By เทพโก๋
เมื่อองค์กรเจอวิกฤติอาจจะเป็นวิกฤติในการดำเนินธุรกิจขององค์กรเอง หรือวิกฤติทางเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบต่อองค์กรเหมือนในปัจจุบันนี้ ทางเลือกสุดท้ายทางเลือกหนึ่งที่หลายองค์กรเลือกดำเนินการคือ “การเลิกจ้าง” พนักงาน เพราะเป็นทางเลือกที่สามารถลดภาระค่าใช้จ่ายได้ทันที ถ้ามองในมุมของคนทำงาน เมื่อพนักงานรู้ว่าสถานะขององค์กรย่ำแย่หรืออยู่ในวิกฤติพนักงานทุกคนก็คิดเสมอว่าวันหนึ่งคงจะต้องมีการเลิกจ้างพนักงาน ซึ่งการเลิกจ้างนี้เป็นสิ่งที่ไม่มีพนักงานคนใดปรารถนาให้เกิดขึ้นกับตัวเอง เพราะการเลิกจ้างเป็นหนทางของการว่างงาน การตกงาน การไม่มีงานทำ ไม่มีเงินใช้ ไม่มีความมั่นคงในชีวิต และสารพันปัญหาชีวิตก็จะติดตามมาหลังจากการถูกเลิกจ้าง ถึงแม้จะมีการเลิกจ้างเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คนทำงานทุกคนก็ภาวนาไม่ให้ตัวเองถูกเลิกจ้าง หรือถ้าต้องถูกเลิกจ้างก็ขอให้เป็นคนกลุ่มสุดท้ายขององค์กรก็แล้วกันอย่างน้อยก็จะช่วยต่อลมหายใจทางการเงินได้อีกระยะหนึ่ง
มนุษย์เงินเดือนคนใดไม่อยากประสบพบเจอกับการถูกเลิกจ้าง ขอให้ตอบคำถาม 3 คำถามดังต่อไปนี้
1.มีบุญเก่ามากเพียงพอหรือไม่
คำว่า “บุญเก่า” ในที่นี้หมายถึง ผลงานที่ผ่านมา เราคิดว่าตัวเราเองมีผลงานโดดเด่นเป็นที่ประจักษ์ให้กับคนในองค์กรบ้างหรือไม่ เมื่อไหร่ที่ผู้บริหารเห็นชื่อเห็นหน้าเรา เขายังนึกถึงผลงานชิ้นโบแดงของเราได้หรือไม่ ถ้าเจอเราทีไร ผู้บริหารมักจะชื่นชมกับผลงานในอดีตของเราอยู่ตลอดเวลา รับรองได้ว่าเรามีภูมิคุ้มกันมากพอที่จะไม่ถูกเลิกจ้าง หรือถูกเลิกจ้างก็คงจะไม่ใช่คนกลุ่มแรกแน่ๆ
ผลงานในอดีตเป็นสิ่งที่ติดตัวเฉพาะบุคคล ไม่สามารถโอนให้ใครได้ ใครมีบุญเก่าเยอะ พระ(ผู้บริหาร)คุ้มครองให้อยู่รอดปลอดภัยในช่วงวิกฤติแบบนี้ได้ ใครไม่มีบุญเก่าสะสมไว้ ในช่วงเวลานี้คงจะทำไม่ทันแล้ว เพราะองค์กรอยู่ในช่วงวิกฤติแล้ว เหมือนคนไม่เคยออกกำลังกายมาก่อน พอเริ่มเจ็บป่วยคิดจะไปออกกำลังกายเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันก็คงไม่ทันแล้วเช่นกัน
จากคำถามนี้คงจะให้ข้อคิดกับคนทำงานได้เป็นอย่างดีว่า
จงทำงานให้เต็มที่ เพื่อสร้างบุญบารมีไว้ปกป้องคุ้มภัยในยามวิกฤติ
อย่าคิดแค่ทำงานไปวันๆประเภทหาเช้ากินค่ำ และคิดแค่ว่าวันนี้ทำงานหนักได้เงินเดือนเท่าเดิม แต่คงคิดว่าการทำงานหนักและมีผลงานจะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเองรอดพ้นจากการถูกเลิกจ้างในช่วงองค์กรเกิดวิกฤติ นอกจากนี้การทำงานหนักและมีผลงานจะช่วยให้เราก้าวหน้าเร็วกว่าคนอื่นเมื่อยามองค์กรเติบโต
