By พี่โหน่ง
ได้อ่านบทเทศน์ของท่าน ว.วชิรเมธีแล้วน่าสนใจเผื่อว่าจะเกิดประโยชน์ต่อพนักงานหรือองค์กรบ้างไม่มากก็น้อยเลยเลือกมาลงใน
Blog ถ้าจะมีใครนำมาปฏิบัติอาจเกิดผลดีต่อตนเองก็เป็นได้
ซึ่งต้องขอขอบคุณบทความดีจากไทยรัฐออนไลน์และกราบนมัสการพระคุณเจ้าที่นำแต่สิ่งดีๆแก่คนไทยในยามที่ประเทศไทยต้องการกำลังใจ
ว.วชิรเมธี ทำงานอย่างไรให้มีความสุข (ไทยรัฐ)
สุดท้ายที่จะมาเทศน์ผ่านไทยรัฐออนไลน์ คือ ท่าน ว.วชิรเมธี พระอาจารย์ที่เชี่ยวชาญการเทศน์ในทุกหัวข้อ จนได้ฉายาว่าพระผู้รอบรู้ เพราะแทบไม่มีเรื่องอะไรเลยที่ ท่าน ว.ตอบให้กับสังคมไม่ได้ ที่สำคัญทุก ๆ คำตอบของท่านตอบด้วยธรรมะที่คติธรรมโดยไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด...!!!
ศิลปะการทำงานให้มีความสุข
หัวข้อทำงานอย่างไรให้มีความสุขเป็นหัวข้อของอาตมา ซึ่งสามารถแบ่งได้ดังนี้
1. ทำงานที่ใจรัก เพราะถ้าเราทำงานที่ใจรักทุก ๆ วันจะเป็นวันแห่งความสุข เราไม่ต้องรอว่าความสุขจะมาถึงเราวันเสาร์-อาทิตย์แต่ทุกวันที่เราทำงานจะเป็นวันแห่งความสุขของเราเพราะว่าเราทำด้วยความรัก
2. ทำงานทุกชิ้นให้เต็มที่ให้ดี เพราะเมื่อเราสร้างงาน งานจะย้อนกลับมาสร้างคน งานคือเวทีแสดงออกซึ่งศักยภาพในการทำงานของเราทุกครั้งที่เราทำงานให้เต็มที่และทำอย่างดีที่สุด คนก็จะเห็นคุณค่าของเราว่ามีมากน้อยเพียงไร ดังนั้นเมื่อเราตั้งใจสร้างงาน งาน 1 ชิ้นก็จะย้อนกลับมาสร้างคน
3. ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต โปร่งใสเพราะเมื่อเราทำงานด้วยความสุจริตก็ไม่ต้องมานั่งระแวงภัยที่จะตามมาในอนาคตซึ่งเกิดจากการตามจับผิด โดยหน่วยงานของทางการต่างๆ ถ้าเราทำวันนี้ให้ถูกต้องก็ไม่ต้องนั่งกังวลว่าวันวานมันจะผิด
4. เป็นนักประสานสิบทิศ อย่ามัวแต่ทำงานจนหลงลืมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงาน ไม่มีใครเก่งอยู่ได้คนเดียว แท้ที่จริงเราจะต้องอาศัยผู้ร่วมงานจากทุกฝ่ายอยู่เสมอ ดังนั้นอย่ามัวแต่ทำงานแต่จงทำคนด้วย เพื่อก่อให้เกิดสภาวะงานก็สำเร็จ ชีวิตก็รื่นรมย์ คนก็สำราญ งานก็สำเร็จ ใครทำงานได้อย่างนี้คน ๆ นั้นจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในการทำงาน จนกล่าวได้ว่า งานก็สำเร็จ ชีวิตก็รื่นรมย์
ถ้าไม่ได้ทำงานที่เรารักจะมีความสุขหรือเปล่า
