ถ้าพูดถึงเรื่องการออกกำลังกายแบบแอโรบิคแล้วไม่พูดถึงเรื่องอัตราการเต้นของหัวใจในขณะออกกำลังกายต้องถือว่าไม่ครบถ้วน เหมือนกินน้ำพริกกะปิแล้วไม่มีปลาทู เอ๊ะเกี่ยวหรือเปล่า
ตามคำแนะนำของสมาคมแพทย์หัวใจของสหรัฐอเมริกา แนะนำว่า การออกกำลังกายเป็นเรื่องที่สำคัญและจำเป็นยิ่งไปกว่านั้น อัตราการเต้นของหัวใจในขณะออกกำลังกายก็เป็นสิ่งที่สำคัญเช่นเดียวกัน เพื่อที่จะให้ได้ประโยชน์เต็มที่จากการออกกำลังกาย จังหวะหรืออัตราในการออกกำลังก็มีความสำคัญ เพื่อที่จะไม่ใ้ห้หมดแรงเร็วเกินไป
การใช้จังหวะการเต้นของหัวใจเพื่อเป็นการวัดระดับความฟิตของร่างกาย และติดตามโปรแกรมการออกกำลังกายของคุณเป็นตัวชี้วัดที่ดี วิธีการก็คือต้องมีการติดตามวัดระดับอัตราการเต้นของหัวใจของคุณเป็นระยะ ๆ ในขณะที่ออกกำลังกาย เพื่อที่จะควบคุมระดับความดันโลหิตให้อยู่ระหว่าง 50-85 % ของอัตราการเต้นหัวใจสูงสุด(Maximum Heart rate)โดยช่วงที่ต้องการนี้จะเรียกว่า Target Heart Rate
ถ้าคุณไม่สามารถจับชีพจรเป็นระยะ ๆ ในขณะออกกำลังกายจะทำอย่างไร
บางคนอาจจะไม่สะดวกในการวัดชีพจรในขณะออกกำลังกาย หรือไม่มีเครื่องมือช่วย อาจจะใช้วิธีการง่าย ๆ ที่ทดแทนได้ ที่เรียกว่า "conversational pace"เป็นการวัดง่าย ๆ เช่นในขณะที่คุณเดินออกกำลังกายคุณยังสามารถพูดคุยกับเพื่อนที่เดินด้วยกันตามปกติหรือไม่ ถ้าคุณยังสามารถคุยได้เป็นปกติ แปลว่าการออกกำลังกายของคุณยังหนักไม่พอ แบบว่าคุณจะต้องเดินให้เร็วขึ้นอีก ถ้าไม่มีเพื่อนคุย ลองร้องเพลงดูก็ได้ ถ้าร้องได้สบาย ๆ แปลว่าหนักไม่พอ แต่ถ้าคุณหอบหรือหายใจอย่างแรง แสดงว่าคุณอาจจะเล่นหนักเกินไป อาจจะต้องผ่อนลงมาบ้าง
target heart rate จะต้องใช้เมื่อไหร่บ้าง
ถ้ากิจกรรมการออกกำลังกายของคุณค่อนข้างหนัก และการใช้วิธีแบบ"conversational pace" ไม่ได้ผล หรือไม่ละเอียดพอ ลองมาวัดอัตราการเต้นหัวใจกัน คุณอาจจะวัดกับเครื่องที่เห็นอยู่ตามยิม หรือ คุณอาจจะซื้อเครื่องวัดอัตราการเต้นหัวใจที่เป็นนาฬิกาข้อมือ นอกจากเป็นวิธีที่แม่นยำแล้ว ยังสามารถใช้ติดตามความก้าวหน้าในความฟิตของร่างกายคุณได้ด้วย
Maximum heart rate คิดง่าย ๆ คือเท่ากับ 214-(0.5 * อายุ) -(0.05*น้ำหนักตัว)
สำหรับผู้ป่วยที่ทานยาความดันโลหิตสูง บางชนิดจะทำให้อัตราการเต้นของหัวใจช้ากว่าปกติ ดังนั้นหากท่านทานยาลดความดันเลือด ควรปรึกษาแพทย์ประจำของท่านเพื่อปรับระดับ Target heart rate ที่เหมาะสมสำหรับท่านด้วยนะครับ
การกำหนดจังหวะในการออกกำลังกาย
มื่อเริ่มต้นออกกำลังกายใหม่ ๆ ในช่วงที่ร่างกายยังไม่มีความฟิตสมบูรณ์ อาจจะเริ่มต้นด้วยการออกกำลังกายให้ถึงอัตราการเต้นประมาณ 50% ของ target heart rate ให้ได้ประมาณ 2-3 สัปดาห์ หลังจากนั้นค่อย ๆ เล่นให้หนักขึ้นให้ขึ้นไปได้ถึง 75% ของ Target heart rate หลังจากคุุณออกกำลังกายไปได้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 6 เดือน ควรจะสามารถออกกำลังที่ 85% target heart rate โดยไม่รู้สึกเหนื่อยมาก อย่างไรก็ตามคุณไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายถึงระดับนั้นตลอดเวลา
