เห็นชื่อภาษาอังกฤษแล้วอย่าเพิ่งตกใจ พี่ได้ไอเดียนี้มาจากการประชุมเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ขณะที่ผู้บริหารของโซลเวย์ได้นำเสนอการเติบโตของบริษัทซึ่งแน่นอนว่าเป็นมุมมองในแง่ของธุรกิจ และบอกให้พนักงานในระดับผู้บริหารรับรู้ถึงวิสัยทัศน์ต่อการขยายธุรกิจในอนาคต พี่เลยอยากถ่ายทอดแนวคิดเชิงธุรกิจให้กับทีมงานเพื่อเป็นพื้นฐานในการอธิบายกลยุทธ์ของบริษัทและน่าจะทำให้เรามั่นใจในการเจริญเติบโตขององค์กรในอนาคต
เรื่องการขยายธุรกิจของบริษัทใดๆนั้นจริงๆแล้วมันมีอยู่ 4 มุมมองหลักเป็นตัวขับเคลื่อน
1) Technology Push เป็นการผลักดันความเจริญเติบโตของธุรกิจโดยอาศัยการพัฒนาด้านเทคโนโลยี หมายถึงการที่ธุรกิจนั้นๆพยายามสร้างความต้องการในสินค้าโดยอาศัยการวิจัยและสร้างเทคโนโลยีที่โดดเด่น ส่วนมากจะสัมพันธ์กับแผนการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ หรือ วัฏจักรของนวัตกรรม เช่น ในอุตสาหกรรมไอทีต่างๆ พวกเราจะเห็นว่าบริษัทที่เป็นผู้นำในด้านนี้ (Leader) จะพยายามคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆมากระตุ้นความอยากของพวกเราตลอดเวลา และ แต่ละครั้งที่มันออกใหม่ราคาจะแพงมากแต่พอคู่แข่งอื่นๆ (Follower) ทำตามจนมีสินค้าประเภทเดียวกันออกตามมา ราคาก็จะเริ่มถูกลง คนที่เป็นผู้นำก็ต้องคิดเทคโนโลยีใหม่ๆออกมาอีก เป็นวัฏจักรแบบนี้เรื่อยไป ใครหยุดก็จะออกจากวงการนี้ไปโดยอัตโนมัติ ลองนึกถึงการพัฒนาของคอมพิวเตอร์หรือมือถือแล้วเราจะนึกออก
2) Technology Pull เป็นมุมมองเชิงตั้งรับมักจะอาศัยการพัฒนาเทคโนโลยีที่มีอยู่ในตลาดเพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นของลูกค้า เปลี่ยนลูกเล่นของสินค้าเพื่อจูงใจให้ลูกค้าซื้อผลิตภัณฑ์ เช่น ไมเนอร์เชนจ์รุ่นรถยนต์ เพื่อดึงยอดการขาย จะเห็นว่าเป็นการทำเพื่อยืดยอดขายแต่ก็ได้แต่ระดับหนึ่งเท่านั้นและจะทำเมื่อวงจรของสินค้านั้นๆอยู่ในจุดที่อิ่มตัวทางการตลาด
3) Market Pull เป็นมุมมองทางการตลาดที่ใช้ความต้องการทางการตลาดเป็นตัวดึงให้เกิดความเจริญเติบโตของธุรกิจ หมายถึงการที่ธุรกิจนั้นๆอาศัยการวิจัยทางการตลาดและเห็นช่องทางทางการตลาดที่มีต่อสินค้านั้นๆ เช่น ลูกค้ามีความต้องการต่อสินค้านั้นๆแต่กำลังการผลิตยังไม่พอเพียง ก็เป็นโอกาสของธุรกิจที่จะขยายกำลังการผลิต เป็นที่แน่นอนว่าธุรกิจใดที่เห็นโอกาสก่อนก็จะมีโอกาสมากกว่าในฐานะของผู้นำในด้านนี้ (Leader)
4) Market Push เป็นมุมมองในเชิงรุกโดยอาศัยการสร้างโอกาสทางการตลาด ธุรกิจสร้างความต้องการทางการตลาดให้เกิดขึ้นโดยการให้ความรู้ในเรื่องผลิตภัณฑ์แก่ลูกค้า จนลูกค้าเกิดความตระหนักในประโยชน์ของผลิตภัณฑ์ ซึ่งจะทำให้ธุรกิจได้ค้นพบตลาดใหม่ๆและเป็นผู้นำในการสร้างมาตรฐานของผลิตภัณฑ์นั้นๆในอนาคตหรือเป็นผู้นำทางการตลาด