ตอบได้อย่างนี้ ถ้าไม่ได้ทำงานที่เรารัก วิธีคิดที่ดีคือการมองเชิงบวก เวลาเจองานหนักก็ให้บอกตัวเองว่านี้คือการฝึกตัวเอง เวลาเจอปัญหาซับซ้อนก็บอกตัวเองว่ายิ่งปัญหาซับซ้อนเราก็ยิ่งได้เรียนรู้มากขึ้น เวลาเจอเจ้านายที่ละเมียดละไมเหลือเกินก็ให้บอกตัวเองว่า นายที่รอบคอบแบบนี้จะฝึกเราให้สมบูรณ์แบบ ฉะนั้นถ้าเรามองเชิงบวกให้เป็นถึงแม้เราจะไม่ได้ทำงานที่เรารักแต่เราก็จะมีความสุขเสมอ ในเมื่อไม่มีสิ่งที่เราชอบ เราก็ควรชอบสิ่งที่เรามี เพราะในโลกนี้ไม่มีใครได้อะไรอย่างใจหวัง และจะไม่มีใครพลาดหวังทุกอย่างไป ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราจะทำมีแง่ดีแง่งามอยู่เสมอขอให้เรามองให้เห็น ถ้ามองเห็นเราก็จะเป็นสุขกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
วิธีการมองเห็นทำอย่างไรถึงจะมองเห็นกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
คุณสมบัติที่จะเปลี่ยนทุกข์ให้เป็นสุขนั้น มี 2 อย่าง
1. สังเกต สังเกตหาแง่ดีแง่งามของสิ่งต่าง ๆ ที่เราทำอยู่ให้เจอ เช่น งานของพระอาจารย์เป็นงานที่ต้องเดินทางบ่อยมากไปเทศน์ไปสอนตลอด หลายคนก็บอกว่าเหนื่อยมาก ๆ ถ้ามาถามพระอาจารย์จะบอกว่ามันเหนื่อยก็จริงแต่มีความสุขมากเพราะได้เดินทางไปทั่วโลก ได้เจอผู้คน ได้พบภูมิประเทศใหม่ ๆ ได้สานสัมพันธ์ใหม่ ๆ ตลอดเวลา ฉะนั้นในความเหนื่อยเราก็ได้เดินทางท่องไปทั่วทั้งโลก นี่คือแง่ดีแง่งาม แต่ส่วนใหญ่คนมักจะมองอยู่จุดเดียวมองแค่ว่าเรากำลังเหนื่อยหนักจริง ๆ เหนื่อยก็แค่ส่วนหนึ่ง แต่ส่วนที่ดีเมื่อพิจารณาจริง ๆ แล้วมันมีมากกว่า ให้เราสังเกตอย่างนี้ รู้จักสังเกต รู้จักพินิจ พิจารณา เราจะเห็นความแตกต่างเสมอ
2. สังเกตแล้วต้องสังกาให้ตั้งคำถาม ว่าเราจะสร้างสรรค์งานที่เราทำอยู่ให้ดีขึ้นได้อย่างไร ถ้าเราถามว่า ทำไม ทำไม ทำไม... ก็จะเกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ ขึ้นมาทุกครั้งไป กาลิเลโอก็ดี นิวตั้นก็ดี ประสบความสำเร็จในชีวิตเพราะว่า เขาชอบตั้งคำถามว่าทำไม นั่นแหละเคล็ดลับในการทำงาน
ทำงานที่ชอบแต่เงินเดือนน้อยมองอย่างไรให้เป็นสุข
ถ้าเงินเดือนน้อยก็ต้องลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นของเราทิ้งไป แทนที่จะไปเรียกร้องเงินเดือนให้สูงขึ้นกว่าจะได้ก็ช้ามาก ก็ใช้วิธีปรับวิธีในการบริโภคของเราลง ที่จะบริโภคต่างความอยาก ซึ่งเติมอย่างไรก็ไม่เต็มมาบริโภคตามความจำเป็น ดีกว่ามุ่งประโยชน์ใช้สอยอย่างมุ่งประโยชน์ใช้สวย ถ้าเราจับจ่ายใช้สอยในการถือหลักประโยชน์ใช้สวยมีเท่าไหร่ก็ไม่พอ แต่ถ้าเราถือหลักจับจ่ายใช้สอย คือจำเป็นแค่ไหนก็จับจ่ายใช้สอยแค่นั้น พอกินพอใช้ ถึงแม้ไม่รวยแต่ก็ไม่ถึงขั้นตกต่ำย่ำแย่ แทนที่เราจะเรียกร้องเงินเยอะ ๆ ทำไมเราไม่ลดหรือเปลี่ยนวิธีในการบริโภคของเราแทน บริโภคต่างตัณหาทำให้เรามีเงินเท่าไหร่ก็ไม่พอใช้ แต่บริโภคตามปัญญาถึงเงินไม่มากมายอะไรแต่เราก็มีความสุขตามสมควร...
