส่วนที่เคลื่อนไหว) ของเครื่องจักร ไม่มีเครื่องกำบังหรืออุปกรณ์ป้องกันอันตราย 2.2 การวางผังโรงงานที่ไม่ถูกต้อง
2.3 ความไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยและสกปรกในการจัดเก็บวัสดุสิ่งของ
2.4 พื้นโรงงานขรุขระ เป็นหลุมเป็นบ่อ
2.5 สภาพแวดล้อมในการทำงานที่ไม่ปลอดภัยหรือไม่ถูกสุขอนามัย เช่น แสงสว่างไม่เพียงพอเสียงดังเกินควร ความร้อนสูง ฝุ่นละออง ไอระเหยของสารเคมีที่เป็นพิษ เป็นต้น
2.6 เครื่องจักรกล เครื่องมือ หรืออุปกรณ์ชำรุดบกพร่อง ขาดการซ่อมแซมหรือบำรุง รักษาอย่างเหมาะสม
2.7 ระบบไฟฟ้าหรืออุปกรณ์ไฟฟ้า ชำรุดบกพร่อง เป็นต้น 

ความสูญเสียจากอุบัติเหตุ การเกิดอุบัติเหตุในแต่ละครั้ง ย่อมก่อให้เกิดความสูญเสียมากมาย นอกจากจะเกิดการบาดเจ็บ การเจ็บป่วย หรือเสียชีวิต หรือแม้แต่ทรัพย์สินเสียหาย อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องจักรที่เกิดความเสียหาย ค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงแล้ว ยังรวมถึงการสูญเสียเวลาในการผลิตที่ต้องหยุดและค่าใช้จ่ายอื่นๆ หรือแม้แต่เสียภาพพจน์ของบริษัทความสูญเสียหรือค่าใช้จ่ายอันเนื่องมาจากการเกิดอุบัติเหตุในโรงงานอุตสาหกรรมนั้นอาจแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ดังนี้คือ

1. ความสูญเสียทางตรง (Direct Loss) 

หมายถึง จำนวนเงินที่ต้องจ่ายไปอันเกี่ยวเนื่องกับผู้ได้รับบาดเจ็บโดยตรงจากการเกิดอุบัติเหตุ หรือเป็นค่าเสียหายที่แสดงให้เห็นอย่างเด่นชัด ได้แก่
1.1 ค่ารักษาพยาบาล
1.2 ค่าทดแทนจากการได้รับบาดเจ็บ
1.3 ค่าทำขวัญ
1.4 ค่าทำศพ
1.5 ค่าประกันชีวิต

2. ความสูญเสียทางอ้อม (Indirect Loss) 

หมายถึง ค่าใช้จ่ายอื่นๆ (ซึ่งส่วนใหญ่จะคำนวณเป็นตัวเงินได้) นอกเหนือจากค่าใช้จ่ายทางตรงสำหรับการเกิดอุบัติเหตุในแต่ละครั้ง ได้แก่

2.1 การสูญเสียเวลาในการทำงานของ
2.1.1 คนงานหรือผู้บาดเจ็บ เพื่อรักษาพยาบาล
2.1.2 คนงานอื่นหรือเพื่อนร่วมงานที่ต้องหยุดชะงักชั่วคราว เนื่องจากช่วยเหลือผู้บาดเจ็บโดยการปฐมพยาบาล หรือนำส่งโรงพยาบาล อยากรู้อยากเห็น การวิพากษ์วิจารณ์ ความตื่นตกใจ
2.1.3 หัวหน้างานหรือผู้บังคับบัญชา เนื่องจากช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ สอบสวน หาสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุ บันทึกและจัดทำรายงานการเกิดอุบัติเหตุ จัดหาคนงานอื่นและฝึกสอนให้เข้าทำงานแทนผู้บาดเจ็บ หาวิธีแก้ไขและป้องกันอุบัติเหตุไม่ให้เกิดซ้ำอีก
2.2 ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมเครื่องจักร เครื่องมือ อุปกรณ์ ที่ได้รับความเสียหาย
2.3 วัตถุดิบหรือสินค้าที่ได้รับความเสียหายต้องทิ้ง ทำลายหรือขายเป็นเศษ
2.4 ผลผลิตลดลง เนื่องจากกระบวนการผลิตขัดข้อง ต้องหยุดชะงัก
2.5 ค่าสวัสดิการต่างๆของผู้บาดเจ็บ
2.6 ค่าจ้างแรงงานของผู้บาดเจ็บซึ่งโรงงานยังคงต้องจ่ายตามปกติ แม้ว่าผู้บาดเจ็บจะทำงานยังไม่ได้เต็มที่หรือต้องหยุดงาน
2.7 การสูญเสียโอกาสในการทำกำไร เพราะผลผลิตลดลงจากการหยุดชะงักของกระบวนการผลิต และการเปลี่ยนแปลงความต้องการของตลาด
2.8 ค่าเช่า ค่าไฟฟ้า น้ำประปา และโสหุ้ยต่างๆที่โรงงานยังคงต้องจ่ายตามปกติ แม้ว่าโรงงานจะต้องหยุดหรือปิดกิจการหลายวันในกรณีเกิดอุบัติเหตุร้ายแรง
2.9 การเสียชื่อเสียงและภาพพจน์ของโรงงาน นอกจากนี้ผู้บาดเจ็บจนถึงขั้นพิการหรือทุพพลภาพ จะกลายเป็นภาระของสังคมซึ่งทุกคนมีส่วนร่วมรับผิดชอบด้วย

ความสูญเสียทางอ้อมจึงมีค่ามหาศาลกว่าความสูญเสียทางตรงมากซึ่งปกติเรามักจะคิดกันไม่ถึง จึงมีผู้เปรียบเทียบว่า ความสูญเสียหรือค่าใช้จ่ายของการเกิดอุบัติเหตุเปรียบเสมือน “ภูเขาน้ำแข็ง” ส่วนที่โผล่พ้นน้ำให้มองเห็นได้มีเพียงเล็กน้อย เมื่อเปรียบเทียบกับส่วนที่จมอยู่ใต้น้ำ
อ่านบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2557

การรักษาศีล 5

By Prasit



       "ศีล" นั้น แปลว่า "ปกติ" คือสิ่งหรือกติกาที่บุคคลจะต้องระวังรักษาตามเพศและฐานะ ศีลนั้นมีหลายระดับ คือ ศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 และ ศีล 227 และในบรรดาศีลชนิดเดียวก็ยังจัดแยกออกเป็นระดับธรรมดา มัชฌิมศีล (ศีลระดับกลาง) และอธิศีล (ศีลอย่างสูง ศีลอย่างอุกฤษฏ์)
        
คำว่า "มนุษย์" นั้น คือผู้ที่มีใจอันประเสริฐ คุณธรรมที่เป็นปกติของมนุษย์ที่จะต้องทรงไว้ให้ได้ตลอดไปก็คือศีล 5 บุคคลที่ไม่มีศีล 5 ไม่เรียกว่ามนุษย์ แต่อาจจะเรียกว่า "คน" ซึ่งแปลว่า "ยุ่ง" ในสมัยพระพุทธกาลผู้คนมักจะมีศีล 5 ประจำใจกันเป็นนิจ ศีล 5 จึงเป็นเรื่องปกติของบุคคลในสมัยนั้น และจัดว่าเป็น "มนุษยธรรม" ส่วนหนึ่งในมนุษยธรรม 10 ประการเป็นปกติ (ซึ่งรวมถึงศีล 5 ด้วย) รายละเอียดจะมีประการใดจะไม่กล่าวถึงในที่นี้

      
การรักษาศีลเป็นการเพียรพยายามเพื่อระงับโทษทางกายและวาจา อันเป็นเพียงกิเลสหยาบมิให้กำเริบขึ้น และเป็นการบำเพ็ญบุญบารมีที่สูงขึ้นกว่าการให้ทาน ทั้งในการถือศีลด้วยกันเอง ก็ยังได้บุญมากและน้อยต่างกันไปตามลำดับต่อไปนี้คือ
1. การให้อภัยทาน
แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถือศีล 5 แม้จะได้ถือแต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม
2.
การถือศีล 5
 
แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถือศีล 8 แม้จะถือแต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม
3.
การถือศีล 8
แม้จะมากถึง 100 ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถือศีล 10 คือการบวชเป็นสามเณรในพระพุทธศาสนา แม้จะบวชมาได้แต่เพียงวันเดียวก็ตาม
4.
การที่ได้บวชเป็นสามเณรในพระพุทธศาสนา
แล้วรักษาศีล 10 ไม่ให้ขาด ไม่ด่างพร้อย แม้จะนานถึง 100 ปี ก็ยังได้บุญน้อยกว่าผู้ที่ได้อุปสมบทเป็นพระในพระพุทธศาสนา มีศีลปาฏิโมกข์สังวร 227 แม้จะบวชมาได้เพียงวันเดียวก็ตาม
ฉะนั้น ในฝ่ายศีลแล้ว การที่ได้อุปสมบทเป็นพระในพระพุทธศาสนาได้บุญบารมีมากที่สุด เพราะเป็นเนกขัมมบารมีในบารมี 10 ทิศ ซึ่งเป็นการออกจากกามเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติธรรมขั้นสูงๆ คือการภาวนาเพื่อมรรค ผล นิพพาน ต่อๆไป ผลของการรักษาศีลนั้นมีมาก ซึ่งจะยังประโยชน์สุขให้แก่ผู้นั้นทั้งในชาตินี้และชาติหน้า เมื่อได้ละอัตภาพนี้ไปแล้วย่อมส่งผลให้ได้บังเกิดในเทวโลก 6 ชั้น ซึ่งแล้วแต่ความละเอียดประณีตของศีลที่รักษาและที่บำเพ็ญมา ครั้งเมื่อสิ้นบุญในเทวโลกแล้ว ด้วยเศษของบุญที่ยังคงหลงเหลืออยู่แต่เพียงเล็กๆ น้อยๆ หากไม่มีอกุศลกรรมอื่นมาให้ผล ก็อาจจะน้อมนำให้ได้มาบังเกิดเป็นมนุษย์ที่ถึงพร้อมด้วยสมบัติ 4 ประการ เช่นอานิสงส์ของการรักษาศีล 5 กล่าวคือ
(1)
ผู้ที่รักษาศีลข้อ 1 ด้วยการไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
ด้วยเศษของบุญที่รักษาศีลข้อนี้ เมื่อน้อมนำมาเกิดเป็นมนุษย์ก็จะทำให้มีพลานามัยแข็งแรง ปราศจากโรคภัย ไม่ขี้โรค อายุยืนยาว ไม่มีศัตรูเบียดเบียนให้ต้องบาดเจ็บ ไม่มีอุบัติเหตุต่างๆที่จะทำให้บาดเจ็บหรือสิ้นอายุเสียก่อนวัยอันสมควร
(2)
ผู้ที่รักษาศีลข้อ 2 ด้วยการไม่ถือเอาทรัพย์ของผู้อื่นที่เจ้าของมิได้เต็มใจให้
ด้วยเศษของบุญที่นำมาเกิดเป็นมนุษย์ ย่อมทำให้ได้เกิดในตระกูลที่ร่ำรวย การทำมาหาเลี้ยงชีพในภายหน้ามักจะประสบช่องทางที่ดี ทำมาค้าขึ้นและมั่งมีทรัพย์ ทรัพย์สมบัติไม่วิบัติหายนะไปด้วยภัยต่างๆ เช่น อัคคีภัย วาตภัย โจรภัย ฯลฯ
(3)
ผู้ที่รักษาศีลข้อ 3 ด้วยการไม่ล่วงประเวณีในคู่ครอง หรือคนในปกครองของผู้อื่น
ด้วยเศษของบุญที่รักษาศีลข้อนี้ เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็จะประสบโชคดีในความรัก มักได้พบรักแท้ที่จริงจังและจริงใจ ไม่ต้องอกหัก อกโรย และอกเดาะ ครั้นเมื่อมีบุตรธิดา ก็ว่านอนสอนง่าย ไม่ดื้อด้าน ไม่ถูกผู้อื่นหลอกลวงฉุดคร่าอนาจารไปทำให้เสียหาย บุตรธิดาย่อมเป็นอภิชาตบุตร ซึ่งจะนำเกียรติยศชื่อเสียงมาสู่วงศ์ตระกูล
(4)
ผู้ที่รักษาศีลข้อ 4 ด้วยการไม่กล่าวมุสา
ด้วยเศษของบุญที่รักษาศีลข้อนี้ เมื่อนำมาเกิดเป็นมนุษย์ จะทำให้เป็นผู้ที่มีสุ้มเสียงไพเราะ พูดจามีน้ำมีนวลชวนฟัง มีเหตุมีผล ชนิดที่เป็น "พุทธวาจา" มีโวหารปฏิภาณไหวพริบในการเจรจา จะเจรจาความสิ่งใดก็มีผู้เชื่อฟังและเชื่อถือ สามารถว่ากล่าวสั่งสอนบุตรธิดาและศิษย์ให้อยู่ในโอวาทได้ดี
(5)
ผู้ที่รักษาศีลข้อ 5 ด้วยการไม่ดื่มสุราเมรัยเครื่องหมักดองของมึนเมา
ด้วยเศษของบุญที่รักษาศีลข้อนี้ เมื่อนำมาเกิดเป็นมนุษย์ ย่อมทำให้เป็นผู้ที่มีสมอง ประสาท ปัญญา ความคิดแจ่มใส จะศึกษาเล่าเรียนสิ่งใดก็แตกฉานและทรงจำได้ง่าย ไม่หลงลืมฟั่นเฟือนเลอะเลือน ไม่เสียสติวิกลจริต ไม่เป็นโรคสมอง โรคประสาท ไม่ปัญญาทราม ปัญญาอ่อนหรือปัญญานิ่ม
       