เมื่อเราจับคู่มุมมองทางเทคโนโลยีและมุมมองทางการตลาดดังกล่าวจะทำให้เราได้กลยุทธ์ที่จะตอบสนองความต้องการของตลาดในรูปแบบต่างๆ 4 ประเภท
1) Technology Pull vs Market Pull = Reacting to demand (กลยุทธ์เชิงตั้งรับ ผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด ณ.ขณะนั้น)
2) Technology Pull vs Market Push = Seeding demand (กลยุทธ์ที่สร้างความต้องการของลูกค้าโดยอาศัยการขับเคลื่อนทางการตลาด)
3) Technology Push vs Market Pull = Meeting demand (กลยุทธ์เติมเต็มความต้องการของตลาดโดยอาศัยเทคโนโลยี)
4) Technology Push vs Market Push = Anticipating demand (กลยุทธ์ทางธุรกิจเชิงรุกโดยการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าในอนาคตซึ่งอาศัยการวิจัยทางการตลาด)
มาถึงตอนนี้พวกเราคงจะเข้าใจว่าทำไม โซลเวย์ ถึงตัดสินใจสร้างโรงงานผลิตไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่ประเทศไทย และถ้าเราสามารถเชื่อมโยงสภาวะของการเจริญเติบโตของบริษัทกับกลยุทธ์ต่างๆข้างต้นได้ เราจะเห็นว่าการทำงานของพวกเรานั้นมีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมปลายน้ำและลูกค้าอย่างมาก การรับพวกเราเข้าเป็นส่วนหนึ่งของทีมงานก็เป็นผลจากกลยุทธ์เชิงรุกของบริษัทด้วยเช่นกัน
จากข้อมูลข้างบนพวกเราคิดว่าบริษัทเราใช้กลยุทธ์ใดอยู่ในขณะนี้ (ใครตอบถูกใจจะมีรางวัล)
1) Technology Push เป็นการผลักดันความเจริญเติบโตของธุรกิจโดยอาศัยการพัฒนาด้านเทคโนโลยี หมายถึงการที่ธุรกิจนั้นๆพยายามสร้างความต้องการในสินค้าโดยอาศัยการวิจัยและสร้างเทคโนโลยีที่โดดเด่น ส่วนมากจะสัมพันธ์กับแผนการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ หรือ วัฏจักรของนวัตกรรม เช่น ในอุตสาหกรรมไอทีต่างๆ พวกเราจะเห็นว่าบริษัทที่เป็นผู้นำในด้านนี้ (Leader) จะพยายามคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆมากระตุ้นความอยากของพวกเราตลอดเวลา และ แต่ละครั้งที่มันออกใหม่ราคาจะแพงมากแต่พอคู่แข่งอื่นๆ (Follower) ทำตามจนมีสินค้าประเภทเดียวกันออกตามมา ราคาก็จะเริ่มถูกลง คนที่เป็นผู้นำก็ต้องคิดเทคโนโลยีใหม่ๆออกมาอีก เป็นวัฏจักรแบบนี้เรื่อยไป ใครหยุดก็จะออกจากวงการนี้ไปโดยอัตโนมัติ ลองนึกถึงการพัฒนาของคอมพิวเตอร์หรือมือถือแล้วเราจะนึกออก
2) Technology Pull เป็นมุมมองเชิงตั้งรับมักจะอาศัยการพัฒนาเทคโนโลยีที่มีอยู่ในตลาดเพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นของลูกค้า เปลี่ยนลูกเล่นของสินค้าเพื่อจูงใจให้ลูกค้าซื้อผลิตภัณฑ์ เช่น ไมเนอร์เชนจ์รุ่นรถยนต์ เพื่อดึงยอดการขาย จะเห็นว่าเป็นการทำเพื่อยืดยอดขายแต่ก็ได้แต่ระดับหนึ่งเท่านั้นและจะทำเมื่อวงจรของสินค้านั้นๆอยู่ในจุดที่อิ่มตัวทางการตลาด