2.งานที่เราทำสำคัญต่อการองค์กรมากหรือไม่ ถ้าเรามีบุญเก่าน้อยเพราะไม่ได้สะสมไว้ หรือเราเพิ่งเข้ามาทำงานกับองค์กรนี้ เราก็ยังมีทางเลือกที่จะอยู่รอดในช่วงที่องค์กรเกิดวิกฤติคือ ต้องพิจารณาดูว่างานที่เราทำอยู่นั้นมีความสำคัญต่อองค์กรมาน้อยเพียงใด แน่นอนว่าเวลาองค์กรจะปลดคนหรือเลิกจ้าง นอกจากจะพิจารณาจากผลงานแล้ว ยังพิจารณาดูว่าตำแหน่งงานไหนที่สำคัญต่อองค์กรมากกกว่ากัน การตอบคำถามข้อนี้ก็คงไม่แตกต่างอะไรไปจากคำถามในข้อแรก เพราะถ้าตำแหน่งงานที่เราทำอยู่ไม่ใช่ตำแหน่งที่สำคัญ เราก็คงไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงอะไรได้ในวันนี้ ในความเป็นจริงแล้ว ตำแหน่งงานที่เราทำอยู่ในปัจจุบันสำคัญมากหรือน้อยนั้น เกิดจากผลพวงของการศึกษาของเราว่าเราตั้งใจเรียนมากน้อยเพียงใด ถ้าเราเป็นคนเรียนเก่ง โอกาสที่เราจะได้ทำงานในตำแหน่งที่สำคัญๆก็มีมาก นอกจากนี้ก็เกิดจากประสบการณ์การทำงานในอดีตที่ส่งผลให้เราได้สมัครเข้ามาทำงานในตำแหน่งที่สำคัญหรือไม่เช่นกัน สำหรับข้อคิดที่ได้จากการตอบคำถามนี้คือ ผลงานในอดีตกำหนดสถานะปัจจุบัน และผลงานปัจจุบันกำหนดสถานะในอนาคต ถ้าเราอยากจะได้ดิบได้ดีในปัจจุบัน เราต้องทำดีตั้งแต่ในอดีต และถ้าเราอยากได้ดีในอนาคตเราจะต้องทำดีตั้งแต่วันนี้
3.เรามีศักยภาพมากพอหรือไม่ ถ้าบุญเก่าก็มีน้อย ตำแหน่งที่ทำอยู่ในปัจจุบันก็ไม่ได้สำคัญอะไรมากมาย เรายังพอมีโอกาสที่จะรอดพ้นจากวิกฤติการถูกเลิกจ้างได้อีกหนึ่งเรื่อง นั่นก็คือ ตัวเรามีศักยภาพมากพอที่จะเป็นความหวังในอนาคตขององค์กรหลังจากผ่านพ้นวิกฤติไปแล้วหรือไม่ คนบางคนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ในตำแหน่งที่ไม่สำคัญมากนัก แต่เป็นคนที่มีศักยภาพ(ภาษาชาวบ้านเรียกว่ามีแวว) องค์กรก็ยังคงเก็บไว้ เพราะการเลิกจ้างคนที่มีศักยภาพเพียงหนึ่งคน อาจจะมีผลเสียมากกว่าการเลิกจ้างคนที่ไม่มีศักยภาพออกไปเป็นสิบเป็นร้อยคนก็ได้ ศักยภาพคือพลังที่อยู่ในตัวคนเราซึ่งเป็นผลพวงของการผสมผสานระหว่างความรู้ ทักษะประสบการณ์การทำงาน บุคลิกลักษณะ ความสามารถในการคิด และความมุ่งมั่น จนสามารถเปล่งรัศมีออกมาให้คนอื่นเห็นได้อย่างชัดเจน และคนอื่นรู้สึกมั่นใจว่าเรามีศักยภาพจริง ทั้งๆที่บางเรื่องเรายังไม่เคยทำ แต่สามารถดูได้จากรูปแบบและวิธีการคิดได้ ข้อคิดจากการตอบคำถามในข้อนี้คือ จุดเด่นสร้างความแตกต่าง ความแตกต่างสร้างทางเลือกและโอกาสในชีวิต ดังนั้น คนทำงานทุกคนควรจะให้ความสำคัญกับการพัฒนาตัวเองให้แตกต่างจากคนอื่นอยู่เสมอ โดยเฉพาะการพัฒนาตัวเองให้เหนือกว่าและสูงกว่าสถานะที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เช่น ถ้าเราเป็นพนักงาน เราต้องคิดว่าคนที่เป็นหัวหน้าต้องรู้อะไรบ้าง ต้องคิดอะไรบ้าง ต้องทำอะไรบ้าง แล้วเราก็เริ่มฝึกคิดฝึกทำและเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ตั้งแต่เรายังเป็นพนักงาน ไม่ต้องรอเรียนรู้ตอนที่ได้เป็นหัวหน้าแล้ว