อานิสงส์ของศีล 5 มีดังกล่าวข้างต้น สำหรับศีล 8 ศีล 10 และ ศีล 227 ก็ย่อมมีอานิสงส์เพิ่มพูนมากยิ่งๆขึ้นตามระดับและประเภทของศีลที่รักษา แต่ศีลนั้นแม้จะมีอานิสงส์เพียงไร ก็ยังเป็นแต่เพียงการบำเพ็ญบุญบารมีในชั้นกลางๆในพระพุทธศาสนาเท่านั้น เพราะเป็นแต่เพียงระเบียบหรือกติกาที่จะรักษากายและวาจาให้สงบ ไม่ให้ก่อให้เกิดทุกข์โทษขึ้นทางกายและวาจาเท่านั้น ส่วนทางจิตใจนั้น ศีลยังไม่สามารถที่จะควบคุมหรือทำให้สะอาดบริสุทธิ์ได้ ฉะนั้น การรักษาศีลจึงยังได้บุญน้อยกว่าการภาวนา เพราะการภาวนานั้น เป็นการรักษาใจ รักษาจิต และซักฟอกจิตให้เบาบางหรือจนหมดกิเลส คือความโลภ โกรธ และหลง อันเป็นเครื่องร้อยรัดให้บรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลายต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏ การภาวนาจึงเป็นการบำเพ็ญบุญบารมีที่สูงที่สุด ประเสริฐที่สุด ได้บุญมากที่สุด เป็นกรรมอันยิ่งใหญ่ เรียกว่า "มหัคคตกรรม" อันเป็นมหัคคตกุศล อ่านบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

6 เคล็ดลับ! ง่ายๆ บ๊ายบาย...'ความอ้วน'



หลังจากที่ได้สื่อสารเรื่อง iHears ว่าใครอยู่ที่ไหนกันแล้วออกไป มีหลายคนที่เริ่มส่งเรื่องเข้ามาแล้ว ใครที่ยังไม่ได้ส่งก็รีบส่งเข้ามากันนะครับ และ อยากให้เน้นเรื่องคุณภาพสักนิดนึง บางครั้งเนื้อหาอาจจะน้อยไปสักหน่อย แต่ก็ไม่เป็นไร ไม่ว่ากันพัฒนากันต่อไปครับ

หลายๆ คนคงกำลังเครียดกับการหาวิธีลดความอ้วน ทำอย่างไรดี ทำวิธีไหนถึงจะเห็นผล "ไทยรัฐออนไลน์" ได้หาทริกเคล็ดลับการลดความอ้วนในแบบที่หลายคนยังไม่เคยรู้มาก่อน จะมีอะไรบ้างติดตามอ่านกันได้...

1.ไม่กินมันฝรั่งทอด

งานวิจัยของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดบอกไว้ว่า คนที่ชอบกินมันฝั่งทอดแผ่นในปริมาณที่มากๆ มีแนวโน้มที่จะอยากกินอาหารขยะ ขนมจุบจิบชนิดอื่นๆ ตามมาอีกมากยิ่งขึ้น เมื่อกินเข้าไปแล้วก็ไม่พ้นที่น้ำหนักตัวจะพุ่งทะยานด้วยความรวดเร็ว ถ้าเกิดอยากกินก็ควรกินแค่นิดหน่อยถุงเดียวก็เพียงพอ ถ้าเกิดอยากบอกลาความอ้วนจริงๆ ไม่กินเลยน่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุดแล้ว ควรหันไปกินของที่ดีต่อสุขภาพ เช่น ผัก ผลไม้ต่างๆ

2.กินโยเกิร์ตทุกวัน

มีผลการวิจัยออกมาว่าการกินโยเกิร์ตเป็นประจำทุกวัน โดยให้เน้นที่รสธรรมชาติ น้ำตาลน้อย ไขมัน 0% จะช่วยให้การลดน้ำหนักเป็นไปอย่างง่ายดาย ซึ่งเป็นเคล็ดลับสำคัญในการรักษารูปร่าง ถ้าให้ดีต้องกินโยเกิร์ตขนาด 100-150 กรัม กินให้เป็นนิสัยสามารถช่วยลดน้ำหนักได้เกือบครึ่งกิโลกรัม ภายในเวลา 4 ปี


3. ดื่มน้ำเต้าหู้มื้อเช้า

ปกติยามเช้าจะเป็นช่วงเวลาเร่งรีบ รีบทำนู่นนี่นั่น ไม่มีเวลาพอจะทำอาหารเช้าทานให้ครบ 5 หมู่ หลายๆคนเลยประทังชีวิตด้วยขนมปัง หรือจะเป็นจำพวกซีเรียล คอร์นเฟลกใส่นม กินง่ายทำง่าย รวดเร็วประหยัดเวลาได้ดีทีเดียว แต่ถ้าอยากทำให้สุขภาพดีและยังลดความอ้วนได้อีกด้วยให้ลองเปลี่ยนมื้อเช้าหันมาดื่มน้ำเต้าหู้ไม่หวานจะเพิ่มทอปปิ้งเป็นลูกเดือยก็ไม่ว่ากัน แค่นี้ก็อิ่มอร่อย เป็นนักเฮลตี้ตัวยงกันได้แล้วแหละ 

4.ลดน้ำหนักด้วยแป้ง

เมื่อถึงคราวอยากลดน้ำหนัก ผู้หญิงหลายๆ ตั้งปฏิญาณตนว่า "จะไม่กินแป้งหลังบ่ายสาม" แต่จริงๆ แล้วมีผลการศึกษาที่จัดทำเป็นเวลา 6 เดือนออกมา สวนทางกับความเชื่อเก่าๆ ของสาวๆ มีผลลัพธ์กลับมาในทางตรงกันข้ามกัน คนที่กินแป้งเยอะในมื้อเย็นสามารถลดน้ำหนักโดยรวมได้มากกว่ากลุ่มควบคุมที่กินแป้งกระจายตลอดวัน เห็นแบบนี้แล้วสาวๆ หลายคนคงสบายใจกันได้ อย่าหักโหมลดแป้ง อดข้าวมากจนเกินไป แค่เรากินให้ถูก กินให้ตรงเวลาทั้ง 3 มื้อ ช่วงแรกคือ 06.00-07.00 น. ตามด้วยเวลา 10.00-11.00 น. และสุดท้าย 16.00-17.00 น. ช่วงเวลาเหล่านี้ระบบย่อยอาหารจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด และถ้าให้ดีใครต้องกินอาหารช้าๆ จะช่วยให้เราอิ่มเร็วขึ้น



5.ส้อมใหญ่ลดน้ำหนัก

หลายๆ คนมีความเชื่อว่าการใช้ส้อมขนาดใหญ่มักจะกินอาหารได้มากขึ้นและทำให้น้ำหนักขึ้นตามมาด้วย แต่จริงๆ แล้วมีนักวิจัยที่ติดตามพฤติกรรมการกินโดยใช้ส้อมสองขนาดเพื่อควบคุมการกินและได้พบกับผลลัพธ์ที่ทำให้หลายคนแปลกใจกันได้ว่า "คนที่กินอาหารด้วยส้อมขนาดใหญ่กว่า กินน้อยกว่าคนที่ใช้ส้อมขนาดปกติ"

6.กดจุด หยุดน้ำหนัก

มีวิธีที่ช่วยให้ผอมคือการกดจุด มี 3 จุดที่ช่วยลดน้ำหนักได้ดี ก่อนทานอาหาร ให้เรากดนิ้วหัวแม่มือลงไปที่ริมฝีปากบนด้วยน้ำหนักปานกลางค้างไว้ 20 วินาที จุดที่สองคือกลางฝ่ามือกดตั้งแต่ปลายนิ้วกลางมาถึงข้อมือครั้งละ 3 วินาที จุดที่สามคือ กระดูกใต้ไหปลาร้า ใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางกดลงไปเบาๆ กดไล่ลงไปเรื่อยๆ ตามความยาวของไหปลาร้า ค่อยๆ นวดคลึงไปเรื่อยๆ แล้วมาเปลี่ยนเป็นการเคาะหลังมือเบาๆ  สลับกันเคาะระหว่างซ้ายขวา และกรอกตาไปเรื่อยๆ ตามแขนข้างที่เคาะถ้าซ้ายก็กรอกไปทางซ้าย ขวาก็กรอกไปทางขวา ทำประมาณ 10 ครั้ง จะช่วยลดความอยากอาหารได้

ขอบคุณ Thairath online : http://www.thairath.co.th/content/405744
อ่านบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557

กินเจกันเถอะ

By Anusorn



เทศกาลกินเจ 2557 ปีนี้ กินเจ 2 ครั้ง ตรงกับวันที่ 24 กันยายน และรอบสอง 24 ตุลาคม ครั้งละ 9 วัน อยากรู้ไหมว่า ประวัติเทศกาลกินเจเป็นอย่างไร แล้วทำไมต้องกินเจ เรามีข้อมูลมาฝาก

 เมื่อถึงวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 9 (ตามปฏิทินจีน) ของทุกปี เราจะเห็นธงสีเหลือง ๆ มีตัวอักษรจีนประดับอยู่ตามร้านอาหาร และที่ต่าง ๆ เป็นสัญลักษณ์ว่า เริ่มเข้าสู่เทศกาลกินเจแล้ว แต่เนื่องจากว่า ในปี 2557 ปฏิทินจีนมีเดือน 9 สองครั้ง ทำให้มีเทศกาลกินเจ 2 ครั้งด้วยกัน คือ

 ครั้งที่ 1 ตรงกับวันที่ 24 กันยายน-2 ตุลาคม 2557

 ครั้งที่ 2 ตรงกับวันที่ 24 ตุลาคม-1 พฤศจิกายน 2557

 แต่บางคนอาจกินเจล่วงหน้า 1 วัน หรือที่เรียกว่า "ล้างท้อง" นั่นเอง และวันนี้เราก็มีความรู้เกี่ยวกับเทศกาลกินเจมาฝากค่ะ ...

ความหมายของเจ คำว่า "เจ"

ในภาษาจีนทางพุทธศาสนาฝ่ายมหายานมีความหมายว่า "อุโบสถ"
เดิมหมายความว่า "การรับประทานอาหารก่อนเที่ยงวัน" ตามแบบอย่างของชาวพุทธที่รักษาอุโบสถศีล หรือรักษาศีล 8 ที่จะไม่รับประทานอาหารหลังเที่ยงวันไปแล้ว แต่สำหรับพุทธนิกายมหายานนั้น การรักษาอุโบสถศีลจะรวมถึงการไม่รับประทานเนื้อสัตว์ด้วย เราจึงนิยมเรียกการไม่ทานเนื้อสัตว์รวมไปกับการกินเจ ในปัจจุบันผู้ที่รับประทานอาหารทั้ง 3 มื้อ แต่ไม่กินเนื้อสัตว์ก็ยังคงเรียกว่า "กินเจ" ดังนั้นความหมายของคนกินเจ ไม่เพียงแต่ไม่ทานเนื้อสัตว์ แต่ยังต้องดำรงตนอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม มีความบริสุทธิ์ สะอาด ทั้งกาย วาจา ใจ

 "การกินเจ" ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 หมายถึง การถือศีลอย่างญวนและจีนที่ไม่กินของสดคาว แต่บริโภคอาหารประเภทผักที่ไม่มีของสดของคาวผสม ซึ่งมาจากรากศัพท์คำภาษาจีนที่ว่า "เจียฉ่าย" หมายถึง การกินอาหารผัก อาหารที่มาจากพืชผักธรรมชาติ ไม่มีเนื้อสัตว์ปะปน และไม่ปรุงด้วยผักฉุน 5 ชนิด ได้แก่ กระเทียม หัวหอม หลักเกียว กุยช่าย ใบยาสูบ และงดเว้นน้ำนมสด นมข้นด้วย เพราะถือว่าเป็นของสดของคาว

 ช่วงเวลากินเจ

ประเพณีกินเจที่ชาวจีนเรียกกันว่า "เก้าอ๊วงเจ" หรือ "กิ้วอ๊วงเจ" แปลว่า "เจเดือน 9" เริ่มต้นในวันขึ้น 1 ค่ำ ถึง 9 ค่ำ เดือน 9 ตามปฏิทินจีน รวม 9 วัน 9 คืน ตรงกับเดือน 11 หรือเดือนตุลาคมของไทย (ตามปฏิทินสากล) สำหรับในปี พ.ศ.2557 นี้ เริ่มวันที่ 24 กันยายน–2 ตุลาคม

 คำว่า "เก้าอ๊วง" หรือ "กิ้วอ๊วง" แปลว่า "พระราชา 9 องค์" หรือนพราชา หมายถึงผู้เป็นใหญ่ทั้ง 9 ซึ่งเป็นที่มาของประเพณีกินผักกินเจ