3) Market Pull เป็นมุมมองทางการตลาดที่ใช้ความต้องการทางการตลาดเป็นตัวดึงให้เกิดความเจริญเติบโตของธุรกิจ หมายถึงการที่ธุรกิจนั้นๆอาศัยการวิจัยทางการตลาดและเห็นช่องทางทางการตลาดที่มีต่อสินค้านั้นๆ เช่น ลูกค้ามีความต้องการต่อสินค้านั้นๆแต่กำลังการผลิตยังไม่พอเพียง ก็เป็นโอกาสของธุรกิจที่จะขยายกำลังการผลิต เป็นที่แน่นอนว่าธุรกิจใดที่เห็นโอกาสก่อนก็จะมีโอกาสมากกว่าในฐานะของผู้นำในด้านนี้ (Leader)
4) Market Push เป็นมุมมองในเชิงรุกโดยอาศัยการสร้างโอกาสทางการตลาด ธุรกิจสร้างความต้องการทางการตลาดให้เกิดขึ้นโดยการให้ความรู้ในเรื่องผลิตภัณฑ์แก่ลูกค้า จนลูกค้าเกิดความตระหนักในประโยชน์ของผลิตภัณฑ์ ซึ่งจะทำให้ธุรกิจได้ค้นพบตลาดใหม่ๆและเป็นผู้นำในการสร้างมาตรฐานของผลิตภัณฑ์นั้นๆในอนาคตหรือเป็นผู้นำทางการตลาด
เมื่อเราจับคู่มุมมองทางเทคโนโลยีและมุมมองทางการตลาดดังกล่าวจะทำให้เราได้กลยุทธ์ที่จะตอบสนองความต้องการของตลาดในรูปแบบต่างๆ 4 ประเภท
1) Technology Pull vs Market Pull = Reacting to demand (กลยุทธ์เชิงตั้งรับ ผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด ณ.ขณะนั้น)
2) Technology Pull vs Market Push = Seeding demand (กลยุทธ์ที่สร้างความต้องการของลูกค้าโดยอาศัยการขับเคลื่อนทางการตลาด)
3) Technology Push vs Market Pull = Meeting demand (กลยุทธ์เติมเต็มความต้องการของตลาดโดยอาศัยเทคโนโลยี)
4) Technology Push vs Market Push = Anticipating demand (กลยุทธ์ทางธุรกิจเชิงรุกโดยการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าในอนาคตซึ่งอาศัยการวิจัยทางการตลาด)
มาถึงตอนนี้พวกเราคงจะเข้าใจว่าทำไม โซลเวย์ ถึงตัดสินใจสร้างโรงงานผลิตไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่ประเทศไทย และถ้าเราสามารถเชื่อมโยงสภาวะของการเจริญเติบโตของบริษัทกับกลยุทธ์ต่างๆข้างต้นได้ เราจะเห็นว่าการทำงานของพวกเรานั้นมีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมปลายน้ำและลูกค้าอย่างมาก การรับพวกเราเข้าเป็นส่วนหนึ่งของทีมงานก็เป็นผลจากกลยุทธ์เชิงรุกของบริษัทด้วยเช่นกัน
จากข้อมูลข้างบนพวกเราคิดว่าบริษัทเราใช้กลยุทธ์ใดอยู่ในขณะนี้ (ใครตอบถูกใจจะมีรางวัล)
ตอบข้อ4ครับ Technology Push vs Market Push = Anticipating demand (กลยุทธ์ทางธุรกิจเชิงรุกโดยการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าในอนาคตซึ่งอาศัยการวิจัยทางการตลาด)
ตอบลบ4) Market Push เป็นมุมมองในเชิงรุกโดยอาศัยการสร้างโอกาสทางการตลาด ธุรกิจสร้างความต้องการทางการตลาดให้เกิดขึ้นโดยการให้ความรู้ในเรื่องผลิตภัณฑ์แก่ลูกค้า จนลูกค้าเกิดความตระหนักในประโยชน์ของผลิตภัณฑ์ ซึ่งจะทำให้ธุรกิจได้ค้นพบตลาดใหม่ๆและเป็นผู้นำในการสร้างมาตรฐานของผลิตภัณฑ์นั้นๆในอนาคตหรือเป็นผู้นำทางการตลาด