สรุป การเป็นมนุษย์เงินเดือนมืออาชีพนอกจากจะต้องทำงานให้คุ้มค่าตอบแทนที่องค์กรจ่ายให้เราแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องทำงานเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเองไปพร้อมๆกันด้วย เวลาทำงานอย่าคิดถึงเงินที่ได้รับอยู่ในปัจจุบันว่าคุ้มค่าหรือไม่ เพราะคิดยังไงก็ไม่คุ้ม เนื่องจากผลตอบแทนที่เราได้รับอยู่ในปัจจุบันเป็นผลตอบแทนผลงานในอดีตไม่ใช่ผลงานในปัจจุบัน แต่ผลตอบแทนที่เราทำงานหนักในปัจจุบันจะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น การปรับค่าจ้างประจำปี การปรับค่าจ้างเมื่อได้เลื่อนตำแหน่ง การได้ค่าจ้างสูงขึ้นเมื่อเปลี่ยนงาน ดังนั้น เวลาทำงานหนักให้คิดว่าเราสะสมผลตอบแทนให้ตัวเอง ซึ่งเราจะได้รับในหลายรูปแบบ เช่น เงินเดือนที่สูงขึ้นในอนาคต ภูมิคุ้มกันเมื่อองค์กรเจอวิกฤติ และโอกาสที่จะก้าวหน้าในอาชีพเมื่อองค์กรเติบโต สุดท้ายนี้ ก็ขอเป็นกำลังใจให้กับคนทำงานทุกคน จงคิดว่าเสมอว่าไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานการณ์ใด ชีวิตเราต้องอยู่รอดเสมอ และใครกำลังเจอปัญหาอุปสรรคในชีวิตอยู่ก็จงคิดว่าเรากำลังถูกทดสอบว่าชีวิตเราแข็งแกร่งมากน้อยเพียงใด และเมื่อเราผ่านวิกฤติในชีวิตนี้ไปได้ เราจะมีภูมิคุ้มกันมากกว่าคนอื่นๆนะ
2.งานที่เราทำสำคัญต่อการองค์กรมากหรือไม่ ถ้าเรามีบุญเก่าน้อยเพราะไม่ได้สะสมไว้ หรือเราเพิ่งเข้ามาทำงานกับองค์กรนี้ เราก็ยังมีทางเลือกที่จะอยู่รอดในช่วงที่องค์กรเกิดวิกฤติคือ ต้องพิจารณาดูว่างานที่เราทำอยู่นั้นมีความสำคัญต่อองค์กรมาน้อยเพียงใด แน่นอนว่าเวลาองค์กรจะปลดคนหรือเลิกจ้าง นอกจากจะพิจารณาจากผลงานแล้ว ยังพิจารณาดูว่าตำแหน่งงานไหนที่สำคัญต่อองค์กรมากกกว่ากัน การตอบคำถามข้อนี้ก็คงไม่แตกต่างอะไรไปจากคำถามในข้อแรก เพราะถ้าตำแหน่งงานที่เราทำอยู่ไม่ใช่ตำแหน่งที่สำคัญ เราก็คงไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงอะไรได้ในวันนี้ ในความเป็นจริงแล้ว ตำแหน่งงานที่เราทำอยู่ในปัจจุบันสำคัญมากหรือน้อยนั้น เกิดจากผลพวงของการศึกษาของเราว่าเราตั้งใจเรียนมากน้อยเพียงใด ถ้าเราเป็นคนเรียนเก่ง โอกาสที่เราจะได้ทำงานในตำแหน่งที่สำคัญๆก็มีมาก