 ความหมายของ "ธงเจ"

 ในช่วงเทศกาลกินเจ เราจะสังเกตเห็นธงประจำเทศกาล โดยมีพื้นธงเป็นสีเหลืองซึ่งเป็นสีที่อนุญาตให้ใช้กับคนสองกลุ่มเท่านั้น คือกลุ่มกษัตริย์ ราชวงศ์ และกลุ่มอาจารย์ปราบผี ดังจะเห็นจากยันต์สีเหลืองตามภาพยนตร์จีน ดังนั้นสีเหลืองจึงเป็นสีของพุทธศาสนา หรือผู้ทรงศีล บนธงจะเขียนตัวอักษรสีแดง อ่านว่า "ไจ" หรือ "เจ" มีความหมายว่า "ของไม่มีคาว" เหตุที่ใช้สีแดง เพราะชาวจีนเชื่อว่า เป็นสีมงคง สร้างความเจริญให้แก่ชีวิต

 ธงเจนอกจากจะเป็นสัญลักษณ์ของอาหารเจแล้ว ยังเป็นการเตือนให้พุทธศาสนิกชนที่ปฏิบัติตนถือศีลกินเจได้ตระหนักถึงการไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์ และการตั้งอยู่ในศีลตลอดช่วงระยะเวลา 9 วัน 9 คืน

 กินเจเพื่ออะไร

 จุดประสงค์หลักของการกินเจ แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทคือ

 1. กินเพื่อสุขภาพ เพราะอาหารเจเป็นอาหารชีวจิต เมื่อกินติดต่อกัน จะทำให้ร่างกายสมดุล สามารถขับพิษของเสียต่าง ๆ ออกจากร่างกายได้ และปรับระบบต่าง ๆ ในร่างกายให้มีเสถียรภาพ

 2. กินด้วยจิตเมตตา เนื่องจากทุก ๆ วัน อาหารที่เรากินประกอบด้วยเลือดเนื้อของสรรพสัตว์ ผู้ที่มีจิตใจดีงามจึงไม่สามารถกินเนื้อของสัตว์เหล่านั้นได้

 3. กินเพื่อเว้นกรรม เพราะการฆ่าเอาเลือดเนื้อผู้อื่นมาเป็นของเราเป็นการสร้างกรรม แม้จะไม่ได้ลงมือฆ่าเองก็ตาม เพราะการซื้อผู้อื่นเท่ากับการจ้างฆ่า ถ้าไม่มีคนกินก็ไม่มีคนฆ่ามาขาย ผู้ที่เข้าใจเรี่องกฎแห่งกรรมจึงหยุดกิน หันมารับประทานอาหารเจแทน โดยไม่เห็นแก่ความอร่อยในช่วงเวลาสั้น ๆ เพียงแค่ให้อาหารผ่านลิ้นเท่านั้น ตำนานการกินเจ

 ตำนานที่มาของการกินเจ

มีเรื่องเล่าอยู่ถึง 7 เรื่องได้แก่

ตำนานที่ 1 รำลึกถึงวีรชนทั้ง 9
เทศกาลกินเจเริ่มขึ้นเมื่อ 400 กว่าปีที่แล้ว โดยชาวจีนกินเจเป็นการบำเพ็ญกุศลเพื่อรำลึกถึงวีรชน 9 คน ซึ่งเรียกว่า "หงี่หั่วท้วง" ซึ่งได้ต่อสู้กับชาวแมนจูผู้รุกรานอย่างกล้าหาญ ถึงแม้จะแพ้และต้องตายก็ตาม ดังนั้นเมื่อถึงวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 9 ชาวจีนที่ยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของชาวแมนจู จึงพากันนุ่งขาวห่มขาว ถือศีลกินเจ เพื่อรำลึกถึงเหล่านักสู้ "หงี่หั่วท้วง" ที่ได้ต่อสู้พลีชีพในครั้งนั้น เพราะเชื่อว่าการปฏิบัติเช่นนี้จะช่วยชำระจิตวิญญาณเกิดความเข้มแข็งทางร่างกายและจิตใจ

 ตำนานที่ 2 บูชาพระพุทธเจ้า
 เชื่อว่า เป็นการประกอบพิธีกรรมเพื่อสักการะบูชาพระพุทธเจ้าในอดีตกาล 7 พระองค์ และพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ รวมเป็น 9 พระองค์ด้วยกัน หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่า "ดาวนพเคราะห์" ทั้ง 9 ได้แก่ พระอาทิตย์ พระจันทร์ พระอังคาร พระพุธ พระพฤหัสบดี พระศุกร์ พระเสาร์ พระราหู และพระเกตุ ในพิธีกรรมบูชานี้ สาธุชนในพระพุทธศาสนาจะสละเวลาทางโลกมาบำเพ็ญศีล งดเว้นเนื้อสัตว์ และแต่งกายด้วยชุดขาว

 ตำนานที่ 3 เก้าอ๊องฝ่ายมหายาน
 กล่าวไว้ว่า การกินเจเป็นพิธีปฏิบัติที่สืบต่อกันมาของชาวจีนในประเทศไทย เพื่อสักการบูชาพระพุทธเจ้าในอดีตกาล 7 พระองค์ ดังมีในพระสูตร ปั๊กเต๊าโก๋ว ฮุดเชียวไจเอียงชั่วเมียวเกง กล่าวไว้คือ พระวิชัยโลกมนจรพุทธะ พระศรีรัตนโลกประภาโมษอิศวรพุทธะ พระเวปุลลรัตนโลกวรรณสิทธิพุทธะ พระอโศกโลกวิชัยมงคลพุทธะ พระวิสุทธิอาศรมโลกเวปุลลปรัชญาวิภาคพุทธะ พระธรรมมติธรรมสาครจรโลกมโนพุทธะ พระเวปุลลจันทรโภคไภสัชชไวฑูรย์พุทธะ และพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ คือพระศรีสุขโลกปัทมอรรถอลังการโพธิสัตว์และพระศรีเวปุลกสังสารโลกสุขอิศวรโพธิสัตว์ รวมเป็น 9 พระองค์ (หรือ "เก้าอ๊อง")
 ทรงตั้งปณิธานจักโปรดสัตว์โลก จึงได้แบ่งกายมาเป็นเทพเจ้า 9 พระองค์ด้วยกันคือ ไต้อวยเอี๊ยงเม้งทัมหลังไทแชกุน ไต้เจียกอิมเจ็งกื้อมึ้งงวนแชกุน ไต้กวนจิงหยิ้งลุกช้งเจงแชกุน ไต้ฮั่งเฮี่ยงเม้งม่งเคียกนิวแชกุน ไต้ปิ๊กตังง้วนเนี้ยบเจงกังแชกุน ไต้โพ้วปั๊กเก๊กบู๊เอียกกี่แชกุน ไต้เพียวเทียนกวนพัวกุงกวนแชกุน ไต้ตั่งเม้งงั่วคูแชกุน ฮุ้ยกวงไตเพียกแชกุน เทพเจ้าทั้ง 9 พระองค์ ทรงอำนาจตบะอันเรืองฤทธิ์บริหารธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ และทอง ทั่วทุกพิภพน้อยใหญ่สารทิศ

 ตำนานที่ 4 พิธีบูชาเพื่อระลึกถึงราชวงศ์ซ้อง
 เชื่อว่า การกินเจกินเจเป็นการบูชากษัตริย์เป๊ง กษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ซ้องซึ่งสิ้นพระชนม์โดยทรงทำอัตวินิบาตกรรม (การฆ่าตัวตาย) ในขณะที่เสด็จไต้หวันโดยทางเรือ เมื่อมีพระชนนมายุได้ 9 พรรษา พิธีบูชาเพื่อระลึกถึงราชวงศ์ซ้องนี้ มีแต่เฉพาะในมณฑลฮกเกี้ยนซึ่ง เป็นดินแดนผืนสุดท้ายของราชวงศ์ซ้องเท่านั้น โดยชาวฮกเกี้ยนได้จัดทำพิธีดังกล่าวนี้ขึ้นด้วยการอาศัยศาสนาบังหน้าการเมือง ประเพณีนี้เข้ามาสู่เมืองไทยโดยชาวจีนแต้จิ๋วที่อพยพจากฮกเกี้ยนนำมาเผยแผ่อีกทอดหนึ่ง

 ตำนานที่ 5 เล่าเอี๋ย
 เมื่อ 1,500 ปีก่อน ณ มณฑลกังไสซึ่งเป็นแดนแห่งความเจริญรุ่งเรือง ฮ่องเต้เมืองนี้มีพระราชโอรส 9 พระองค์ซึ่งเก่งทั้งบุ๋น บู๊ ทำให้หัวเมืองต่าง ๆ ยอมสวามิภักดิ์ ยกเว้นแคว้นก่งเลี้ยดที่มีอำนาจเข้มแข็ง และมีกองกำลังทหารที่เหนือกว่า ทั้งสองแคว้นทำศึกกันมาถึงครั้งที่ 4 แคว้นก่งเลี้ยดชนะโดยการทุ่มกองกำลังทหารที่มากกว่าหลายเท่าตัว โอบล้อมกองทัพพระราชโอรสทั้งเก้าไว้ทุกด้าน แต่กองทัพก่งเลี้ยดไม่สามารถบุกเข้าเมืองได้จึงถอยทัพกลับ จนวันหนึ่งชาวกังไสเกิดความแตกสามัคคีและเอาเปรียบกัน เทพยดาทราบว่า อีกไม่นานกังไสจะเกิดภัยพิบัติจึงหาผู้อาสาช่วย แต่ชาวบ้านจะพ้นภัยได้ก็ต่อเมื่อได้สร้างผลบุญของตนเอง ดวงวิญญาณพระราชโอรสองค์โตรับอาสา และเพ่งญาณเห็นว่า ควรเริ่มที่บ้านเศรษฐีใจบุญลีฮั้วก่าย คืนวันหนึ่งคนรับใช้แจ้งเศรษฐีลีฮั้วก่ายว่า มีขอทานโรคเรื้อนมาขอพบ เศรษฐีจึงมอบเงินจำนวนหนึ่งให้เป็นค่าเดินทาง แต่ขอทานไม่ไป และประกาศให้ชาวเมืองถือศีลกินเจเป็นเวลา 9 วัน 9 คืน ผู้ใดทำตามภัยพิบัติจะหายไป เศรษฐีนำมาปฏิบัติก่อน และผู้อื่นจึงปฏิบัติตาม จนมีการจัดให้มีอุปรากรเป็นมหรสพในช่วงกินเจด้วย เล่าเอี๋ยเกิดศรัทธาประเพณีกินเจของมณฑลกังไส จึงได้ศึกษาตำราการกินเจของ เศรษฐีลีฮั้วก่ายที่บันทึกไว้ แต่ได้ดัดแปลงพิธีกรรมบางอย่างให้รัดกุมยิ่งขึ้นและให้มีพิธียกอ๋องฮ่องเต้ (พิธีเชิญพระอิศวรมาเป็นประธานในการกินเจ)

 ตำนานที่ 6 เล่าเซ็ง
 มีชายขี้เมาคนหนึ่งชื่อ เล่าเซ็ง เข้าใจผิดว่า แม่ตนตายไปเพราะเป็นโรคขาดสารอาหาร จนคืนหนึ่งแม่มาเข้าฝันว่า ตนตายไปได้รับความสุขมาก เพราะแม่กินแต่อาหารเจ และหากลูกต้องการพบให้ไปที่เขาโพถ้อซัว บนเกาะน่ำไฮ้ ครั้นถึงเทศกาลไหว้พระโพธิสัตว์กวนอิมที่เขาโพถ้อซัว เล่าเซ็งจึงขอตามเพื่อนบ้านไปไหว้พระโพธิสัตว์ด้วย โดยเพื่อนบ้านให้เล่าเซ็งสัญญาว่า จะไม่กินเหล้าและเนื้อสัตว์จึงยอมให้ไป แต่ระหว่างทางเล่าเซ็งผิดสัญญา เพื่อนบ้านจึงหนีไป โชคดีที่มีหญิงสาวคนหนึ่งต้องการไปไหว้พระโพธิสัตว์เช่นกัน เขาจึงขอตามนางไปด้วย

เมื่อถึงเขาโพถ้อซัว ขณะที่เล่าเซ็งก้มลงกราบพระโพธิสัตว์อยู่นั้น เขาเห็นแม่ลอยอยู่เหนือกระถางธูป แต่คนอื่นมองไม่เห็น ขณะเขาเดินทางกลับ ได้เจอกับเด็กชายยืนร้องไห้อยู่ จึงเข้าไปถามไถ่จนทราบว่า เด็กคนนั้นเป็นลูกชายของเขากับภรรยาเก่าที่เลิกกันไปนานแล้ว เขาจึงพาไปอยู่ด้วย และต่อมาหญิงสาวที่นำทางเล่าเซ็งไปพบพระโพธิสัตว์ได้มาขออยู่ด้วย ทั้งสามอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข

 หญิงสาวคนนั้นเป็นสาวบริสุทธิ์ มีความประพฤติดี อยู่ในศีลธรรม และถือศีลกินเจอยู่เป็นประจำ นางรู้ว่าใกล้ถึงวันตายของนางแล้ว จึงบอกเล่าเซ็ง เมื่อถึงวันนั้นนางแต่งตัวด้วยอาภาณ์ขาวสะอาด นั่งสักครู่แล้วก็สิ้นลม เล่าเซ็งเห็นการจากไปด้วยดีของนางคล้ายกับแม่ จึงเกิดศรัทธา ยกสมบัติให้ลูกชาย แล้วประพฤติตัวใหม่ เมื่อตายไปจะได้บังเกิดผลเช่นเดียวกับแม่ และหญิงสาว ประเพณีกินเจจึงเริ่มขึ้นตั้งแต่นั้น

 ตำนานที่ 7 การกินเจที่ภูเก็ต

 มีคณะงิ้วจากเมืองจีน มาเปิดการแสดงที่อำเภอกระทู้นานเป็นแรมปี บังเอิญช่วงนั้นเกิดโรคระบาดขึ้น คณะงิ้วจึงจัดให้มีพิธีกินเจ และสร้างศาลเจ้าขึ้นเพื่อสะเดาะเคราะห์ หลังจากนั้นโรคระบาดก็หาย ชาวกะทู้เกิดความศรัทธาจึงปฏิบัติตาม หลังจากประกอบพิธีอยู่ประมาณ 2-3 ปี ก็มีผู้คนเลื่อมใสมากขึ้นเรื่อย ๆ ประกอบกับอยากได้พิธีกินเจที่สมบูรณ์แบบตามประเพณีมณฑลกังไส ประเทศจีน จึงได้ส่งตัวแทนไปนำควันธูป (เหี่ยวเอี้ยน) จากกังไสให้ลอยมาถึงภูเก็ต โดยในการเดินทางกลับจะต้องคอยจุดธูปต่อกันมิให้ดับมอด ศาลเจ้ากะทู้จึงได้ชื่อว่าเป็นต้นตำรับของพิธีกินเจในปัจจุบัน

 สำหรับเมืองไทยความเชื่อเรื่องการกินเจ เป็นไปในแนวทางของการละเว้นการเอาชีวิตของสัตว์ เพื่อเป็นสักการะบูชาแก่พระพุทธเจ้า และมหาโพธิสัตว์กวนอิม อาจเนื่องจากการแพร่หลายของการละเว้นการกินเนื้อวัว ในกลุ่มคนที่นับถือ "เจ้าแม่กวนอิม" การกินเจจึงเป็นอีกหนึ่งพิธีกรรมเพื่อสักการะ
อ่านบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2557

25 เคล็ดวิธีอายุยืน สุขภาพดีไปอีกน้านน...นาน

By Yutthawit 



หลังจากง่วนสืบค้นเนื้อหาสาระที่มีประโยชน์มาให้คุณผู้อ่านอยู่นานสองนาน ก็ไปพบกับข้อมูลที่น่าตกใจเรื่องหนึ่งว่าด้วยเรื่องของอายุขัยสูงสุดของมนุษย์ จากงานวิจัยกว่า 500 ชิ้น เหล่าผู้เชี่ยวชาญต่างเห็นพ้องกันว่า อายุขัยที่ถูกต้องของมนุษย์ควรอยู่ 120 ปีหรือมากกว่านั้น! แต่เมื่อดูจากรูปการณ์ในปัจจุบันแล้ว แนวโน้มอายุขัยของมนุษย์เรามีแต่จะสั้นลงทุกที แล้วเราจะทำยังไงให้มีอายุยืนยาว ไม่ต้องถึงร้อยสองร้อยปีหรอก แค่ยืดไปได้อีก 10 ไปก็ถือว่ายอดแล้ว


ว่าแล้วเรามาลองทำตามคำแนะนำเหล่านี้กันดู แม้จะไม่มีวันรู้ได้ว่าอายุขัยของเราจะยืนยาวขึ้นอีกกี่ปี แต่อย่างน้อย ๆ สิ่งที่เห็นผลทันตาก็คือสุขภาพดีที่ตามมาแน่นอน

1. ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว
 คนที่ออกกำลังอยู่เสมอมีโอกาสที่จะเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้ออกกำลัง นอกจากนี้ ในงานศึกษาชิ้นหนึ่งยังพบว่า คนที่ออกกำลังน้อยกว่าปกติมีโอกาสที่จะเสียชีวิตก่อนวัยอันควรสูงกว่ากลุ่มคนที่ออกกำลังเป็นประจำถึง 3 เท่า

 2. หัวเราะเข้าไว้
 การหัวเราะเป็นยาวิเศษที่ช่วยลดฮอร์โมนความเครียด และเพิ่มภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย นอกจากนี้ การหัวเราะยังเป็นเหมือนการออกกำลังย่อม ๆ ว่ากันว่าหากหัวเราะ 100-200 ครั้งจะเท่ากับการวิ่ง หรือพายเรือ 10 นาทีเลยทีเดียว

 3. เข้านอนช้าลง
 อ๊ะ! ฟังให้ดีก่อน จริงอยู่ว่าการนอนน้อยอาจส่งผลเสียต่อร่างกายหลาย ๆ อย่าง แต่มีงานศึกษาทางด้านจิตเวชชิ้นหนึ่งเผยว่า ระยะเวลาในการนอนที่เหมาะสมที่สุดสำหรับมนุษย์คือ 6-7 ชั่วโมงต่อวัน การนอนมากกว่า 8 ชั่วโมง หรือน้อยกว่า 4 ชั่วโมงต่อวันอาจส่งผลให้อัตราการตายเพิ่มสูงขึ้นได้

4. ขยันมีกิจกรรมบนเตียง
 คู่รักที่มีกิจกรรมบนเตียงร่วมกันจะดูเด็กกว่าคู่ที่ไม่ได้ทำการบ้านด้วยกันได้ถึง 7 ปี เพราะเซ็กส์จะช่วยคลายความเครียด ทำให้เรามีความสุข และนอนหลับได้สนิทยิ่งขึ้น

5. ดื่มน้ำเยอะ ๆ
เพราะร่างกายมีน้ำอยู่ถึง 55-75 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัว ดังนั้น อาการกระหายน้ำจึงเป็นสัญญาณเตือนว่าร่างกายเริ่มเข้าสู่ภาวะขาดน้ำ การดื่มน้ำมาก ๆ จะช่วยในเรื่องระบบการย่อย การดูดซึมสารอาหาร ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นช่วยขับสารพิษ และดีต่อสุขภาพโดยรวม

 6. กินกระเทียม
 กระเทียมได้ชื่อว่าเป็นยาปฏิชีวนะจากธรรมชาติ มีประโยชน์ในการขับพิษ บำรุงสุขภาพหัวใจและการไหลเวียนของเลือด นอกจากนี้ยังช่วยต่อสู้กับอาการติดเชื้อและเสริมภูมิต้านทาน อีกทั้งยังมีหลักฐานบ่งชี้ว่า กระเทียมช่วยป้องกันมะเร็งในระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย สำหรับผู้ที่ไม่ชอบกระเทียมแนะนำให้กินในรูปของอาหารเสริมที่ไม่มีกลิ่น

 7.หม่ำช็อกโกแลต
 สารต้านอนุมูลอิสระและฟลาโวนอยด์ในช็อกโกแลตจะช่วยบำรุงสุขภาพหัวใจ และลดความเสื่อมของเซลล์และเนื้อเยื่อในร่างกาย แต่แนะนำให้เป็นดาร์กช็อกโกแลตจะดีกว่า เพราะนอกจากปริมาณแคลอรี่ที่น้อยกว่าแล้ว ดาร์กช็อกโกแลตยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่มากกว่าช็อกโกแลตนมถึง 2 เท่า

 8. เลี่ยงอาหารที่มีกระบวนการเก็บรักษาที่ไม่ดี
 โบทูลินั่ม ท็อกซิน (Botulinum Toxin) หรือที่คนไทยรู้จักกันในชื่อของโบท็อกซ์ เป็นหนึ่งในสารพิษที่ร้ายแรงที่สุดจากธรรมชาติ สารชนิดนี้เกิดจากอาหารที่เก็บรักษาไม่ดีจนก่อให้เกิดแบคทีเรียชนิดหนึ่ง พบได้ในไส้กรอก เนื้อเค็ม หรือเนื้อรมควัน และน้ำผึ้งที่มีการเก็บรักษาไม่ดี นอกจากนี้ การตายจากสารโบท็อกซ์ยังอาจเกิดขึ้นได้กับผู้ที่นำไปให้เพื่อวัตถุประสงค์ทางด้านความงามด้วย

9. กินผักผลไม้เยอะ ๆ
 ผักผลไม้จะช่วยยับยั้งการเกิดโรคหัวใจ เส้นเลือดอุดตัน และมะเร็งบางชนิด สารอาหารในผักและผลไม้ช่วยควบคุมความดันเลือดและปริมาณคอเลสเตอรอลได้ อีกทั้งกากใยของอาหารเหล่านี้ยังส่งผลดีต่อระบบขับถ่ายด้วย

10. รักษาแผลให้สะอาด
 สำหรับผู้ที่ไม่ได้เป็นโรคหัวใจ แบคทีเรียเป็นสาเหตุของการตายที่จัดอยู่ในอันดับต้น ๆ แม้แต่รอยขีดข่วนเพียงเล็กน้อยก็อาจก่อให้เกิดการติดเชื้อได้ ดังนั้นอย่ามองข้ามแผลแค่แมวข่วน หรือกระดาษบาดเสียล่ะ

 11. จิบชา
 จะชาเขียวหรือชาดำก็มีสารต้านอนุมูลอิสระและประโยชน์เท่ากัน นักวิจัยแนะว่าการดื่มชาดำหนึ่งแก้วต่อวันช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ และช่วยเพิ่มอัตราการรอดชีวิตจากอาการหัวใจวายในผู้ที่เป็นโรคหัวใจอยู่แล้วได้ถึง 28 เปอร์เซ็นต์

12. ดื่มไวน์แดง
 งานศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้พบว่า การดื่มไวน์แดงหนึ่งแก้วต่อวันจะช่วยป้องกันมะเร็งและโรคหัวใจ และช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอลและความดันเลือดได้ด้วย เป็นข้ออ้างสำหรับการดื่มที่ฟังดูดีใช่มั้ยล่ะ

13. ล้างมือบ่อย ๆ
 ท้องร่วงเป็นหนึ่งในสาเหตุการตายที่พบได้มากในแต่ละปี ดังนั้น ยามใดที่ออกไปนอกบ้านก็อย่าลืมล้างมือเสียล่ะ หากไม่สะดวก เจลล้างมือ หรือทิชชูเปียกช่วยคุณได้

 14. ตรวจเช็กร่างกายอยู่เสมอ
 สำหรับคุณสาว ๆ หมายถึงการตรวจเช็กหน้าอกของตัวเองอยู่เป็นประจำ เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดมะเร็งเต้านมในระยะที่ยากเกินจะรับมือ และบรรดาคุณผู้ชายควรสำรวจน้องชายของตัวเองอยู่เสมอ เพื่อเตรียมรับมือกับมะเร็งอัณฑะที่อาจเกิดขึ้นได้ นอกจากนี้ ยังควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจสุขภาพประจำปีควบคู่ไปด้วย

15. ระวังเรื่องน้ำหนัก
 กินมากเกินไปคือหนึ่งในสาเหตุของความชรา และยังเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ และมะเร็งที่สำไส้ใหญ่ ถุงน้ำดี รังไข่ และเต้านมได้ด้วย ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญรายหนึ่งเผยว่า ในแต่ละปีมีอัตราการเกิดอาการหัวใจวายอันเนื่องมาจากโรคหัวใจ และหลอดเลือดถึงปีละ 270,000 ราย และ 280,000 ราย จากจำนวนผู้ป่วยทั้งหมดมีสาเหตุมาจากความอ้วน

 16. ไม่สูบบุหรี่
 ทุกคนรู้ดีถึงโทษของบุหรี่ บุหรี่หนึ่งมวนอาจหมายถึงอายุขัยที่สั้นลง 6 นาที ดังนั้น ยิ่งเลิกสูบได้เร็วเท่าไหร่ยิ่งดี เพราะไม่เพียงแต่ช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าของคุณเท่านั้น แต่ยังเป็นการยืดอายุคนที่อยู่รอบตัวคุณด้วย

17. รู้จักผ่อนคลาย
 การผ่อนคลายช่วยลดความดันเลือด และลดความเครียดที่อาจเป็นสาเหตุของโรคซึมเศร้า ทั้งนี้ เทคนิคการผ่อนคลายอย่างการเล่นโยคะ และการทำสมาธิสามารถช่วยคุณได้

18. หลีกเลี่ยงแสงแดด
 การเลี่ยงการเผชิญหน้ากับแสงแดดที่มากเกินไป จะช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งผิวหนัง และยังช่วยปกป้องผิวของคุณจากฝ้า กระ จุดด่างดำ และริ้วรอยต่าง ๆ ที่เป็นตัวบ่งบอกถึงความร่วงโรย ดังนั้น ก่อนออกจากบ้าน อย่าลืมใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF ตั้งแต่ 30 ขึ้นไปทุกครั้ง