ผมตอบ ข้อ 4 ครับ คือกลยุทธ์ทางธุรกิจเชิงรุก คือเทคโนโลยีทุกวันนี้มันเจริญก้าวหน้าขึ้นทุกวัน จนเราแทบจะตามมันไม่ทัน ถ้าเปรียบเทียบกับโรงงานอุตสาหกรรม มันไม่ได้มีเราอยู่จ้าวเดียวที่ผลิต อาจจะมีคู่แข่งทางการตลาดอีกหลายโรงงานที่ผลิต มันจึงเป็นการบีบบังคับภายในตัว ซึ่งเราจะทำยังไงให้ผลิตพันธ์ของเราคงอยู่ได้ในตลาดอุตสาหกรรม ในเมื่อผลิตพันะของเราก็เหมือนกับบริษัทอื่น ดังนั้นผมคิดว่าผู้บริหารคงจะวิตกเหมือนกัน ถ้าหากอีก 10หรือ20ปีข้างหน้ายอดขายของเราจะลดลงมันก็คงไม่หน้าแปลก เพราะฉะนั้นจึงมีการมองหาตลาดใหม่ กระจายสาขาการผลิต ให้ครอบคลุม และคิดค้นเทคโนโลยีวิธีใหม่ๆซึ่งอาจจะเป็นข้อแตกต่างหรือตัวเลือกที่ดีกว่าของผลิตภันฑ์ ถ้าเทียบกับบริษัทอื่น เหมือนกับคำพูดที่พี่ว่า ถ้าใครหยุด ก็จะหลุดออกจากวงการนี้ไปเลย
ตอบลบ....เพราะฉะนั้นเรา(ผู้บริหาร)ต้องคิดในเชิงบวกไว้ก่อน
ผมขอตอบครับ...คุณได้สิทธิ์นั้นเดี๋ยวนี้....ตอบข้อ..4..ครับ Technology Push vs Market Push = Anticipating demand (กลยุทธ์ทางธุรกิจเชิงรุกโดยการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าในอนาคตซึ่งอาศัยการวิจัยทางการตลาด)
ตอบลบเพราะจะทำให้เราได้เปรียบในทุกๆๆๆๆๆ ด้าน
สวัดดีครับ พี่ ๆ
ตอบลบส่วนตัวผมเองก็เลือก ข้อ สี่ เหมือนพวกพี่ๆเลือกกัน แต่ในแนวความคิดของผมก็คงเป็นเหมือน โทรศัทพ์มือถือน่ะครับ ยกตัวอย่างสักรุ่นในสมัยก่อน
มีหลายรุ่นเหลือเกินเยอะมากๆ ทั้ง Nokia Ericson หรือ Sumsung สมัยก่อนยังแยกไม่ค่อยออกว่า ค่ายไหนดี ค่ายไหนเด่น คุณสมบัติพอๆกัน ใช่โทร เข้า-ออก แค่นั้น จอขาวดำ ริงโทน คิขุ มากมาย (โทรฟรี 5 วิ)
แต่ด้วย โนเกีย คงคิดว่าจะน่าใช่ (กลยุทธ์ทางธุรกิจเชิงรุกโดยการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าในอนาคตซึ่งอาศัยการวิจัยทางการตลาด)
ออกมือถือรุ่นใหม่โดยไม่มีเสาอากาศ มีเมนูให้ได้ใช่มากมาย มีอะไรมากกว่าการโทรเข้า-ออก หลังจากนั้น ตลาดมือถือเริ่มแยกระดับกันออก อย่างเห็นได้ชัด
โนเกีย คล้ายเป็นพวก แบนด์เนม ชนิดหนึ่งไปเลยในสมัยนั้น เพราะรู้จัก ธุรกิจเชิงรุกที่เข้าใจตลาดและลูกค้า ทำสิ่งใหม่ๆ ให้ลูกค้าได้ทดลองใช้ เน้นการตลาดไม่พอ เขายังไม่หยุด เขายังพัฒนาเทคโนโลยี เป็นเจ้าแรกๆ ในตลาดมือถือโดยการนำเอา ระบบ OS Ver. เข้ามาเพื่อ รองรับ เทคโนโลยี ภาพ เพลง เกมส์ หนัง ในมือถือ มีการ Download App ต่างๆ โดยที่เวลานั้น มือถือค่ายอื่น ยังไปไม่ถึงไหนเลย......กลายเป็นผู้ตามไปซะแล้ว
พอกลับมา ดูที่โรงงานของเราแล้วปัจจุปันก็นำหน้าคู่แข่งแบบไม่เห็นเงาแล้ว แต่ก็คงไม่พอ ถ้าจะเป็น King of Peroxide In the World แล้วก็ต้องนำ Technology Push vs Market Push = Anticipating demand เอามาประยุคใช่ เพื่อประโยชน์สูงสุดและนำคู่แข่งแบบไม่เห็นทั้งฝุ่นและเงา........