ในขณะที่ออกกำลังกายช่วงของ Target heart rate เป็นช่วงที่ควรจะรักษาระดับนี้เอาไว้ แต่ว่าคุณจะออกกำลังกายให้ถึงแต่ละช่วงของการเต้นหัวใจนี้ ขึ้นอยู่กับเป้าหมายในการออกกำลังกายของคุณ
Goal 1 – ถ้าคุณเริ่มอายุมากขึ้น และต้องการออกกำัลังกายเพียงเพื่อรักษาความฟิตของร่างกาย
คุณอาจจะใช้ช่วงของ 60-80%
Goal 2 – ถ้าคุณต้องการออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก และเพิ่มความฟิตของร่างกาย
อาจจะใช้ช่วง 70-90%
Goal 3 – สำหรับนักกีฬา
อาจจะใช้ช่วง 80-100%
ในบางครั้งเราอาจจะแบ่งออกเป็น 5 zone ก็ได้:
- Zone 1 เป็นระดับที่ง่าย เป็นช่วงของการอุ่นเครื่อง การเผาผลาญมีเพียงเล็กน้อย และการเผาผลาญมาจากไขมันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
- Zone 2 เริ่มมีความหนักมากขึ้น บางครั้งอาจเรียกว่า fat burning zone เชื่อว่าเป็นช่วงที่มีการเผาผลาญไขมันสูงมากขึ้นในช่วงนี้
- Zone 3 เป็นระดับเรียกว่า cardio zone การเผาผลาญแคลอรีต่อชั่วโมงจะเพิ่มมากขึ้น และพลังงานครึ่งหนึ่งจะมาจากคาร์โบไฮเดรต และอีกครึ่งหนึ่งมาจากไขมัน
- Zone 4 เป็นระัดับที่เ้ข้าสู่ anaerobic แคลอรีที่ถูกนำมาใช้จะเพิ่มมากขึ้นแต่ส่วนใหญ่จะเป็นพลังงานที่มาจากคาร์โบไฮเดรตมากกว่าไขมัน
- Zone 5 เป็นระดับที่หนักมาก การเต้นของหัวใจอาจจะขึ้นไปถึงระดับ maximum heart rate พลังงานที่ใช้ได้จากคาร์โบไฮเดรต
ส่วนสำคัญที่คุณควรจะรู้นอกเหนือไปจากอัตราการเต้นที่ได้วัดข้างต้น คือการบอกได้ว่าจุดไหนเข้าสู่ anaerobic threshold ซึ่งถ้าสังเกตจากความรู้สึก คือคุณจะหายใจหอบเร็วขึ้นมาก และแทบจะไม่มีแรงจะพูด คุณจะรู้สึกถึงความหนัก ที่สำคัญเพราะว่า ในช่วงที่เป็น anaerobic จะเป็นช่วงที่อัตราการเผาผลาญส่วนใหญ่มาจากคาร์โบไฮเดรต แต่เมื่อฝึกออกกำลังกายเป็นประจำจนร่างกายแข็งแรงขึ้น anaerobic threshold นี้จะเปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน
ในขณะที่ออกกำลังกายไม่จำเป็นต้องให้ถึงระดับของ Anaerobic ตลอดเวลา เพียงแค่เป็นแนวทางที่ช่วยเพิ่มความฟิตและ สามารถเพิ่มความหนักในการออกกำลังกายจนกระทั่งถึงระดับนี้ และชะลอลงเล็กน้อยเพื่อรักษาระดับอัตราการเต้นออกกำลังกายอยู่ในระดับที่เหมาะสม
บางครั้งจะให้มีการเร่งขึ้นจนเข้าถึงระดับ anaerobic เป็นช่วง ๆ เรียกว่า interval training ซึ่งถือเป็นวิธีที่ดีมากในการเผาผลาญไขมัน และเผาผลาญแคลอรีได้ค่อนข้างมาก ข้อดีอีกอย่างหนึ่ง คือเมื่อออกกำลังกายถึงระดับ anaerobic จะยังมีการเผาผลาญแคลอรีต่อเนื่องไปอีกหลายชั่วโมง และยังช่วยเพิ่มความสามารถในการเก็บคาร์โบไฮเดรตในกล้ามเนื้อแทนที่่จะเป็นไขมัน
Credit: https://www.facebook.com/note.php?note_id=190147954351610