19. หนีไปอยู่ต่างจังหวัด
 คนที่อาศัยอยู่ในแถบชนบทจะมีช่วงอายุขัยที่ยาวนานกว่าคนในเมือง และจากงานศึกษาหลายชิ้นพบว่า คนเมืองที่อาศัยอยู่ใกล้พื้นที่สีเขียวแบบเปิดโล่ง มีแนวโน้มที่จะมีอายุยืนกว่าคนที่อาศัยอยู่ในย่านที่ถูกรายล้อมด้วยป่าคอนกรีต

20. สังสรรค์กับเพื่อน
แต่งงาน หรือเลี้ยงสัตว์ อาจฟังดูเหลือเชื่อ แต่แหล่งข่าวที่เชื่อได้หลายแหล่งบอกตรงกันว่า สัมพันธภาพเหล่านี้สามารถช่วยป้องกันความดันโลหิตสูงที่อาจเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเส้นเลือดอุดตันและหัวใจวายได้ ชีวิตแต่งงานจะช่วยยืดอายุขัยของผู้ชายไปอีก 7 ปี และ 3 ปีสำหรับผู้หญิง ส่วนสัตว์เลี้ยงโปรดจะช่วยให้คุณคลายเครียด ช่วยลดความดันโลหิต และยังช่วยให้ผู้ที่ตกอยู่ในภาวะหัวใจวายมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้นด้วย

 21. มองโลกในแง่ดี
 ผลการวิจัยพบว่าคนที่คิดบวกจะมีอายุยืนกว่า เนื่องจากการมองโลกในแง่ดีจะช่วยลดโอกาสในการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรได้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับคนที่มักมองโลกในแง่ร้าย

 22. ปิดทีวี
 การใช้เวลาที่หน้าจอสี่เหลี่ยมมากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ จากงานศึกษาเมื่อปี 2010 เผยว่า กลุ่มคนที่ดูทีวีมากกว่า 4 ชั่วโมงต่อวัน มีโอกาสเสียชีวิตด้วยสาเหตุต่าง ๆ ได้มากกว่ากลุ่มที่ดูทีวีน้อยกว่า 2 ชั่วโมงต่อวันถึง 46 เปอร์เซ็นต์

23. ทำกิจกรรมสันทนาการเมื่อแก่ตัวลง
 การทำสวน หรือช้อปปิ้งจะส่งผลดีต่อคุณในแง่ของการออกกำลัง นักวิจัยหลายคนบอกเอาไว้ว่า กุญแจสำคัญของความสุขก็คือการทำอะไรก็ได้ที่ชอบและรู้สึกดีกับตัวเอง

 24. ไม่หอบงานกลับไปทำที่บ้าน
 เพราะนั่นหมายถึงคุณไม่สามารถจัดการกับภาระหน้าที่ที่มีอยู่ได้ และอาจทำให้เกิดความเครียดในที่สุด คนที่เครียดจะมีโอกาสเป็นโรคหัวใจได้มากกว่าคนทั่วไปถึง 20 เท่า และความเครียดยังไปบั่นทอนระบบภูมิคุ้มกันและสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกายอันเป็นสาเหตุของโรคและริ้วรอยต่าง ๆ อีกด้วย

25. เลือกหมอที่วางใจได้
 ว่ากันว่าผู้ป่วย 1 ใน 10 มักจะได้รับการรักษาที่ไม่ถูกต้อง แม้ว่าคนไข้ส่วนใหญ่จะไม่ตาย แต่หากถูกหามไปส่งโรงพยาบาลคุณก็มีโอกาสเป็น 1 ใน 100 ที่อาจถูกกระตุ้นให้เสียชีวิตเร็วขึ้น และการกระตุ้นเหล่านั้นมักเกิดจากอุบัติเหตุมากกว่าเจตนา

Credit:health.kapook.com/view51365.html
อ่านบทความทั้งหมด

การทดสอบแบบไม่ทำลาย (NDT: Non Destructive Testing)

By พี่อี๊ด



เป็นกรรมวิธีการทดสอบหารอยบกพร่องหรือความผิดปกติของชิ้นงาน โดยที่ไม่ทำให้ชิ้นงานนั้นๆ เสียหาย ชิ้นงานที่มักทดสอบเป็นแนวเชื่อมหรือโลหะของถังเก็บผลิตภัณฑ์ (Aboveground storage tank) ถังอัดความดันสูง (Pressure vessel) ระบบท่อภายในโรงงาน (Process Piping) ท่อขนส่งผลิตภัณฑ์ (Transmission Pipeline) โครงสร้างเหล็ก (Steel Structure) ฯลฯ

การทดสอบโดยไม่ทำลาย (Non-Destructive Testing) หลายวิธีดังมีรายละเอียดต่อไปนี้
1. การทดสอบโดยไม่ทำลายขั้นพื้นฐาน (Conventional NDT)
2. การทดสอบโดยไม่ทำลายขั้นสูง (Advance NDT)


การทดสอบโดยไม่ทำลายขั้นพื้นฐาน (Conventional NDT)

1. การทดสอบด้วยรังสี (Radiographic Test)
ใช้เพื่อตรวจหารอยบกพร่องหรือตำหนิในชิ้นงาน เช่น โพรงหรือฟองอากาศ การฝังตัวของขี้ลวดเชื่อม (Slag- Inclusion) การซึมลึกไม่เพียงพอของงานเชื่อม

 1.1 การทดสอบด้วยรังสีโดยใช้เครื่อง X-ray เหมาะกับชิ้นงานที่ต้องการภาพถ่ายที่มีความคมชัดและความไวในการตรวจสอบสูงและมีความปลอดภัยสูงสุด
1.2 การทดสอบด้วยรังสีโดยใช้สาร Selenium 75 (Se-75) คุณภาพของภาพถ่าย จะใกล้เคียงคุณภาพของภาพ ที่ได้จาก X-ray แต่เครื่องมีขนาดและน้ำหนักน้อยกว่าและเคลื่อนย้ายสะดวก เหมาะกับงานในที่คับแคบ งานที่สูงหรือพื้นที่ทำงาน ที่การใช้สารรังสีมีผลต่อระบบควบคุมอัตโนมัติของโรงงาน
1.3 การทดสอบด้วยรังสีโดยใช้สาร Iridium 192 (Ir 192) รังสีมีอำนาจทะลุทะลวงสูง เหมาะกับชิ้นงานที่มีความหนาเทียบเท่าเหล็ก 6 ม.ม. ขึ้นไป

 2. การทดสอบด้วยคลื่นความถี่สูง (Ultrasonic Test)
 คลื่นความถี่สูงถูกนำมาประยุกต์ใช้ในการทดสอบโดยไม่ทำลายอย่างมากมาย มีการพัฒนาตลอดเวลาและกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กับงานทดสอบ ดังนี้

 2.1 การหาความหนาวัสดุโดยใช้คลื่นความถี่สูง (Ultrasonic Thickness Measurement) ใช้หาความหนาที่เหลืออยู่ภายหลังการใช้งานของภาชนะบรรจุแรงดัน เช่น ถัง LPG, NGV, ถังบรรจุสารเคมี เนื่องจาก เมื่อถังหรืออุปกรณ์ดังกล่าวเมื่อใช้ไปนานๆ หรือถูกสารเคมีที่กัดกร่อนสูง จะบางลงจนไม่สามารถรับแรงหรือภาระต่างๆตามที่ได้ออกแบบไว้ ณตอนเริ่มสร้างได้
 2.2 การหาความสมบูรณ์ของโลหะโดยคลื่นความถี่สูง (Ultrasonic Flaw Detector) เป็นการใช้คลื่นความถี่สูง ในการตรวจความสมบูรณ์ของเนื้อโลหะภายหลังการขึ้นรูปด้วยการเชื่อม (Welding) การหล่อ (Casting, foundry) ของถังและเครื่องจักรอุปกรณ์ สามารถตรวจหาตำหนิที่มีลักษณะระนาบ (Planar Defect) เช่น การหลอมละลายไม่สมบูรณ์, รอยร้าว ได้ดี

 3.การทดสอบด้วยสนามแม่เหล็ก (Magnetic Particle Test)
เป็นการหารอยร้าวบนพื้นผิวของวัสดุที่เป็นโลหะประเภทเหล็ก โดยอาศัยการเหนี่ยวนำจากไฟฟ้ากระแสตรง (DC Current) หรือไฟฟ้ากระแสสลับ (AC Current) บริเวณที่จะทดสอบให้เป็นแม่เหล็ก และทำการโรยผงเหล็กย้อมสีขนาดเล็กลงบนบริเวณที่ทดสอบ หากมีรอยแตกร้าวขนาดเล็กบนผิวชิ้นงาน จะมีสนามแม่เหล็กรั่วในบริเวณดังกล่าวและดึงดูดผงเหล็กให้เกาะกันเป็นแนวเส้นที่เห็นได้อย่างเด่นชัด โดยมีแบบเห็นด้วยตาเปล่าและแบบใช้แสง Black Light

 4. การทดสอบด้วยสารแทรกซึม (Penetrant Test) เป็นการหารอยแตกร้าวบนพื้นผิวทุกชนิดที่ ผิวหน้าเรียบ ไม่เป็นรูพรุน เหมาะกับการตรวจรอยแตกร้าวของภาชนะแรงดันหรือสารเคมีที่ไม่ได้ทำจากเหล็กคาร์บอน (Ferrous Steel) เช่น ถังสเตนเลส ฯลฯ การทดสอบอาศัยหลักการทาหรือพ่น ของเหลวย้อมสีที่มีคุณสมบัติแทรกซึมเข้าไปในรอยร้าวหรือรูเล็กๆ ได้ดี จากนั้นจะใช้สารเคมีหรือน้ำยาที่มีคุณลักษณะคล้ายกระดาษซับ โรยบริเวณที่จะทำการการทดสอบ หากมีรอยแตกร้าวจะเกิดเป็นเส้นหรือแนวให้เห็นอย่างเด่นชัด

 5. การทดสอบหาส่วนผสมทางเคมี (Positive Material Identification Test) เป็นการตรวจสอบเพื่อบอกชนิดส่วนประกอบทางเคมี (Chemical Composition) ของวัสดุ ด้วยเทคนิค X-ray Fluorescence Spectroscopy

 6. การทดสอบหารอยรั่วในวัสดุเคลือบผิว (Holiday Detector/Pin Hole Test) สอบเพื่อหารอยรั่วหรือความไม่สมบูรณ์ของการทาสี เคลือบผิวเทป (Coating) ฯลฯ บนชิ้นงาน ซึ่งอาจเป็นผลทำให้น้ำและความชื้นซึมผ่านผิวเคลือบนั้นและเกิดสนิมได้

 7. การทดสอบหาค่าความแข็ง (Hardness Test) เป็นการทดสอบความแข็งของโลหะภายหลังการแปรรูปเพื่อประเมินสภาพการใช้งานของชิ้นงาน

 8. การทดสอบด้วยวิธีสุญญากาศ (Vacuum Test) เป็นวิธีการทดสอบหาจุดรั่วซึมของพื้นผิว สามารถทดสอบหาการรั่วซึมได้ทั้งพื้นถัง หลังคาถังเก็บผลิตภัณฑ์ (Storage Tank)

 9. การทดสอบหาค่าความเป็นแม่เหล็ก (Magnetic field and permeability measurements) ด้วยเครื่อง Magnetoscop เพื่อใช้ตรวจสอบคุณสมบัติการเหนี่ยวนำแม่เหล็กของโลหะ เช่น Stainless 304 H

10 การทดสอบการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างของโลหะ (Replica Test) ใช้ในการวิเคราะห์สาเหตุความเสียหายของวัสดุอุปกรณ์ที่ทำจากโลหะทุกชนิด

 11. การทดสอบด้วยกล้อง Video Borescope เพื่อตรวจสภาพภายในของอุปกรณ์หรือท่อ, ตรวจดูสิ่งตกค้าง สิ่งผิดปกติต่างๆโดยใช้กล้องติดปลายสายนำทางส่องเข้าไปดูสภาพภายในของอุปกรณ์หรือท่อที่ไม่สามารถมองเห็นได้โดยตรง

 12. การทดสอบด้วย Ferrite Scope เพื่อวัดปริมาณเฟอร์ไรต์ในเนื้อเหล็กกล้าไร้สนิมซึ่งมีผลต่อความต้านทานในการกัดกร่อน

 13. AE Valve Leak Test เป็นอุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยีด้าน Acoustic ในการตรวจหาการรั่วภายในของวาล์วโดยเฉพาะ เพื่อให้ทราบว่าวาล์วนั้นปิดสนิทหรือไม่ ทั้งนี้เป็นการลดการสูญเสียของผลิตภัณฑ์โดยเปล่าประโยชน์ และป้องกันการปล่อยสารที่มีอันตรายออกสู่บรรยากาศ

 14. AE Gas Leak Test เป็นอุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยีด้าน Acoustic ในการตรวจหาการรั่วของแก๊สออกสู่บรรยากาศ เพื่อป้อนกันการสูญเสียผลิตภัณฑ์ และความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงานและสิ่งแวดล้อม

 การทดสอบโดยไม่ทำลายขั้นสูง (Advance NDT) 

Top เป็นการพัฒนาต่อเนื่องจากวิธีการทดสอบโดยไม่ทำลายขั้นพื้นฐานโดยใช้วิวัฒนาการทางเทคโนโลยีของคอมพิวเตอร์และการประมวลผลมาประกอบ ทำให้การทดสอบเกิดความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ได้ผลการทดสอบที่รวดเร็วและมีความแม่นยำมากขึ้น ดังมีรายละเอียดต่อไปนี้ 