วิธีการแก้ปัญหาในที่ทำงาน ทั้งโดนนินทา โดนแกล้ง
ให้ถือซะว่ามารไม่มีบารมีไม่เกิด เวลาที่เราทำงานต้องมีอยู่แล้วคนแกล้งคนไม่พอใจคนอิจฉาตาร้อนให้เราถือหลักว่า
1. มารไม่มีบารมีไม่เกิด
2. สิ่งใดเกิดขึ้นแล้วสิ่งนั้นกำไรเสมอ
3. อยู่ใต้ฟ้าอย่ากลัวฝน เกิดเป็นคนอย่ากลัวคำนินทา
4. ถูกชมก็เข้าท่าถูกด่าก็ไม่เลว เหล่านี้เป็นคติที่พระอาจารย์ใช้ทำงานอยู่เสมอ จึงสามารถรับมือได้ทุกกระบวนท่า
กว่าจะผ่านปัญหาไปได้ต้องฝึกฝนตัวเองอย่างไร
จะต้องทำตัวให้หนักแน่นดังแผ่นภูผา ลมมาพัดก็ไม่ปลิวไปตามลม ฝนสาดก็ไม่เปื่อยสลาย แดดส่องก็ไม่ละลายไปกับแสงแดด ฉะนั้นทำตัวให้หนักแน่นดั่งแผ่นภูผาเราก็จะอยู่ในทุกสภาวะของชีวิต
กรณีสำหรับคนที่ตกงานมีวิธีคิดอย่างไรไม่ให้เครียด
1. ต้องหางานทำ
2. หาแล้วไม่ได้ต้องสร้างงานขึ้นมา ตกงานได้แต่อย่างให้ใจตก เพราะถ้าใจตกชีวิตจะตกต่ำทันที ดังนั้นไม่ต้องเสียใจ คนที่ รวยที่สุดในโลกตอนนี้ สตีฟ จอบส์ ก็เคยตกงาน แต่ว่าเขาตกงานแล้วไม่ตกใจจึงลุกขึ้นมาสร้างบริษัทใหม่ในที่สุดก็ประสบความสำเร็จได้ ฉะนั้นเราตกงานได้แต่ไม่ได้หมายความว่าความรู้ความสามารถของเราตกไปด้วย มันยังอยู่กับตัวเรา ก็เอาความรู้ความสามารถที่อยู่ในเนื้อในตัวเราลุกขึ้นมาสร้างงานใหม่ ทำอย่างนี้แล้วเราจะประสบความสำเร็จได้ โอกาสยังคงมีเสมอสำหรับผู้ที่ไม่ปิดกั้นตัวเอง ต้องหาความรู้เพิ่มเติมให้ถือหลักพึ่งตนเองอย่ารอพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในบรรยากาศที่บ้านเมืองอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ปกติการพึ่งตนเองสำคัญที่สุดเลย
ถ้ายังไม่ได้งานแล้วหันไปพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผิดหรือเปล่า
เอาวันเวลาที่ไปบนบานสานกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น มา พินิจ พิจารณาหาช่องทางทำกิน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเราได้ในทางจิตวิทยาคือทำให้เราเคลิ้มๆแต่ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาที่แท้จริง พูดอีกอย่าง "หนึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นยาทา การใช้ปัญญาเป็นยากิน" การรักษาโลกต้องใช้ยากิน การใช้ยาทาก็เป็นการรักษาแต่ภายนอก สิ่งศักดิ์สิทธิ์ถ้าศักดิ์สิทธิ์จริงประเทศไทยจะมีคนจนไหม ไม่มี... ประเทศที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากที่สุดในโลกคืออินเดีย ปรากฎว่ามีประชากรกว่าร้อยล้านคนตกงาน นี้คือบทเรียนของการรอพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ฉะนั้นให้หันมาพึ่ง ลำแข้ง ลำขา สติปัญญาของตัวเองจึงจะดีที่สุด
น้อยใจทำงานมานานแล้วไม่มีโบนัส มีวิธีคิดอย่างไร...?