นอกจากนี้ก็เกิดจากประสบการณ์การทำงานในอดีตที่ส่งผลให้เราได้สมัครเข้ามาทำงานในตำแหน่งที่สำคัญหรือไม่เช่นกัน สำหรับข้อคิดที่ได้จากการตอบคำถามนี้คือ ผลงานในอดีตกำหนดสถานะปัจจุบัน และผลงานปัจจุบันกำหนดสถานะในอนาคต ถ้าเราอยากจะได้ดิบได้ดีในปัจจุบัน เราต้องทำดีตั้งแต่ในอดีต และถ้าเราอยากได้ดีในอนาคตเราจะต้องทำดีตั้งแต่วันนี้
3.เรามีศักยภาพมากพอหรือไม่ ถ้าบุญเก่าก็มีน้อย ตำแหน่งที่ทำอยู่ในปัจจุบันก็ไม่ได้สำคัญอะไรมากมาย เรายังพอมีโอกาสที่จะรอดพ้นจากวิกฤติการถูกเลิกจ้างได้อีกหนึ่งเรื่อง นั่นก็คือ ตัวเรามีศักยภาพมากพอที่จะเป็นความหวังในอนาคตขององค์กรหลังจากผ่านพ้นวิกฤติไปแล้วหรือไม่ คนบางคนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ในตำแหน่งที่ไม่สำคัญมากนัก แต่เป็นคนที่มีศักยภาพ(ภาษาชาวบ้านเรียกว่ามีแวว) องค์กรก็ยังคงเก็บไว้ เพราะการเลิกจ้างคนที่มีศักยภาพเพียงหนึ่งคน อาจจะมีผลเสียมากกว่าการเลิกจ้างคนที่ไม่มีศักยภาพออกไปเป็นสิบเป็นร้อยคนก็ได้ ศักยภาพคือพลังที่อยู่ในตัวคนเราซึ่งเป็นผลพวงของการผสมผสานระหว่างความรู้ ทักษะประสบการณ์การทำงาน บุคลิกลักษณะ ความสามารถในการคิด และความมุ่งมั่น จนสามารถเปล่งรัศมีออกมาให้คนอื่นเห็นได้อย่างชัดเจน และคนอื่นรู้สึกมั่นใจว่าเรามีศักยภาพจริง ทั้งๆที่บางเรื่องเรายังไม่เคยทำ แต่สามารถดูได้จากรูปแบบและวิธีการคิดได้ ข้อคิดจากการตอบคำถามในข้อนี้คือ จุดเด่นสร้างความแตกต่าง ความแตกต่างสร้างทางเลือกและโอกาสในชีวิต ดังนั้น คนทำงานทุกคนควรจะให้ความสำคัญกับการพัฒนาตัวเองให้แตกต่างจากคนอื่นอยู่เสมอ โดยเฉพาะการพัฒนาตัวเองให้เหนือกว่าและสูงกว่าสถานะที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เช่น ถ้าเราเป็นพนักงาน เราต้องคิดว่าคนที่เป็นหัวหน้าต้องรู้อะไรบ้าง ต้องคิดอะไรบ้าง ต้องทำอะไรบ้าง แล้วเราก็เริ่มฝึกคิดฝึกทำและเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ตั้งแต่เรายังเป็นพนักงาน ไม่ต้องรอเรียนรู้ตอนที่ได้เป็นหัวหน้าแล้ว
สรุป การเป็นมนุษย์เงินเดือนมืออาชีพนอกจากจะต้องทำงานให้คุ้มค่าตอบแทนที่องค์กรจ่ายให้เราแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องทำงานเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเองไปพร้อมๆกันด้วย เวลาทำงานอย่าคิดถึงเงินที่ได้รับอยู่ในปัจจุบันว่าคุ้มค่าหรือไม่ เพราะคิดยังไงก็ไม่คุ้ม เนื่องจากผลตอบแทนที่เราได้รับอยู่ในปัจจุบันเป็นผลตอบแทนผลงานในอดีตไม่ใช่ผลงานในปัจจุบัน แต่ผลตอบแทนที่เราทำงานหนักในปัจจุบันจะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น