1. การทดสอบโดยการรับคลื่นเสียง (Acoustic Emission Test) ตรวจสอบหาการขยายตัวของรอยบกพร่อง การรั่วหรือ การเป็นสนิมของอุปกรณ์ เช่น ถังเก็บผลิตภัณฑ์ (Aboveground storage tank), ถังอัดความดันสูง(Pressure Vessel) การทดสอบด้วย AE นี้ นับเป็นเทคโนโลยีขั้นสูงที่สามารถทดสอบระหว่างการผลิต ทำให้ไม่ต้องหยุดการผลิต ลดขั้นตอนของงานตรวจสอบและลดปัญหามลพิษจากสารตกตะกอนภายในถัง

 2. การทดสอบโดยใช้กระแสไหลวน (Eddy Current Test)

3. Remote Field Eddy Current (REFT) เป็นการตรวจความสมบูรณ์ของท่อสเตนเลสและวัสดุอื่นๆที่ไม่ใช่เหล็กคาร์บอนของภาชนะแลกเปลี่ยนความร้อน (Heat Exchanger) และ Condenser ทีใช้ในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม

 4. Magnetic Flux Leakage (MFL) เป็นการตรวจความสมบูรณ์ของท่อเหล็กคาร์บอนที่มีครีบระบายความร้อนของภาชนะแลกเปลี่ยนความร้อน (Heat Exchanger) และ Condenser ทีใช้ในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม ด้วยสนามแม่เหล็ก

 5. Internal Rotating Immersion System (IRIS) การตรวจวัดความสมบูรณ์ของท่อที่ทำจากโลหะต่างๆของภาชนะแลกเปลี่ยนความร้อน (Heat Exchanger) และ Condenser ที่ใช้ในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม ด้วยคลื่นความถี่สูง

 6. การทดสอบด้วยคลื่นเสี่ยงความถี่สูงแบบ Phase Array (PAUT) เป็นการใช้คลื่นเสียงความถี่สูง ในการตรวจความสมบูรณ์ของเนื้อโลหะโดยใช้หัวตรวจสอบที่มีผลึกตรวจสอบหลายๆหน่วยในหัวเดียวกัน ซึ่งทำให้การตรวจสอบครอบคลุมพื้นที่ได้มาก เร็ว และแม่นยำ สามารถแสดงผลการทดสอบได้ชัดเจน เข้าใจง่ายและเก็บบันทึกผลไว้ใช้อ้างอิงต่อไปได้กว่าแบบทั่วไป

 7. การทดสอบด้วยคลื่นเสี่ยงความถี่สูงแบบ Time of Flight Diffraction (TOFD) เป็นการใช้คลื่นเสียงความถี่สูง ในการตรวจความสมบูรณ์ของเนื้อโลหะโดยใช้เทคโนโลยีการกระเจิงของคลื่นเสียง ซึ่งมีความแม่นยำในการประเมินหาขนาดและตำแหน่งของรอยบกพร่องมาก
อ่านบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2557

10 คำถามที่ควรถามตัวเองเพื่อประเมินผลงานครึ่งปี

By พี่แมว



เมื่อเริ่มเข้าสู่ครึ่งหลังของปี สิ่งหนึ่งที่พนักงานควร ทำก็คือ การทบทวนผลงานในครึ่งปีที่ผ่านมาว่ามีอะไรที่ทำสำเร็จไปแล้วบ้าง และยังมีอะไรต้องปรับปรุง ปรับเปลี่ยนแผนการอะไรบ้าง ที่จะทำให้คุณสามารถไปถึงเป้าหมายการทำงานที่วางไว้ในช่วงสิ้นปีได้สำเร็จ คุณสามารถประเมินตนเองได้ง่าย ๆ โดยการตั้งคำถาม 10 ข้อต่อไปนี้

มองย้อนไปถึงผลงานที่ผ่านมา


• สิ่งที่ทำสำเร็จ 6 เดือนที่ผ่านมาอะไรบ้างที่ประสบความสำเร็จไปแล้ว เป้าหมายอะไรบ้างที่บรรลุไปแล้ว ผลงานอะไรที่คุณภาคภูมิใจมากที่สุด และมีความสำเร็จไหนที่คุณเผลอมองข้ามไปหรือเปล่า

• สัมพันธภาพ คุณได้สร้างสัมพันธภาพใหม่ ๆ อะไรบ้าง สัมพันธภาพใดที่คุณยังมีอยู่อย่างเหนียวแน่น สัมพันธภาพใดที่คุณมองข้ามหรือไม่ได้ให้ความสนใจเท่าที่ควร

• การเรียนรู้ คุณมีโอกาสได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อะไรบ้าง คุณได้เรียนรู้อะไรเกี่ยวกับตัวเองมากที่สุด คุณได้เรียนรู้อะไรเกี่ยวกับธุรกิจที่คุณทำอยู่มากที่สุด

• ความผิดพลาด มีอะไรบ้างที่คุณทำพลาดไป ความผิดพลาดใดที่คุณสามารถหลีกเลี่ยงได้สำเร็จ และความผิดพลาดใดที่ทำให้คุณได้เรียนรู้ที่จะพัฒนาตนเองให้ดียิ่งขึ้น

• การบริหารเวลา คุณบริหารเวลาได้ ดีแค่ไหน คุณโฟกัสในสิ่งที่สำคัญต่อชีวิตหรือไม่ มีสิ่งใดบ้างที่ทำให้คุณเสียเวลา และคุณจำเป็นต้องกำจัดมันออกจากชีวิต เวลาไหนที่คุณรู้สึกว่าทำผลงานได้ดีที่สุด เวลาไหนที่คุณรู้สึกว่าทำงานได้แย่ที่สุด

 มองไปยังอนาคตข้างหน้า 

• เป้าหมายสูงสุด 3 อันดับที่เกี่ยวกับงาน อะไรคือเป้าหมายสูงสุด 3 ประการที่คุณจะทำให้สำเร็จในปีนี้ ทำไมเป้าหมายเหล่านั้นถึงสำคัญกับคุณ ลักษณะนิสัยและกระบวนการใดที่คุณต้องปรับเพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายดัง กล่าว

• เป้าหมายสูงสุด 3 อันดับที่ไม่เกี่ยวกับงาน อะไรคือเป้าหมายสูงสุด 3 ประการที่คุณจะทำให้สำเร็จในปีนี้ ทำไมเป้าหมายเหล่านั้นถึงสำคัญกับคุณ ใครที่คุณสามารถเล่าให้เขาฟังถึงเป้าหมายของคุณ และเขาสามารถสนับสนุนให้คุณให้ทำตามแผนการที่วางไว้จนบรรลุเป้าหมายได้ สำเร็จ

• สัมพันธภาพ สัมพันธภาพใดที่คุณจะพัฒนาให้แน่นแฟ้นขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ใครที่คุณต้องการพบและทำความรู้จัก ใครที่จะสามารถช่วยคุณให้บรรลุเป้าหมายได้มากที่สุดทั้งที่เกี่ยวกับงานและไม่เกี่ยวกับงาน

• การเรียนรู้และความรู้ คุณจำเป็นต้องโฟกัสการเรียนรู้เรื่องใดเป็นพิเศษ ทักษะใหม่อะไรบ้างที่คุณต้องพัฒนาเพิ่ม ทักษะการทำงานใดที่คุณต้องพัฒนาให้เชี่ยวชาญยิ่งขึ้น ทักษะใดที่คุณควรคงไว้ และทักษะใดที่ส่งผลมากที่สุดต่อการบรรลุเป้าหมายของคุณ

• ลักษณะนิสัย นิสัยใดในการบริหารเวลาที่คุณจำเป็นต้องปรับปรุงและพัฒนา นิสัย 3 อย่างที่หากปรับปรุงแล้วจะส่งผลดีต่อชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวของคุณมาก ที่สุด นิสัยใดที่คุณรู้ว่าคุณจะต้องเลิกให้ได้

ลองจัดเวลาในการทบทวนตัวเอง โดยถาม 10 คำถามข้างต้นแล้วจดคำตอบเก็บไว้ ทุก ๆ สัปดาห์ให้หยิบขึ้นมาดูสักครั้งหนึ่งเพื่อเป็นการกระตุ้นตัวเองว่ามีความคืบ หน้าไปอย่างไรบ้าง ทำอย่างนี้ไปจนกว่าจะถึงสิ้นปี คุณจะสามารถโฟกัสกับเป้าหมายและทำให้ปีนี้เป็นปีแห่งความสำเร็จได้ในที่สุด
อ่านบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

เราขาด AQ หรือป่าว?

By Rawit


ความสามารถในการฝันฝ่าปัญหาอุปสรรค AQ (Adversity Quotient) คือความสามารถในการ ที่อดทนทั้งด้าน ความยาก ลำบาก ทางกาย ความอดกลั้น ทางด้านจิตใจ และ จิตวิญญาณ ที่สามารถเผชิญ และเอาชนะเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ เมื่อต้องเผชิญ กับการเปลี่ยนแปลง ที่รวดเร็วและไม่มีความแน่นอน ซึ่งจะเป็นรูปแบบพฤติกรรมการตอบสนองต่อปัญหา อุปสรรคในชีวิต อันเป็นกลไกของสมอง ซึ่งเกิดจาก ใยประสาทต่างๆที่ถูกสร้างขึ้น ฝึกฝนขึ้น ปัญหาที่กล่าวถึงนี้จะเป็นปัญหาเล็กน้อย เป็นปัญหา ปานกลาง หรืออาจจะเป็นปัญหาใหญ่โต ซับซ้อนก็ได้ อาจสรุป ว่า AQ คือ ความสามารถในการจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นได้ ประกอบด้วย 4 ลักษณะ ดังนี้

1. ความสามารถในการควบคุมสถานการณ์ได้ เมื่อต้องเผชิญกับปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้น
2. ความพยายามที่จะควบคุมสถานการณ์และนำตัวเองเข้าไปแก้สถานการณ์
3. วิธีคิดหรือวิธีมองปัญหาที่จะเข้าไปแก้ไขสถานการณ์นั้นว่า มีจุดจบของปัญหา และปัญหา ทุก ๆ ปัญหาต้องมีทางออก ไม่ทางใด ก็ทางหนึ่ง
4. ความสามารถที่จะอดทนและทนทานต่อปัญหาต่าง ๆ ได้

 A.Q. หรือ adversity quotient เป็นศักยภาพที่บุคคลสามารถเผชิญกับปัญหา และพยายามหาหนทางแก้ไข อย่างไม่หยุดหย่อน ด้วยพลังจิตใจที่จะพัฒนางานอย่างต่อเนื่อง สตอลต์ (Paul G.Stoltz, Ph.D.) เป็นผู้เสนอแนวความคิด และ แนวทางพัฒนา สามารถเผชิญ กับปัญหา และพยายามหาหนทางแก้ไขอย่างไม่หยุดศักยภาพด้าน เอคิว ( A.Q.)ขึ้น เขาได้แบ่งลักษณะของบุคคล เมื่อเผชิญปัญหาโดยเทียบเคียงกับนักไต่เขาไว้ ๓ แบบคือ

1. ผู้ยอมหยุดเดินทางเมื่อเผชิญปัญหา ( Quitters ) มีลักษณะ
1. ปฏิเสธความท้าทายอย่างสิ้นเชิง
2. ไม่คำนึงถึงศักยภาพที่ตนมีอยู่ที่จะจัดการกับปัญหาได้
3. พยายามหลบหลีกความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นทุกวิถีทาง
4. ไม่มีความทะเยอทะยาน ขาดแรงจูงใจ
5. เป็นตัวถ่วงในองค์กร

2. ผู้หยุดพักพิงเมื่อได้ที่เหมาะ ( Campers ) มีลักษณะ
0. วิ่งไปข้างหน้าบ้างและแล้วก็หยุดลง
1. หาพื้นที่ราบซึ่งจะได้พบกับปัญหาอุปสรรคเพียงเล็กน้อย
2. ถอยห่างจากการเรียนรู้ สิ่งน่าตื่นเต้น การเติบโต และความสำเร็จที่สูงขึ้นไป 3
. ทำในระดับเพียงพอที่จะไม่เป็นที่สังเกตได้ ได้แก่พยายามไม่ทำให้โดดเด่นเกินหน้าใคร

3. ผู้ที่รุกไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดนิ่ง ( climbers ) มีลักษณะ
0. อุทิศตนเองเพื่อมุ่งไปสู่จุดที่ดีขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง
1. ไม่เคยรู้สึกพอใจ ณ จุดปัจจุบันเสียทีเดียว
2. สร้างสิ่งใหม่ๆให้ตนเองและองค์กรของตนอย่างต่อเนื่อง
3. สร้างแรงจูงใจให้ตนเอง และสร้างวินัยแก่ตนเอง
4. สนุกกับสิ่งท้าทายใหม่ๆ