การที่เราจะเพิ่มราคาสินค้า หรือ เพิ่มการตลาด เป็นการยากแต่เราจะทำอย่างไรให้ได้สินค้าที่มีคุณค่า มากที่สุด ความคิดของผมคือ ถ้าเราผลิตสินค้าได้โดยที่เราลด ต้นทุน หรือเพิ่ม เทคโทคโนโลยีต่างๆเข้ามาช่วยใน กระบวนการผลิต ก็จะเป็นการเพิ่มคุณค่าสินค้า ให้เราได้ เช่น ผลิตอย่างไร ให้มีการสูญเสียน้อยที่สุด และได้ ผลิตภัณฑ์มากที่สุด รวมถึงเราจะผลิตยังไงไม่ให้เกิดอุบัติเหตุต่อบุคลากร ถ้าไม่เกิดอุบัติเหตุ เราก็จะไม่เสียชื่อเสียง เป็นอย่างการสร้างความน่าเชื่อถือ ให้กับ บริษัทเรา การทำ TPM ก็เช่นกัน ถ้าเรามีการทำ TPM ภายในบริษัท ก็จะเป็นการช่วยเพิ่มคุณค่าให้กับบริษัทเราเช่นกัน
ตอบลบผมขอตอบข้อ 4 เป็นคำตอบสุดท้ายคร๊าบ เนื่องจากหัวสมองของกะผมกลั่นออกมาแล้วคิดว่าน่าจะเป็นข้อที่ 4 ขอรับ เพราะในขณะนี้บริษัทของเรานั้นกำลังสร้างแพลนใหม่ขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการทางการตลาดและก็เป็นผู้นำอีกด้วยจึงตรงกับ Technology Push vs Market Push = Anticipating demand (กลยุทธ์ทางธุรกิจเชิงรุกโดยการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าในอนาคตซึ่งอาศัยการวิจัยทางการตลาด)คร๊าบ To be cotinus............
ตอบลบแน่นอนว่าต้องข้อ 4 Technology Push vs Market Push = Anticipating demand (กลยุทธ์ทางธุรกิจเชิงรุกโดยการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าในอนาคตซึ่งอาศัยการวิจัยทางการตลาด)
ตอบลบเพราะว่าเราก้าวมาพร้อมกับการทดลองเทคโนโลยีใหม่ๆซึ่งในที่นี้ก็อย่างที่เราทราบกันว่าที่ใหม่ของเราจะมีหลายๆตัวที่เราจะเป็นที่แรกในการทดลองซึ่งไม่มีคำว่าถูกหรือผิดแต่จะมีแต่คำว่าดีหรือดีกว่าซึ่งเราก็ต้องพร้อมลองสิ่งใหม่ๆที่จะตามมาและในเชิงการตลาดนั้นเราก็จะมีกำลังในการต่อลองมากขึ้นเนื่องจากกำลังการผลิตที่มากขึ้นนั่นเอง ทำให้ลูกค้าต่างๆที่มาซื้อของของเรานั้นก็จะมั่นใจมากขึ้นในข้อที่ว่าเราจะมีของส่งให้ถ้าลูกค้าสั่งของเพิ่มมากขึ้น
ซึ่งในการสั่งของที่มากขึ้นก็คือการเพิ่มกำลังการผลิตของลูกค้าในอนาคตนั่นเอง
ส่วนกลยุทธ์ต่างๆที่จะมาเพิ่มประสิทธิภาพให้ขบวนการผลิตของเรานั่นก็จะมีแนวทางจากพวกพี่ๆแล้วนั้นเราก็ต้องช่วยกันคิดเพิ่มด้วยไม่ว่าจะเป็น Inovation,suggassion,unsafe killer ซึ่งความคิดต่างๆจากเรานั้นก็จะเป็นส่วนผสมที่มาจาก Ihears ของเรานั่นเอง
ผมเลือกข้อ สี่ Technology Push vs Market Push = Anticipating demand (กลยุทธ์ทางธุรกิจเชิงรุกโดยการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าในอนาคตซึ่งอาศัยการวิจัยทางการตลาด)