การปรับค่าจ้างประจำปี การปรับค่าจ้างเมื่อได้เลื่อนตำแหน่ง การได้ค่าจ้างสูงขึ้นเมื่อเปลี่ยนงาน ดังนั้น เวลาทำงานหนักให้คิดว่าเราสะสมผลตอบแทนให้ตัวเอง ซึ่งเราจะได้รับในหลายรูปแบบ เช่น เงินเดือนที่สูงขึ้นในอนาคต ภูมิคุ้มกันเมื่อองค์กรเจอวิกฤติ และโอกาสที่จะก้าวหน้าในอาชีพเมื่อองค์กรเติบโต สุดท้ายนี้ ก็ขอเป็นกำลังใจให้กับคนทำงานทุกคน จงคิดว่าเสมอว่าไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานการณ์ใด ชีวิตเราต้องอยู่รอดเสมอ และใครกำลังเจอปัญหาอุปสรรคในชีวิตอยู่ก็จงคิดว่าเรากำลังถูกทดสอบว่าชีวิตเราแข็งแกร่งมากน้อยเพียงใด และเมื่อเราผ่านวิกฤติในชีวิตนี้ไปได้ เราจะมีภูมิคุ้มกันมากกว่าคนอื่นๆนะ
คิดว่าสร้างบุญได้อย่างนี้มันก็ดีนะ..แต่มันก็ยังมีขัดๆอยู่นิดนึงกับลงทุนลงแรงเพื่อสิ่งที่มุ่งหวัง_ทำดีร้อยครั้งมันก็ไม่เท่าทำพังครั้งเดียว
ตอบลบผมว่าทุกตำแหน่งก็สำคัญ! และอยู่กับงานให้มีความสุขก็พอ
ตอบลบตำแหน่งทุกตำแหน่งเป็นตำแหน่งที่สำคัญทั้งนั้น ส่วนการเลิกจ้างนั้นก็อยู่ที่หัวหน้าจะพิจารณา เพราะถ้าเราจะโดนหรือไม่โดนก็อยู่ที่การทำงานของเราด้วย ส่วนที่กลัวไม่มีเงินใช้ก็ควรคิดและตั้งใจเก็บตั้งแต่เริ่มทำงาน ถ้าไม่เริ่มเก็บตอนที่ทำงานแล้วเมื่อไรจะมีเงินละครับ !!! พี่น้องครับ
ตอบลบสรุปแล้วคือ....
ตอบลบ1.ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด อย่างเสมอต้นเสมอปลาย แล้วคำว่า 'บุญเก่า'ก็จะเกิดขึ้นเอง
2.สำหรับข้อนี้ ผมคิดว่า ตำแหน่งใหนก็สำคัญหมด ถ้าไม่มีนายจ้างลูกจ้างก็ไม่มีเงินไม่มีงาน
ถ้าไม่มีลูกจ้างนายจ้างก็ไม่มีงานไม่มีเงิน
3.ใครมีความคิด ความสามารถ งัดออกมาใช้กันให้เต็มที่ อานาคตไม่สามารู้ได้ รู้ในปัจจุบันก่อนได้
อนาคตที่ใหญ่โต รอเราอยู่
กระตือรือร้น ขยันในการทำงานอย่างสม่ำเสมอ
ตอบลบงานที่ได้รับมา ควรสะสางให้เรียบร้อย ตามความรับผิดชอบ
มีน้ำใจกับคนรอบข้าง มีส่วนร่วมกับบริษัท
การตำหนิ ใคร สิ่งใด ควรตำหนิในเชิงสร้างสรรค์
อย่างไรก็ตาม มีหลายๆกรณีที่ ไม่ว่าจะดีอย่างไรก็โดน เลิกจ้าง ได้ ซึ่งบางครั้ง ก็แล้วแต่ดวงจริงๆ
เคยมีเพื่อนเล่าประสบการณ์ให้ฟังว่าเจ้าของบริษัทเก่ามักพูดให้กำลังใจว่า ทำให้หนัก ทำให้เหนื่อย เหงื่อจะได้ออก แล้วกลับบ้านจะได้นอนหลับสบาย ฟังแล้วน่าจะตีความได้ว่า ให้เต็มที่กับงาน เมื่อกลับบ้านเราจะได้พักผ่อนเพราะการพักผ่อนที่ดีที่สุดคือการนอนหลับ(ที่บ้านนะ)แล้วสิ่งที่ดี ๆ ก็จะตามมาเองอย่างน้อยก็สุขภาพของเราเอง เพราะเราได้ออกกำลังกาย
ตอบลบขยัน
ตอบลบตรงต่อเวลา