สตอลต์ (Stoltz ) เปรียบชีวิตเหมือนการไต่ขึ้นภูเขา ผู้ที่ประสบความสำเร็จนั้น จะอุทิศตนก้าวต่อไปข้างหน้า ไต่ขึ้นไปยังจุดสูงขึ้น อย่างไม่หยุดหย่อน บางครั้งช้าบ้างเร็วบ้าง เจ็บปวดบ้างก็ยอม ความสำเร็จนั้น หรือก็เป็นเพียงจุดๆหนึ่งของชีวิต ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง จากนั้นก็ก้าวต่อไปตลอดชีวิต แม้ว่าจะมีอุปสรรคเพียงใด พบว่า ประธานาธิบดีจิมมี คาร์เตอร์ ทำประโยชน์ให้สังคมโลก อย่างไม่ หยุดหย่อน แม้กระทั่งภายหลังลงจาก ตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐแล้วก็ตาม และพบว่าผลงานที่มีต่อสังคมโลกของท่าน ในช่วงหลัง จากลงจากตำแหน่ง แล้วยังจะมีมากกว่าเมื่อตอนรับตำแหน่งอยู่เสียอีกเนื่องจากท่านไม่เคยหยุด อยู่กับที่เลย แม้ว่าแนวคิดด้านเอคิว( AQ. ) จะได้รับการพัฒนามาหลังจากไอคิว ( IQ. ) และเอคิว ( EQ. ) แต่ด้วยความสำคัญและประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเอง องค์กร และสังคม ทำให้บริษัทชั้นนำขนาดใหญ่ในประเทศสหรัฐอเมริกา นำแนวคิดนี้มาพัฒนาการดำเนินงาน และ หน่วยงานด้าน การจัดการศึกษา แก่เด็กนักเรียนในประเทศสิงคโปร์ ได้นำแนวคิดนี้ไปบรรจุในแผนการสอนในโรงเรียน

ความเข้าใจแนวความคิดด้านเอคิว( A.Q. )ทำให้เข้าใจถึงวิธีที่บุคคลตอบสนองต่ออุปสรรคหรือสิ่งท้าทายตลอดทุกแง่มุม ของชีวิต ด้วยวิธีการค้นหาว่า ตนเอง ณ จุด ใดของงานนั้นๆ จากนั้นจึงวัดและพัฒนางานนั้นให้ดีขึ้นตลอด บันไดในการ กำหนดเป้าหมาย และการไปให้ถึงได้แก่

ขั้นที่หนึ่ง คือ การจินตนาการความเป็นไปได้ที่ดีกว่าที่คาดหมายว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต ( Dream the Dream )

ขั้นที่สอง คือ แปลงสิ่งที่จินตนาการให้เป็นวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน ( Making the Dream the Vision )

ขั้นที่สาม คือ การคงสภาพวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนนั้นจนกว่าจะดำเนินการจนบรรลุเป้าหมาย ( Sustaining the Vision )

อย่าลืมว่าหัวใจของเอคิว( AQ. )คือดำเนินต่อไปไม่หยุดยั้ง ไม่ท้อถอย ดังเช่น โธมัส เอดิสัน ใช้เวลาถึง ๒๐ ปี ทำการทดลองผลิตแบตเตอรีต้นแบบ ที่เบาทนทาน ด้วยการทดลอง ห้าหมื่นกว่าครั้ง มีผู้สงสัยว่าเขาอดทนทำเช่นนั้นได้อย่างไร เขาตอบว่า การทดลองทั้งห้าหมื่นครั้งทำให้เขาเรียนรู้ความล้มเหลวตั้งห้าหมื่นกว่าแบบ เป็นเหตุให้เขาประสบความสำเร็จดังกล่าวได้
มิได้หมายความว่า คนที่มีเอคิว( AQ. )ดี ซึ่งเปรียบได้กับคนที่พยายามไต่เขาต่อไปไม่หยุดหย่อน จะไม่รู้สึกเหนื่อยอ่อน จะไม่รู้สึก ลังเลใจ ที่จะทำต่อไป จะไม่รู้สึกเหงา แต่เป็นเพราะเขารู้จักที่จะให้กำลังใจตนเองสู้ต่อไป เติมพลังให้ตนเอง ตลอดเวลาที่ทำให้ เขาแตกต่างจากคนอื่นและกัดฟันสู้อยู่ไม่ถอย สิ่งที่เขาต้องการ มิใช่ส่วนแบ่งการตลาด ของสินค้าที่บริษัทเขาผลิตอยู่ มิใช่ต้องการ เงินเดือน ขั้นพิเศษเป็นผลตอบแทน เพราะนั่นเป็นเพียงผลพลอยได้ สิ่งที่เขาต้องการแท้ที่จริงคือ เป้าหมายของงานที่ดีขึ้น อย่างไม่หยุดหย่อน

มาถึงตอนนี้คงจะเห็นได้แล้วว่าเอคิว( AQ. )นั้นมีประโยชน์ต่อสังคมโลกอย่างใด และหากเด็กได้รับการพัฒนา ความคิดดังกล่าว จะเป็นประโยชน์ต่อเด็กและสังคมอย่างมาก จึงไม่น่าแปลกใจที่รัฐบาลประเทศสิงคโปร์ถึงให้ความสำคัญต่อสิ่งนี้อย่างมาก นอกจากนี้ ได้มีการศึกษาถึง อานิสงค์แห่งการคงไว้ซึ่งเอคิว( AQ. )ใน ๓ ลักษณะคือ

๑. ทำให้บุคคลนั้นมีความคล่องตัวอยู่เสมอ ไม่เหี่ยวเฉา การฝึกสมองอยู่ตลอดเวลาทำให้เซลล์สมองพัฒนาการเชื่อมโยงเซลล์ประสาท ตลอดเวลาทำให้มีความคิดความจำที่ดีอยู่ตลอด
๒. เป็นคนมองโลกในแง่ดีเสมอ มาติน เซลิกมาน ( Martin Seligman ) ได้ศึกษาตัวแทนประกันชีวิตเป็นเวลา ๕ ปี พบว่าผู้มองโลกในแง่ดี มีผลงานขายประกันสูงกว่า ผู้มองโลกในแง่ร้ายถึง ร้อยละ ๘๘
๓. งานวิจัยด้านระบบจิตประสาทภูมิคุ้มกัน( psycho- neuroimmunology ) พบว่า วิธีการตอบสนองต่ออุปสรรค มีความสัมพันธ์ทางตรงกับ สุขภาพกายและสุขภาพจิต ผู้ที่มีจิตใจต่อสู้อย่างไม่ย่อท้อ ทำให้มีภูมิคุ้มกันต่อความเจ็บป่วยดีขึ้น เช่น ผู้ป่วยที่รับการผ่าตัด จะพบว่าแผลผ่าตัดฟื้นหายเร็วขึ้น มีอายุที่ยืนยาวกว่า
อ่านบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ปฏิบัติการช่วยฟื้นคืนชีพ (Cardiopulmonary resuscitation : CPR)

By Tinnagorn



 วันนี้พี่โหน่งเอาเรื่องดี มีสาระมาให้พวกเราได้อ่านและศึกษากันแล้ว ขอบคุณพี่โหน่งมากช่วงนี้ต้องการคนช่วยฟื้นคืนชีพมากๆเลย อ่อนเปลี้ยเพลียแรง เหมือนจะสิ้นชีพ เราเข้าไปดูกันได้เลยว่ามีอะไรน่าสนใจกันบ้าง
x


             หมายถึง การช่วยเหลือผู้ที่หยุดหายใจหรือหัวใจหยุดเต้น ให้มีการหายใจและการไหลเวียนกลับคืนสู่สภาพเดิม ป้องกันเนื้อเยื่อได้รับอันตรายจากการขาดออกซิเจนอย่างถาวร ซึ่งสามารถทำได้โดยการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐาน (Basic life support) ได้แก่ การผายปอด และการนวดหัวใจภายนอก
ภาวะหยุดหายใจและหัวใจหยุดเต้น
             ภาวะหยุดหายใจ (respiratory arrest) และภาวะหัวใจหยุดเต้น (cardiac arrest) - เป็นภาวะที่มีการหยุดการทำงานของอวัยวะในระบบทางเดินหายใจและการไหลเวียนเลือด ส่วนมากมักจะพบว่ามีการหยุดหายใจก่อนเกิดภาวะหัวใจหยุดเต้น และ ถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลือที่ถูกต้อง จะทำให้เสียชีวิตได้
สาเหตุของการหยุดหายใจ
1.       ทางเดินหายใจอุดตันจากสาเหตุต่างๆ เช่น จากสิ่งแปลกปลอมอุดกั้นทางเดินหายใจ การแขวนคอ การถูกบีบรัดคอ การรัดคอ เป็นต้น ในเด็กเล็กสาเหตุจากการหยุดหายใจที่พบได้มากที่สุดคือ การสำลักสิ่งแปลกปลอมเข้าหลอดลม เช่น ของเล่นชิ้นเล็ก ๆ เมล็ดถั่ว เป็นต้น
2.       มีการสูดดมสารพิษ แก็สพิษ ควันพิษ
3.       การถูกกระแสไฟฟ้าแรงสูงดูด
4.       การจมน้ำ
5.       การบาดเจ็บที่ทรวงอก ทำให้ทางเดินหายใจได้รับอันตรายและเนื้อเยื่อได้รับบาดเจ็บ
6.       โรคระบบประสาท เช่น บาดทะยัก ไขสันหลังอักเสบ ทำให้กล้ามเนื้อหายใจเป็นอัมพาต
7.       การได้รับสารพิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย เช่น ผึ้ง ต่อ แตน ต่อยบริเวณคอ หน้า ทำให้มีการบวมของเนื้อเยื่อของทางเดินหายใจและหลอดลมมีการหดเกร็ง
8.       การได้รับยากดศูนย์ควบคุมการหายใจ เช่น มอร์ฟีน ฝิ่น โคเคน บาร์บิทูเรต ฯลฯ
9.       โรคหัวใจ เช่น กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดไปเลี้ยงอย่างเฉียบพลัน
10.    มีการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจ และมีภาวะหายใจวายจากสาเหตุต่างๆ
 สาเหตุของหัวใจหยุดเต้น
1.       หัวใจวายจากโรคหัวใจ จากการออกกำลังกายมากเกินปกติ หรือตกใจหรือเสียใจกระทันหัน
2.       มีภาวะช็อคเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน จากการสูญเสียเลือดมาก ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หรือมีเลือดมาเลี้ยงไม่เพียงพอ
3.       ทางเดินหายใจอุดกั้น ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ
4.       การได้รับยาเกินขนาดหรือการแพ้
ข้อบ่งชี้ในการปฏิบัติการช่วยฟื้นคืนชีพ
1.       ผู้ที่มีภาวะหยุดหายใจ โดยที่หัวใจยังคงเต้นอยู่ประมาณ 2-3 นาที ให้ผายปอดทันที จะช่วยป้องกันภาวะหัวใจหยุดเต้นได้ และช่วยป้องกันการเกิดภาวะเนื้อเยื่อสมองขาดออกซิเจนอย่างถาวร
2.       ผู้ที่มีภาวะหยุดหายใจและหัวใจหยุดเต้นพร้อมกัน ซึ่งเรียกว่า clinical death การช่วยฟื้นคืนชีพทันทีจะช่วยป้องกันการเกิด biological death คือ เนื้อเยื่อโดยเฉพาะเนื้อเยื่อสมองขาดออกซิเจน
       ระยะเวลาของการเกิด biological death หลังจาก clinical death ยังไม่มีใครทราบแน่ชัด แต่โดยทั่วไป มักจะเกิดช่วง 4-6 นาที หลังเกิด clinical death ดังนั้นการปฏิบัติการช่วยฟื้นคืนชีพจึงควรทำภายใน 4 นาที 

ลำดับขั้นในการปฏิบัติการช่วยฟื้นคืนชีพ
การปฏิบัติการช่วยฟื้นคืนชีพ ขั้นพื้นฐานประกอบด้วย 3 ขั้นตอนใหญ่สำคัญ คือ A B C ซึ่งต้องทำตามลำดับคือ 
1.       A - Airway : การเปิดทางเดินหายใจให้โล่ง
2.       B - Breathing : การช่วยให้หายใจ
3.       C - Circulation : การนวดหัวใจเพื่อช่วยให้เกิดเลือดไหลเวียนอีกครั้ง

1. A : Airway หมายถึง การเปิดทางเดินหายใจให้โล่ง ซึ่งเป็นการปฏิบัติการขั้นแรก ที่ต้องทำอย่างรวดเร็ว เพราะเนื่องจากโคนลิ้นและกล่องเสียงมีการตกลงไปอุดทางเดินหายใจส่วนบนในผู้ป่วยที่หมดสติ ดังนั้นจึงต้องมีการเปิดทางเดินหายใจให้โล่ง โดยการดัดคางขึ้นร่วมกับการกดหน้าผากให้หน้าแหงนเรียกว่า "head tilt chin lift"
                                         
                                               ภาพที่ 2 ทางเดินหายใจที่เปิดและปิด

                                           


                                                  ภาพที่ 3 head tilt chin lift

         ในกรณีที่มีกระดูกสันหลังส่วนคอหัก หรือในรายที่สงสัย ควรใช้วิธี "jaw thrust maneuver" โดยการดึงขากรรไกรทั้งสองข้างขึ้นไปข้างบน ผู้ช่วยเหลืออยู่เหนือศีรษะผู้ป่วย
                                              