ตอบลบเพราะว่า ในการที่ทางบริษัทมีกลยุทธ์เชิงรุกโดยการวิจัย มันจะต้องมีความเที่ยงตรงและแน่ใจว่าสินค้าที่ออกมาจากเรานั้น มีคุณภาพ และตรงตามความต้องการไม่งั้นคงไม่มีการวิจัยออกมา จึงเป็นข้อหนึ่งที่เราเจาะกลุ่มลูกค้าได้ จึงทำให้การวิจัยมีประสิทธิภาพขึ้นมาก ผลิตภัณฑ์เป็นที่นิยมขึ้น พนักงานมีความสุขถ้วนหน้า
!!!!!!!!!!
ผมว่าเป็นไปได้ทั้งข้อ3และข้อ4ดังนี้คือ3) Market Pull เป็นมุมมองทางการตลาดที่ใช้ความต้องการทางการตลาดเป็นตัวดึงให้เกิดความเจริญเติบโตของธุรกิจ หมายถึงการที่ธุรกิจนั้นๆอาศัยการวิจัยทางการตลาดและเห็นช่องทางทางการตลาดที่มีต่อสินค้านั้นๆ เช่น ลูกค้ามีความต้องการต่อสินค้านั้นๆแต่กำลังการผลิตยังไม่พอเพียง ก็เป็นโอกาสของธุรกิจที่จะขยายกำลังการผลิต เป็นที่แน่นอนว่าธุรกิจใดที่เห็นโอกาสก่อนก็จะมีโอกาสมากกว่าในฐานะของผู้นำในด้านนี้ (Leader)และข้อ4) Market Push เป็นมุมมองในเชิงรุกโดยอาศัยการสร้างโอกาสทางการตลาด ธุรกิจสร้างความต้องการทางการตลาดให้เกิดขึ้นโดยการให้ความรู้ในเรื่องผลิตภัณฑ์แก่ลูกค้า จนลูกค้าเกิดความตระหนักในประโยชน์ของผลิตภัณฑ์ ซึ่งจะทำให้ธุรกิจได้ค้นพบตลาดใหม่ๆและเป็นผู้นำในการสร้างมาตรฐานของผลิตภัณฑ์นั้นๆในอนาคตหรือเป็นผู้นำทางการตลาด
ตอบลบซึ่งต้องเกิดควบคู่กันไป ทั้งตลาดเป็นตัวดึงเราเข้าไปและต้องให้ความรู้แก่ลูกค้าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่โซลเวย์ของเรากำลังทำอยู่
ผมขอตอบ ข้อ 2 ก็แล้วกัน เพราะว่า ในปัจจุบันความต้องการอันหลากหลายของลูกค้านั้นแทบจะเติมเต็มให้ไม่ทัน ซึ่งการเติบโตขึ้นของโซล์เวย์น่าจะตอบสนองความต้องการได้ ซึ่งผลผลิตของโซเวย์ได้มีการพัฒนา คุณภาพตามความต้องการหรืออาจจะมากกว่าคุณภาพตามความต้องการด้วยซ้ำไป ซึ่งการเจริญเติบโตของโซเวย์ในครั้งนี้จะช่วยพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆได้ มากมาย..โดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิค ในท้องตลาดที่กำลังแข่งขันกัน ก็ย่อมมีความต้องการที่จะเป็นที่หนึ่ง ซึ่งการที่จะเป็นที่หนึ่ง ก็ย่อมมาจากเทคโนโลยีใหม่ๆที่โซเวย์ได้พัฒนาขึ้น ซึ่งเทคโนโลยีของโซเวย์ได้พัฒนาขึ้นนั้น ก็คือ ผลผลิตที่เกินคุณภาพ ความต้องการ....เหนือคู่แข่ง ซึ่งจะสามารถนำพาความเจริญทางการตลาด ของเทคโนโลยีที่ล้ำยุคทันสมัยมากยิ่งขึ้น ผมคิดว่าการเจิญเติบโตในครั้งนี้ก็เนื่องด้วยการเจริญเติบทางตลาดที่กระตุ้นให้เกิดต้องการมากๆๆๆยิ่งขึ้นๆๆไปเรื่อยๆๆๆๆตามยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ตอบลบsolvay ไม่เคยที่จะหยุดในการที่จะคิดค้น วิจัย ปรับปรุง พัฒนาและทดสอบ เทคโนโยใหม่ ๆ เรา จึงเป็นผู้นำในการผลิตไฮโดรเจนเปอร์ออกไซค์มาโดยตลอด ยกตัวอย่างเช่นตอนนี้ เรา กำลังสร้าง HPPO2 ซึ่งเป็นโรงงานผลิต HP ที่ใหญ่ที่สุดในโลก แล้วยังไม่พอเรายังมีแผนที่จะสร้าง