ถ้าโบนัสไม่มาเอาเท่าที่มีก่อนก็ได้ มีคนอีกมากที่ตกงานแต่เรายังมีงานทำ มองเป็นก็จะเห็นธรรม แต่ถ้ามองไม่เป็นก็จะมาน้อยใจ เวลาที่เรารู้สึกแย่มองคนที่แย่กว่าเรา แล้วเราจะรู้สึกว่าเรายังได้เปรียบอยู่
ถ้าเป็นพวกที่บ้างานหนักจะทำอย่างไร
ต้องแสวงหาทางสายกลาง พวกที่เป็นโรค Workaholic ทั้งหลาย จะต้องแสวงหาทางสายกลางในการทำงาน การทำงานต้องประสานกับคุณภาพของชีวิตคือผลสัมฤิทธิ์ของมือทำงานระดับอาชีพ การทำงานประสานกับคุณภาพของชีวิตคือผลสัมฤทธิ์ของคนทำงานมืออาชีพ ฉะนั้นอย่างเป็นคนบ้างานจนหลงลืมคุณภาพของชีวิต จะต้องรักษาสมดุลของงานสมดุลชีวิตให้ลงตัวพอเหมาะพอดี
เราจะคำนวณสัดส่วนสมดุลย์ในการทำงานคืออะไร
ใช้ทางสายกลางในการทำงานและการดำรงชีวิต 50-50 คืองานกับชีวิตจะต้องสมดุลกันในลักษณะ 50-50 บ้างานมากเกินไปสิ่งที่ได้กลับมาก็คือความเครียดและสุขภาพไม่ดี บ้าใช้ชีวิตมากเกินไปสิ่งที่ได้กลับมาก็คือจะอดตายเอา ไม่มีเงินกิน ไม่มีเงินใช้ ฉะนั้นต้องให้ทั้งสองส่วนมาสมดุลย์กัน 50-50 นี่คือทางสายกลางสำหรับคนทำงาน
ประสบการณ์ของพระอาจารย์มีคนบ้างานจนถึงขั้นเสียชีวิตบ้างหรือเปล่า
มีลูกศิษย์ที่ทำงานหนัก เงินเดือนแค่ 50,000 แต่ทำงานเหมือนตัวเองได้เงินเดือน 3 แสน ผลคือเป็นโรคมะเร็งและรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลหมอบอกว่าไม่พบสาเหตุจากพันธุกรรม พบอยู่สาเหตุเดียวคือแบกความเครียดนานเกินไปเงินที่หามาทั้งชีวิตต้องนำมารักษาโรคมะเร็งทั้งหมด ฉะนั้นสาเหตุหลักของมะเร็งในตอนนี้คือความเครียดนี่คือตัวอย่างของโรค Workaholic โรคบ้างาน ทำงานมากเกินไปสุดท้ายต้องไปใช้เงินในโรงพยาบาล ไม่ได้ใช้เงินอย่างมีความสุข
อยากให้พระอาจารย์แนะนำวิธีผ่อนคลายในการทำงานของพวกมนุษย์เงินเดือน