                                                 ภาพที่ 4 jaw thrust maneuver 


2. B : Breathing คือ การช่วยหายใจ เนื่องจากการหายใจหยุด ร่างกายจะมีออกซิเจนคงอยู่ในปอดและกระแสเลือด แต่ไม่มีสำรองไว้ใช้ดังนั้น เมื่อหยุดหายใจ จึงต้องช่วยหายใจ เป็นวิธีที่จะช่วยให้ออกซิเจนเข้าสู่ปอดผู้ป่วยได้ ซึ่งออกซิเจนที่เป่าออกไปนั้นมีออกซิเจนประมาณ 16-17 % ซึ่งเพียงพอสำหรับใช้ในร่างกาย สามารถทำได้หลายวิธี คือ ด้วยการเป่าปาก (mouth to mouth) เป่าจมูก (mouth to nose) และวิธีการกดหลังยกแขนของโฮลเกอร์ - นิลสัน (back pressure arm lift or Holger - Nielson method) ทำได้ดังนี้
        2.1 กรณีเป่าปาก บีบจมูกของผู้ป่วย ผู้ช่วยเหลือหายใจเข้าปอดลึก ๆ ซัก 2-3 ครั้ง หายใจ เข้าเต็มที่แล้วประกบปากให้แนบสนิทกับปากของผู้ป่วย แล้วเป่าลมหายใจเข้าไปในปอดให้เต็มที่
                                            

                                       ภาพที่ 5 การผายปอดด้วยวิธี Mouth to Mouth

        2.2 กรณีเป่าจมูก ใช้ในรายที่มีการบาดเจ็บในปาก หรือในเด็กเล็ก ต้องปิดปากของผู้ป่วยก่อน และเป่าลมหายใจเข้าทางจมูกแทน
             

                            
                                      ภาพที่ 6 การผายปอดด้วยวิธี Mouth to Nose

          ขณะที่เป่าให้เหลือบมองยอดอกของผู้รับบริการด้วยว่ามีการยกตัวขึ้นหรือไม่ การเป่าลมหายใจของผู้ช่วยเหลือผ่านทางปากหรือจมูก จะต้องทำอย่างช้าๆ ปล่อยปากหรือผู้ช่วยเหลือออกจากปากหรือจมูกของผู้ป่วย เพื่อให้ผู้ป่วยหายใจออก ให้ ผายปอด 2 ครั้ง ๆ ละ 1-1.5 วินาที (แต่ละครั้งได้ออกซิเจน 16 %) อัตราเร็วในการเป่า คือ 12 -15 ครั้ง / นาที ใกล้เคียงกับการหายใจปกติ
3. C : Circulation คือการนวดหัวใจภายนอก ทำในรายที่ประเมินภาวะหัวใจหยุดเต้น โดยการจับชีพที่ carotid artery แล้วไม่พบว่ามีการเต้นของชีพจร ก็จะช่วยให้มีการไหลเวียนของเลือดโดยการกดนวดหัวใจภายนอก (cardiac massage) โดยมีหลักการคือ กดให้กระดูกหน้าอก (sternum) ลงไปชิดกับกระดูกสันหลัง ซึ่งจะทำให้หัวใจที่อยู่ระหว่างกระดูกทั้งสองอัน ถูกกดไปด้วย ทำให้มีการบีบเลือดออกจากหัวใจไปเลี้ยงร่างกาย เสมือนการบีบตัวของหัวใจ
วิธีนวดหัวใจ
1. จัดให้ผู้ป่วยนอนหงายราบ บนพื้นแข็ง ถ้าพื้นอ่อนนุ่มให้สอดไม้กระดานแข็งใต้ลำตัว
2. วัดตำแหน่งที่เหมาะสำหรับการนวดหัวใจ โดยใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางข้างที่ถนัด วาดจากขอบชายโครงล่างของผู้ป่วยขึ้นไป จนถึง ปลายกระดูกหน้าอก วัดเหนือปลายกระดูกหน้าอกขึ้นมา 2 นิ้วมือ แล้วใช้สันมือข้างที่ไม่ถนัดวางบนตำแหน่งดังกล่าว และใช้สันมือข้างที่ถนัดวางทับลงไป และเกี่ยวนิ้วมือให้นิ้วมือที่วางทับแนบชิดในร่องนิ้วมือของมือข้างล่าง (interlocked fingers) ยกปลายนิ้วขึ้นจากหน้าอก
3. ผู้ช่วยเหลือยืดไหล่และแขนเหยียดตรง จากนั้นปล่อยน้ำหนักตัวผ่านจากไหล่ไปสู่ลำแขนทั้งสองและลงไปสู่กระดูกหน้าอกในแนวตั้งฉากกับลำตัวของผู้เจ็บป่วยในผู้ใหญ่และเด็กโต กดลงไปลึกประมาณ 1.5 - 2 นิ้ว ให้กดลงไปในแนวดิ่ง และอย่ากระแทก
4. ผ่อนมือที่กดขึ้นให้เต็มที่เพื่อให้ทรวงอกมีการขยายตัว และหัวใจได้รับเลือดที่อุดมไปด้วยออกซิเจน ขณะที่ผ่อนมือไม่จำเป็นต้องยกมือขึ้นสูง มือยังคงสัมผัสอยู่ที่กระดูกหน้าอก อย่ายกมือออกจากหน้าอก จะทำให้มีเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ในร่างกาย และมีเลือดไหลกลับเข้าสู่หัวใจ ทำให้มีการไหลเวียนเลือดในร่างกาย
5. การกดนวดหัวใจจะนวดเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ในอัตราเร็ว 100 ครั้ง/นาที ถ้าน้อยกว่านี้จะไม่ได้ผล
                    




                                
                                      ภาพที่ 9 แสดงการวัดตำแหน่ง และการกดนวดหัวใจภายนอก

 การปฏิบัติในการช่วยฟื้นคืนชีพเบื้องต้น
1. เมื่อพบคนนอนอยู่ คล้ายหมดสติ ต้องลองตรวจดูว่าหมดสติจริงหรือไม่ โดยการเรียกและเขย่าตัว เขย่าหรือตบที่ไหล่ ถ้าหมดสติจะไม่มีการโต้ตอบ หรือมีเสียงคราง หรือมีการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย
                                     


                                                     ภาพที่ 10 ตรวจสอบการหมดสติ

2. ประเมินการหายใจโดยการทำ look listen and feel
   - look คือ ดูการเคลื่อนไหวของทรวงอก และหน้าท้องว่ามีการยกตัวขึ้นหรือไม่ หรือ หายใจหรือไม่
   - listen คือ ฟังเสียงลมหายใจ โดยเอียงหูของผู้ช่วยเหลือเข้าไปใกล้บริเวณจมูกและปากของผู้ป่วย ว่าได้ยินเสียงอากาศผ่านออกมาทางจมูกหรือปากหรือไม่
   - feel คือ สัมผัส โดยการใช้แก้มของผู้ช่วยเหลือสัมผัสกับความรู้สึกว่ามีลมหายใจที่ผ่านออกจากปากหรือจมูก อาจใช้สำลีหรือวัสดุบางเบาจ่อบริเวณจมูก

                                     


                                          ภาพที่ 11 แสดงการทำ look listen and feel

3. ถ้าพบว่าไม่หายใจให้เรียกขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น พร้อมทั้งจัดท่านอนหงายราบบนพื้นแข็ง เริ่มขั้นตอนการปฏิบัติการช่วยฟื้นคืนชีพ

        ขั้นตอนที่
Airway โดยการเปิดทางเดินหายใจให้โล่ง ด้วยวิธี head tilt chin lift หรือ jaw thrust maneuver (ถ้ามีการหักของกระดูกสันหลังส่วนคอ) - ดูภาพที่ 3 และ 4 ในหัวข้อ Airway

4. ทดสอบการหายใจโดยการทำ look listen and feel อีกครั้งหนึ่งถ้ายังไม่หายใจ ให้ทำขั้นตอนต่อไปคือ      
        ขั้นตอนที่
Breathing คือ เป่าลมหายใจ 2 ครั้ง - ดูภาพที่ 5 และ 6 ในหัวข้อ Breathing

5. ทดสอบว่าหัวใจหยุดเต้นหรือไม่ด้วยการจับชีพจร ถ้าไม่มีการเต้นของหัวใจ เป่าปากอีก 2 ครั้ง แล้วทำ cardiac massage ด้วยอัตราเร็ว 100 ครั้ง/นาที โดยการนับ 1 และ2 และ 3 และ………จนถึง 30 ครั้ง - ดูภาพที่ 9 ในหัวข้อ 
Circulation

6. ทำสลับกันอย่างนี้ ไปจนครบ 4 รอบ (1 นาที) จึงประเมินการหายใจและการเต้นของชีพจร และประเมินอีก ทุก 1 นาที

7. ถ้ามีผู้ช่วยเหลือมาช่วยอีก ให้แบ่งการทำหน้าที่กัน เช่น ผู้ช่วยเหลือคนที่ 1 ผายปอด ผู้ช่วยเหลือคนที่ 2 กดนวดหัวใจ ถ้าผู้ช่วยเหลือแต่ละคนอาจเหนื่อยและต้องการเปลี่ยนหน้าที่กัน โดยการตะโกนว่า "เปลี่ยน" ก็จะสลับหน้าที่กัน






                                    
                                            ภาพที่ 12 การปฏิบัติการช่วยฟื้นคืนชีพ 2 คน

8. ให้ปฏิบัติการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นพื้นฐานอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งมีบุคลากรนำอุปกรณ์มาช่วยเหลือเพิ่มเติม และรีบนำส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันที
การจัดท่าผู้ป่วยหลังปฏิบัติการช่วยฟื้นคืนชีพ
      หลังปฏิบัติการช่วยฟื้นคืนชีพ จนกระทั่งผู้ป่วยมีชีพจรและหายใจได้เองแล้ว แต่ยังหมดสติอยู่ หรือพบผู้ป่วยหมดสติ แต่ยังมีชีพจรและหายใจอยู่ ควรจัดให้อยู่ในท่าพักฟื้น (recovery position) ซึ่งท่านี้จะช่วยป้องกันลิ้นตกไปอุดกั้นทางเดินหายใจ ช่วยให้น้ำลายหรือเสมหะไหลออกจากปากได้ ทำให้ปลอดภัยจากการสูดสำลัก การจัดท่าทำได้ดังนี้
       1. นั่งคุกเข่าข้าง ๆ ผู้ป่วย ทำ head tilt chin lift เหยียดขาผู้ป่วยให้ตรง จับแขนด้านใกล้ตัวงอและหงายมือขึ้นดังภาพ


                                  
                                                     ภาพที่ 18 การจับแขนด้านใกล้ตัว


       2. จับแขนด้านไกลตัวข้ามหน้าอกมาวางมือไว้ที่แก้มอีกข้างหนึ่ง

                                   
                                                  ภาพที่ 19 การจับแขนด้านไกลตัว


       3. ใช้แขนอีกข้างหนึ่งจับขาไว้ ดึงพลิกตัวผู้ป่วยให้เข่างอข้ามตัวมาด้านที่ผู้ปฏิบัติอยู่ ให้ผู้ป่วยอยู่ในท่าตะแคง

                                     


                                                        ภาพที่ 20 การจับดึงให้พลิกตัว


       4. จับศีรษะแหงนเล็กน้อย เพื่อเปิดทางเดินหายใจให้โล่ง ปรับมือให้อยู่ใต้แก้ม และจัดขาให้งอเล็กน้อย

อันตรายของการทำ CPR ไม่ถูกวิธี
         1. วางมือผิดตำแหน่ง ทำให้ซี่โครงหัก , xiphoid หัก , กระดูกที่หักทิ่มโดนอวัยวะสำคัญ เช่น ตับ ม้าม เกิดการตกเลือดถึงตายได้
         2. การกดด้วยอัตราเร็วเกินไป เบาไป ถอนแรงหลังกดไม่หมด ทำให้ปริมาณเลือดไปถึงอวัยวะต่างๆ ที่สำคัญได้น้อย ทำให้ขาดออกซิเจน
         3. การกดแรงและเร็วมากเกินไป ทำให้กระดูกหน้าอกกระดอนขึ้น ลงอย่างรวดเร็ว หัวใจช้ำเลือดหรือกระดูกหักได้
         4. การกดหน้าอกลึกเกินไป ทำให้หัวใจชอกช้ำได้
         5. การเปิดทางเดินหายใจไม่เต็มที่ เป่าลมมากเกินไป ทำให้ลมเข้ากระเพาะอาหาร เกิดท้องอืด อาเจียน ลมเข้าปอดไม่สะดวก ปอดขยายตัวไม่เต็มที่ ถ้ามีอาการอาเจียนเกิดขึ้นก่อน หรือ ระหว่างการทำ CPR ต้องล้วงเอาเศษอาหารออกก่อน มิฉะนั้นจะเป็นสาเหตุของ การอุดตันของทางเดินหายใจ (airway obstruction) การช่วยหายใจไม่ได้ผล เกิดการขาดออกซิเจน ถ้ามีอาการท้องอืดขึ้น ระหว่างการทำ CPR ให้จัดท่าเปิดทางเดินหายใจใหม่ และช่วยการหายใจด้วยปริมาณลมที่ไม่มากเกินไป 
อ่านบทความทั้งหมด