ซื่อสัตย์ต่อตนเองและองค์กร
ไม่เกี่ยงงานหรือบ่ายเบียง
มีน้ำใจต่อผู้ร่วมงาน
มีความละเอียดรอบรอบ
เห้นจุดบกฟร่องเล้กๆๆน้อยเป็นเรื่องสำคัญ
ไม่กระทำการใดหากรู้ไม่ถึงการ
มีวินัยต่อการปฎิบัติงานทุกครั้ง
ทำวันนี้ให้ดีแล้วทำพรุ่งนี้ให้ดีกว่าแล้ววันต่อๆไปก็ให้ดีกว่านี้..สักวันก็ต้องดีที่สุด
ตอบลบอยู่โดยไม่ต้องมีความรู้สึกว่าเราดี เด่น ดัง อะไรเลย
ตอบลบเพียงแต่รู้สึกว่า เราเป็นผู้มีประโยชน์ที่สุดคนหนึ่งเท่านั้นก็พอ
ทำหน้าที่ตัวเองต่อไปให้ดีที่สุด สักวันต้องมีคนเห็นความดีของเรา
สู้ต่อไปหน้ากากเสือ
ผมว่าทํางานตามหน้าที่ที่ได้รับหมอบหมาย จากหัวหน้าและต้องมีความรับผิดชอบต่องานนั้นด้วย
ตอบลบผมว่าทุกคนที่ทำงานอยู่ในองค์กรนั้น ทุกคนเปรียบเหมือนส่วนประกอบหนึ่งของเครื่องจักรกล ซึ่งถ้าขาดตัวประกอบตัวใดตัวหนึ่ง ก็อาจจะเดินเครื่องไม่ได้ ฉะนั้นเราทุกคนจะมีความสำคัญในทีมของเราแค่ไหน มันก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเองว่าเราจะทำให้ทีมมองเห็นความสำคัญในตัวเรามั๊ย หรือมีเราอยู่แล้วไม่สบายใจ(อันนี้ควรพิจารณา)
ตอบลบฉะนั้นผมว่าทุกคนทำงานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายนั้นให้สำเร็จตามเป้าหมายเพื่อองค์กรแล้ว ทุกคนก็มีคุณค่าต่อองค์กรเสมอ
ค่าของคนมันก็ขึ้นอยู่กับ การทำงาน และ การทำตัว นั่นแหละ
ตอบลบทำงานดี ทำตัวดี ยังไง ก็ไม่มีที่ไหนเขาไล่ออกหลอก เพราะทุกคนก็มีจุดมุ่งหมายด้วยกันทังน้านๆๆๆ
ก็ขอให้อยู่ด้วยกันนานนนนนนนนนๆๆๆๆๆๆๆนะ เอาแค่ลูกบวชก็ได้ บายยยย..
สรุปว่าเราต้อง..ทำใจ..กันล่ะนะ
ตอบลบแต่ในที่นี้เราหมายถึงทำใจให้แข็งแรง และมีความสุขกับงานที่ทำ
ทำงานให้ดีที่สุด มีความรับผิดชอบ ด้วยความซื่อสัตย์และจริงใจ
ยังงัยก็แล้วแต่ ...ขอให้ทุกๆคนมีความหวังและแรงบันดาลใจที่ดี
ที่จะต่อสู้ต่อไปในอนาตคที่จะถึงนี้จ้า..
การทำงานให้สำเร็จขึ้นอยู่กับความสามารถสองอย่างเป็นสำคัญ คือสามารถในการใช้วิชาความรู้อย่างหนึ่ง สามารถในการประสานสัมพันธ์กับผู้อื่นอีกอย่างหนึ่ง ทั้งสองประการนี้ต้องดำเนินคู่กันไป และจำเป็นต้องกระทำด้วยความสุจริตกาย สุจริตใจ ด้วยความคิด ความเห็นที่เป็นอิสระ ปราศจากอคติ และด้วยความถูกต้อง ตามเหตุตามผลด้วย จึงจะช่วยให้งานบรรลุจุดหมายและประโยชน์ที่พึงประสงค์โดยครบถ้วน
ตอบลบการมีงานทำเป็นลาภอันประเสริฐ จงทำ ทำ เเละก็ทำ เพื่อความสำเร็จในอนาคต
ตอบลบแต่ในบางครั้งเราเหนื่อยแทบจะไม่ไหวแล้ว ขอแค่คำพูดดีๆๆที่ไม่ตอกย้ำและรอยยิ้มแค่นี้เราก้อชื่นใจแล้วมิหนัมซ้ำเรายังคิดว่าเรากลายเป็นคนสำคัญอีกด้วย