ถ้าเราทำงานแล้วคุณภาพชีวิตไม่ดีแสดงว่าเรากำลังเดินผิดทางมันกำลังสุดโต่ง ฉะนั้นเวลาทำงาน อย่ามัวแต่ทำงานให้สังเกตคุณภาพชีวิตของตัวเองด้วย เมื่อเราทำงาน มีเวลากินข้าวกับครอบครัวไหม เรามีเวลาพักผ่อนวันเสาร์วันอาทิตย์ไหม เรามีเวลาอยู่กับลูกและภรรยาไหม เรามีเวลาไปเที่ยวต่างจังหวัดบ้างหรือเปล่า ถ้าสิ่งเหล่านี้ได้หายไปในชีวิตแสดงว่าคุณได้เสียสมดุลย์ชีวิตไปแล้ว ถ้าไม่ปรับมาสู่ทางสายกลางแสดงว่าอนาคตอันใกล้คุณกำลังป่วย เอาเงินที่หามาทั้งชีวิตมาใช้ในโรงพยาบาล นี่เป็น "โรคอารยธรรม" ที่กำลังเกิดขึ้นกับมนุษย์ในยุคทุนนิยมทั่วโลก ที่อเมริกา ที่ญี่ปุ่นป่วยด้วยโรค Workaholic เป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ประเทศไทยอันดับต้นๆของเอเชีย เพราะเราเครียดจากการเมือง เครียดจากเศรษฐกิจ เครียดจากแข่งขันในระบบทุนนิยมด้วย ดังนั้นใครที่เป็นโรคบ้างานจะต้องระมัดระวังถามตัวเองด้วยว่า เรามีภาวะสมดุลย์งานสมดุลย์ชีวิตแล้วหรือยัง อย่าทำงานจนป่วยตาย อย่าหลงเสน่ห์อบายมุข อย่ามีความสุขจนลืมศีลธรรม
ถ้ามีคนถามพระอาจารย์ว่า งานจำเป็นต่อชีวิตหรือไม่...?
งานจำเป็นต่อชีวิตเพราะทุกคนต้องกินต้องใช้แต่ต้องไม่ลืมว่าถ้าไม่มีชีวิตมีงานก็ศูนย์เปล่า
ความหมายของ"งาน"ในแบบของพระอาจารย์คืออะไร...?
งานของเราก็คือการทำให้เขามีความสุข ทุกวันอาตมามีความสุขมากเพราะเป็นงานที่ไม่ได้ทำร้ายใครเลย อาตมาไปเทศน์ไปสอนไปบรรยายก็เหมือนเป็นการเอาความสุขไปโปรยให้กับคนทั่วทั้งสากลโลก ฉะนั้นทุก ๆ วันที่เดินทางออกจากวัดอาตมามีความสุขมาก ทำงานเหมือนแสงเดือนแสงตะวันที่ชโลมผืนโลก ทำไปไม่หวังผลประโยชน์ หวังแค่ประโยชน์สุขที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ อาตมามีความสุขที่เห็นคนอื่นมีความสุข เป็นความสุขที่เกิดขึ้นจากการทำให้คนอื่นมีความสุข เรียกว่าให้สุขแก่ท่านสุขนั้นถึงตัว ฉะนั้นชีวิตการทำงานของอาตมาก็ถือว่ามีความสุข เพราะได้ทำงานที่ตัวเองรัก และปรัชญาในการทำงานของอาตมาก็คือ งานของเราคือการทำให้เขามีความสุข
แล้วงานที่ดีที่สุดคืออะไร...