HPPO3 และ 4 ในอนาคตอีกด้วย และ จากการที่ได้ฟังพี่เปิ้ลพูดในห้องว่า เรากำลังจะมีแผนการที่จะ ให้คำแนะนำในด้านคุณประโยชน์และความเหมาะสมของการใช้ผลิตภัณฑ์แก่ลูกค้า เพื่อที่ลูกค้าจะได้มีความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ แล้วนำความรู้ที่ได้นั้นมาเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ให้ถูกต้อง ตามความเหมาะสมของการใช้งาน ผมจึงมีความคิดว่า ตอนนี้ เรา กำลังใช้กลยุทธ์ technology push vs market push อยู่ครับ
ตอบลบผมคิดว่าเป็นข้อ 3)technology plus vs market pull ....from โก๋
ตอบลบผมเห็นหลายคนตอบข้อนี้ครับTechnology Push vs Market Push = Anticipating demand แต่ผมไม่ตอบครับ ไม่อยากเหมือนใครครับแต่มีเหตุผลที่ไม่ตอบนะครับ......
ตอบลบผมคิดว่าข้อนี้มันยังไม่ใช้กลยุทธที่ใช้อยู่ในบัจจุนี้ แต่มันกำลังจะเกิดในอณาคต อันใกล้นี้....
กลยุทธที่ผมคิดว่ายังใช้อยู่ในปัจจุบันนี้คือ..Technology Pull vs Market Pull = Reacting to demand คือ ใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่ในปัจจุเพื่อทำให้เกิดผลิตภัณเพิ่มมากขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดที่มีคาวมต้องการมากขึ้นครับ...คิดเอาเองนะครับ ถูกหรือผิดอันนี้ไม่รู้ครับ...
การสร้างความเข้าใจกับการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ถูกกับการนำไปผลิตเป็นเรื่องที่ดีครับเพราะเมื่อลูกค้านำผลิตภัณฑ์ของเราไปผลิตต่อแล้วเกิดเป็นเป็นผลิตที่ดีขึ้นต่างกับที่ลูกค้าใช้อยู่ปัจจุบันแล้วละก็ ทำให้เราสามารถขายผลิตที่มีราคาและคุณภาพดีได้ทำให้มีผลกำไรเพิ่มขึ้นและลูกค้าเองก็ได้ผลิตภัณฑ์คุณภาพด้วยหลังได้รับการแนะนำการใช้อย่างถูกวิธีทำ ให้เกิดผลดีทั้ง สอง ฝ่ายครั ขอตอบข้อนี้ครับผมTechnology Push vs Market Push = Anticipating
ตอบลบผมว่าข้อ(4) Technology Push vs Market Push = Anticipating demand (กลยุทธ์ทางธุรกิจเชิงรุกโดยการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าในอนาคตซึ่งอาศัยการวิจัยทางการตลาด)คือศึกษาวิจัยตลาดประเภทไหนที่ต้องการที่จะใช้H2O2และพัฒนาเพื่อเป็นที่ต้องการของตลาดจะได้เปิดตลาดใหม่ๆๆครับ
ตอบลบณ. ตอนนี้ ผมคิดว่าบริษัท คงใช้กลยุทธ์ ที่ 3 ครับ
ตอบลบTechnology Push vs Market Pull = Meeting demand (กลยุทธ์เติมเต็มความต้องการของตลาดโดยอาศัยเทคโนโลยี)
ก็เนื่องมาจาก เหตุที่เกิด HPPO2 ก็เพราะลูกค้ามีความต้องการในผลิตภัณฑ์ มากขึ้น จึงต้องมีการขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากเดิม เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มากขึ้นจึงจำเป็นต้องอาศัย ศักยภาพของเทคโนโลยีที่ดีและทันสมัยขึ้น...