ตอบลบขยันอดทน และซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ หมั่นฝึกฝนตัวเองอยู่เสมอ
ตอบลบ....ช่วงนี้อากาศกำลังเปลี่ยนแปลง เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวฝนตกดูแลรักษาสุขภาพกันด้วยนะครับทุกคนเป็นห่วง ผมเดี้ยงมาแล้ว 4 วันครับ
ตอบลบตามความรู้สึกผม ผมว่างานทุกงานที่เราต่างทำมา งานเล็กๆมั้ง งานใหญ่ๆมั้ง ทุกสิ่งที่ทำมา มันล้วนเป็นงานสำคัญ ที่ทำให้บริษัทเดินต่อไปได้ อาจจะมองเห็นมั้ง ไม่มองเห็นมั้ง แต่ผลลับที่ออกมา ทุกคนตั้งใจทำงาน งานก็ออกมาดีเสมอ ยังไงก็ตั้งใจกันต่อไปครับ สู้ๆ
ตอบลบทำงานของเราให้ดีก็พอแล้วละครับ เพราะ บางที่บางบริษัทชอบคนประจบประแจง ทำดีไปก็ไม่เห็นสิ่งที่ทำ เพราะฉะนั้นขึ้นอยู่กับ...?คิดเอาเองครับ
ตอบลบรู้จักหน้าที่ของตัวเองพร้อมพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง และซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ เท่านี้ก็น่าจะพอนะครับ
ตอบลบศักยภาพสามารถดูได้จากรูปแบบและวิธีการคิด
ตอบลบทั้งๆที่บางเรื่องเรายังไม่เคยทำ พลังที่อยู่ในตัวเรา
ความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ในการทำงาน
บุคลิกลักษะณะและความมุ่งมั่น
จนสามารถเปล่งรัศมีออกมาให้คนอื่นเห็นได้อย่างชัดเจน
และคนอื่นรู้สึกมั่นใจว่าเรามีศักยภาพจริง
ถ้าองค์การเริ่มเลิกจ้างคนออกแล้ว ...
ตอบลบมันก็ไม่น่าจะเป็นองค์กรที่น่าอยู่อีกต่อไป ...
การได้อยู่เป็นคนสุดท้ายจะมีประโยชน์อันใด รึไม่ ...
น้ำกว่าจะเต็มขวดก็มักมาจากน้ำหลายหยดรวมกัน น้ำหลายขวดรวมกันเกิดเป็นน้ำหลายได้หลายต่อหลายลิตร เปรีบยดังงานหลายงาน จะสำเร็จได้ย่อมเกิดจากคนหลายคนร่วมกัน
ตอบลบจงอย่าคิดว่าอย่าใช้งานข้าเกินเงินเดือนเลย หากงานเยอะจงคิดว่าทำมากเราย่อมรู้และพัฒนาตัวเองได้มากเช่นกัน จงอย่าถ้อทางข้างหน้ามันยังอีกยาวไกล จงจำไว้มันต้องมีวันดีๆๆที่เป็นของเรา
ตอบลบมีความ"ซื่อสัตย์"ประจำใจเสมอ
ตอบลบไม่ ขาด ลา มา สาย เป็น ประ จำ
ตอบลบทำ งาน ที่ ตน เอง ได้ รับ มอบ หมาย มา เสร็จ ทุก ครั้ง ไป
ไม่ขาด ไม่ลา ไม่มาซะเฉยๆ
ลบแซวๆๆๆ 5555
ไม่ขาด ไม่ลา ไม่มาซะเฉยๆ 555
ลบทำงานตามที่ได้รับมอบหมายให้ดีที่สุด ทำสุดความสามารถของเรา ทำไม่ได้ก็ถามผู้ที่เขารู้เราก็จะทำได้เองครับ
ตอบลบสัจจะ แปลว่า ความสัตย์ รักษา ความสัตย์ เปรียบเสมือน เรามี สัจจะ
ตอบลบแต่ในการทำงานในยุคปัจจุบันนี้ ต้องมีหลักฐานยืนยันชัดๆๆไปเลย จะมั่วใช้การปิดทองหลังพระแบบสมัยก่อนมันใช้ไม่ได้แล้ว มันเห็นผลยาก แต่การทำต้องไม่อยู่บนความเดือนร้อนของใคร(ต้องไม่ทำนาบนหลังคน)นะครับพี่น้อง ขอให้มีความสุขในเดือนแห่งความรักนะครับ