งานที่จะทำให้เราอยู่ได้ในทางเศรษฐกิจและมีชีวิตที่มีความรื่มเย็นในจิตใจ คืองานในอุดมคติที่มนุษย์ทุกคนพึ่งสร้างสรรค์พัฒนาขึ้นมาให้ได้ ย้ำอีกครั้งหนึ่งคือ สามารถอยู่ได้ในทางเศรษฐกิจ มีชีวิตที่ร่มเย็นในจิตใจ เรียกว่าในทางกายภาพก็อยู่ได้ในทางใจก็เป็นสุข
สุดท้ายให้ศีลให้พรในวันปีใหม่เกี่ยวกับการทำงาน
ในโอกาสปีใหม่ก็ขอมอบพร 4 ประการให้กับคนไทย พลังทั้ง 4 เพื่อความสวัสดีของชีวิตคนไทย
1. พลังปัญญาของให้คนไทยลดความรู้สึกลงกลับมาใช้เหตุผลให้มากขึ้น
2. พลังความเพียรขอให้คนไทยพึ่งตนเองลดการพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์
3. พลังความสุจริตขอให้คนไทยร่วมกันต่อต้านคอรัปชั่นทุกรูปแบบแล้วหันมาเชื่อมั่นในความสุจริตโปร่งใส
4. พลังความสามัคคี ขอให้คนไทยเลิกเห็นแก่ตัวจนไม่เห็นหัวคนอื่น มาถือหลักธรรมใหม่ ๆ ว่า ส่วนไหน ๆ ก็ไม่ยิ่งใหญ่เท่าส่วนรวม ลด ละ เลิก การแบ่งแยก ไทยเหลือง ไทยแดง ไทยน้ำเงิน ให้เหลือเป็นไทยแลนด์ที่เป็นหนึ่งเดียว เท่านี้ชีวิตก็จะมีความสุข คนไทยทั้งประเทศก็จะมีความสุข เพื่อความสวัสดีของคนไทยให้เป็นพรปีใหม่ของเราชาวไทยทุก ๆ คน...
-สวัสดีปีใหม่ทุกๆ คน-
ขอขอบคุณไทยรัฐออนไลน์ที่นำเสนอบทความดีๆ
โดย พี่โหน่ง
อ่านแล้วก็ดีนะครับพี่ ชอบจังเลยครับกับคำตอบพระอาจารย์ ข้อ
ตอบลบ*-*ประสบการณ์ของพระอาจารย์มีคนบ้างานจนถึงขั้นเสียชีวิตบ้างหรือเปล่า
*-*น้อยใจทำงานมานานแล้วไม่มีโบนัส มีวิธีคิดอย่างไร...?
ทำงานมานานไม่มีโบนัสก็รอเดือนมีนาทุกปีก็มีโบนัสแล้ว
ตอบลบอ่านแล้วทำให้เราได้ข้อคิดหลายอย่างเลยคับและสบายใจดีคับ
ตอบลบงานจำเป็นต่อชีวิตเพราะทุกคนต้องกินต้องใช้แต่ต้องไม่ลืมว่าถ้าไม่มีชีวิตมีงานก็ศูนย์เปล่า
ตอบลบบทความนี้ เป็นบทความที่เตือนสติได้ดีทีเดียว เหมือนกัน งานไม่ดีก็ยังดีกว่าไม่มีงานทำไม่ใช่เหรอ
ก็ขอบคุณพี่โหน่งที่นำมาให้ได้อ่านได้คิด ถึงจะยาวไปนิดดๆๆๆ แต่อ่านจนจบแล้ว ก็ ดีมากกกก
ทำงานด้านที่เราชอบ ด้านที่เราถนัด จะทำให้การดำเนินชีวิตของเรามีความสุขกาย สบายใจได้ เพราะฉะนั้นจงเลือกในสิ่งที่เราชอบเถอะครับ
ตอบลบความสุขในการทำงานเกิดจากการที่ได้ทำงานที่เรารักและรู้จักวิธีจัดการกับปัญหาในการทำงาน
ตอบลบรักงานที่เราทำอยู่คือประตูสู่การทำงานที่เรารัก
ความสุขมันอยู่ที่ใจครับทำใจให้สบายปล่อยวางบ้างก็จะมีความสุขมากขึ้น
ตอบลบแต่หัวใจพีมานจาวายแว้
ลบการทำงานเพื่อเงินนั้น ต้องรอจนกว่าจะได้เงินเสียก่อนจึงจะรู้สึกพอใจ
ตอบลบถ้าทำงานเพื่องาน พอลงมือทำก็พอใจแล้วและเป็นสุข ส่วนเงินนั้นก็ไม่ไปไหนเสีย
เงินคืองาน งานคือเงินบันดาลสุข
ตอบลบผมชอบตรง วิธีผ่อนคลายในการทำงานของพวกมนุษย์เงินเดือน ครับรู้สึกว่านำไปใช้ในชีวิตได้ตรงและดีมากๆเลย อิอิ
ตอบลบความสุขนั้นมีอยู่ทุกที่แต่อยู่ที่ว่าเราจะมองมันให้มีความสุขมากน้อยแค่ไหน....