แต่...ในอนาคต ทางทีมบริหารและจัดการ ของทางบริษัทคงมองไปในแนวทางของกลยุทธ์ที่ 4 แล้วก็เป็นได้
Technology Push vs Market Push = Anticipating demand (กลยุทธ์ทางธุรกิจเชิงรุกโดยการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าในอนาคตซึ่งอาศัยการวิจัยทางการตลาด)
ยิ่งลูกค้ามีความเข้าใจและความรู้ในเรื่องประโยชน์ของตัวผลิตภัณฑ์ที่จะต้องใช้มากเท่าไหร่ ความต้องการที่จะใช้ผลิตภัณฑ์นั้นก็จะตามมาเป็นเงาตามตัว ซึ่งการที่จะตอบสนองต่อความต้องการของตลาดนั้นก็ต้องอาศัยเทคโนโลยีที่โดดเด่นเข้ามาร่วมด้วยเช่นกัน
ผมตอบข้อ3 เพราะHPPO2จะเต็มไปด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆเช่น turbo expander
ตอบลบเป็นต้น และเราก็ผลิตตามความต้องการของตลาดอย่างDOWมากกว่าเรานำมาขายเอง แต่ถ้าข้อ4เพื่อนตอบมาเยอะผมคิดว่าคงเป็นในอนาคตมากกว่านะครับ.....*-*
ผมตอบ ข้อ4 ครับเพราะเราเป็นผู้นำในการผลิต hp ไฮโดเจนเปอร์อ๊อกไซค์รายใหญ่ที่สุดและมีลูกค่ามากที่สุดเราจึงต้องพัฒนาเทคโนโลยีในการผลิตให้นำหน้าก่อนคุ๋แข้งให้ได้เราจึงสร้างแพ้นที่ใหญ่ที่สุดในโลกและเราก็พัฒนาเทคโนโลยีในการผลิต และดูแลสิ่งแวดล้อมพัฒนาบุคลากรด้วย เฃ่น off gasที่เหลือจากการผลิตเราก็นำมาขับโทโบเอ็กเพ้นเดอร์ เพือลดค่าไฟและใช้พลังงานให้คุมค่าที่สุด และการพัฒนาบุคลากรคือการสอนพวกผมในการทำงานและการใช้ชีวิตในการทำงานและการแสดงความคิดเห็นเช่นที่พี่ทำ บ็อค ihears ให้พวกผมได้แสดงความคิดเห็น
ตอบลบคำๆๆๆตอบๆๆๆๆๆคือ4คับ เพราะsolvey เราเป็นอุตสาหกรรมที่ผลิตไฮโดเจนเปอร์อ๊อคไซค์ที่หนึ่งของโลก เราจึงต้องพัฒนาการผลิตและเพิ่มผลผลิตให้มากกว่าเดิมเนที่เราจะเปิด Pant ใหม่ที่ นิคิมเอเชีย โดยมียอดผลิตสูงสุด 330,000 ตันและเป็นยอดการผลิตเปอร์อ๊อคไซค์ที่มีผลผลิตมากที่สุดในโลก และจะมีเทคโนโลยีใหม่ๆมาใช้ด้วยคับ
ตอบลบผม เลือก ข้อ 3 นะพี่ การลงทุน ต้องดูทิศทาง การตลาด ตลาดต้องการอะไร ต้องการเท่าไร เดี่ยวผมมาต่อ
ตอบลบ