ตอบลบแต่ผมไม่ชอบแบบทำนาบนหลังคนอ่ะทำไงดี จะบอกกันให้ปรับตัวเขาก็ไม่ดันเห็นว่าเรา ทำเป็นรู้ดี เอาแต่ตัวเองสบาย เห็นใจเพื่อนร่วมงานกันบ้างก็ดี
ตอบลบมีอะไรก็ทำไป เข้าใช้ก็ทำไป ทำได้ก็ทำ ทำไม่ได้ก็ถาม ถามไม่ได้แปล่ว่าโง้ ไม่รู้แล้วทำนั้นและโง้ ลูกพี่ผมบอกไว้ก็แค่3วันเอง อะอะอะ
ตอบลบไม่อยากให้ทุกใครคิดแบบนี้เลย แค่3วันเองนี่เหมือนกับทำๆให้มันผ่านพ้นไปวันๆ
ตอบลบอยากให้ทุกคนคิดว่าที่ทำงานก็เหมือนของ ของเรา ถ้ามันเสียเราก็อยู่กับมันยาก ถ้ามันดีทุกอย่างมันก็ง่าย
อะไรที่มันไม่ถูกไม่ต้องไม่สะดวกไม่ดีก็ต้องบอก ทำได้ทำไม่ได้อีกก็ต้องเอามาคิดกันอีกทีหนึ่ง
งานที่ออกไปให้ทุกคนช่วยกันทำนั้นล้วนมีเหตุผล
ที่ทำงานอย่างน้อยเราก็สร้างมันมา เราก็อยู่กับมันมาเป็นปี การทำงานแบบขอให้จบๆไป ปล่อยๆไปอีกสามวันก็จบ
โดยส่วนตัวแล้ว "รับไม่ได้" กับความคิดแบบนี้
อ่านคอมเมนท์แล้วรู้สึกว่าโคตร'เข้มข้น'
ตอบลบทำงานดีแล้วไม่มีคนเห็น อาจจะอดน้อยใจไม่ได้แฮะ แต่สำคัญอยู่ที่เรายังทำงาน และรับผืดชอบหน้าที่เราได้ดีหรือไม่
ในแบบที่ไม่ได้เข้าใจไปว่าดีอยูคนเดียวอ่ะนะ
มีอีกประเด็นที่ผมคิดไม่เหมือนหลายๆ คนนะ
ตอบลบผมว่ามีองค์กรที่ปลดพนักงานออกจำนวนมาก ที่จริง ๆ แล้วเค้าก็ไม่อยากปลดออกหรอก
แต่จำเป็นต้องทำเนื่องจากสาเหตุหลายประการ อาทิเช่น
ผลประกอบการไม่ดี(หรือไม่มีทาง) เหมือนเดิมเนื่องจากปัญหาร้อยแปด
มีนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่มาทดแทนทำให้แผนก หรือหน่วยผลิตนั้น ไม่จำเป็นอีกต่อไป ยกตัวเช่น บริษัทผลิตฟิล์มถ่ายรูปบริษัทนึงที่เพิ่งจะปิดกิจการไปไม่นาน
ปัญหาจากตัวพนักงานเอง เป็นต้นว่าพนักงานเองอาจไม่อยู่ในภาวะที่ทำงานได้อีกต่อไป....พิการ วิกลจริต ป่วยหนัก อัลไซเมอร์
เหล่านี้เป็นความเสี่ยงจากการเป็นมนุษย์เงินเดือนทั้งนั้น สำคัญคือเราอาจต้องใช้ชีวิตไปแบบพึ่งตนเอง และมีแผนสำรองเอาไว้บ้างนะครับ
บ่นซะยาวเลย หวังว่าจะช่วยให้น้อง ๆบางคนฉุกคิดในอีกมุมนึงบ้างนะ. :)
ความรับผิดชอบและการพัฒนาเรียนรู้เป็นบ่อเกิดแห่งความสำเร็จ ทำหน้าที่ที่ได้รับผิดชอบให้ดีที่สุด
ตอบลบการที่เราจาทำให้เขาเห็นความสัมคัญนั้นคงต้องวัดจากการทำงานที่เราทำ เราต้องรับผิดชอบหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดเอาใจใส่กับการทำงานให้ดีที่สุดส่วนที่เหลือจาเป็นอย่างไรก็แล้วแต่เวรแต่กรรม..555
ตอบลบคิดว่าถ้าเรามีความสำคัญก็ต้องโดนหลังสุด ฉนั้นต้องเริ่มสร้างตัวเราให้สำคัญกับองค์มากที่สุด
ตอบลบแล้วแต่เวรแต่กรรม ถือว่าเราสร้างบุญร่วมกันมาแค่นี้ปลงซะแล้ว
ตอบลบ