ตอบลบมันอาจจะอยู่รอบๆตัวเราแต่เราก็อาจมองมันไม่เห็นด้วยตา เรามาลองมองมันด้วยใจดูซิอาจจะมีควาสุขมากจนเราคาดไม่ถึง
ก่อนเริ่มงานควรคิดให้รอบคอบเพื่อให้ผลของงานออกมาดีแล้วไม่มีข้อผิดพลาดเราจะมีความสุข
ตอบลบจะเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีจุดเริ่มต้นเสมอ ฉะนั้นเราควรดูจุดเริ่มของเราว่าเรายอมรับกับมันแล้ว และเราจะทำอย่างไรที่จะไปให้ถึงจุดที่เราหวัง ความสุขก็จะตามมา แต่ถ้าเราไปเปรียบกับผู้อื่นแล้วก็จะทำให้เราเป็นทุกข์ ก็ไม่ควรที่จะไปเปรียบเทียบ แต่ถ้าเปรียบเทียบในทางสร้างสรรทำให้เราปรับปรุงตัวเอง เราก็มีความสุขกับงานที่ทำ
ตอบลบสาธุ ขอขอบพระคุณสำหรับคำสั่งสอนจากพระอาจาร์ยเเละจะนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อไป
ตอบลบใครนำไปใช้มักจะเจอกับความสว่าง
ทำงานด้วยใจรักไปพร้อมกับทำงานที่ได้รับอย่างเต็มความสามารถ
ตอบลบทำด้วยความเต็มใจ
การทำงานอีกอย่าง ที่ถือว่าประสบณ์ความสำเร็จคือ
ตอบลบ1.ทำแล้วไม่เกิดอันตรายต่อตนเองและผู้อื่น
2.ทำงานได้ตรงตามเป้าหมาย
3.ทำแล้วไม่เกิดความเสียทางด้านผลผลิต เครื่องไม้เครื่องมิอ
ทำงานแล้วกลับบ้านได้อย่างปลอดภัยทุกวันดีสุด
ขอบคุณคับพี่ที่เอาเรื่องดีมาให้อ่าน
ตอบลบปัญหาต่างเหล่านี้คนทุกคนต้องเคยเจอเรื่องราวเหล่านี้ไม่มากก็น้อย
ตอบลบจนทำให้ปวดหัวหรือเครียดกันไป แต่เพียงแค่มองคิดในแง่ดีก็อาจ
ทำให้ชีวิตเรามีความสุขกันมาก ผมจานำไปใช้นะคับ
เส้นทางการทำงานกับเส้นทางชีวิตนั้นไม่แตกต่างกันชึ้งมันไม่ได้โรยด้วยกลีบดอกไม้ มีปัญหาหลายๆอย่างเข้ามาทำให้เกิดการทีเราจะต้องรู้หลักป้องกันและจะต้องอยู่กับมันให้ได้ เพราะมันจะอยู่กับเราไปตลอดจนกว่าจะสิ้นลมหายใจ เราควรจะยอมรับมันในทุกๆปัญหาของการทำงานและหาทางแก้ไข บ้างครั้งอาจง่ายบ้างครั้งอาจยาก แต่ในที่สุดเราก็ต้องทำมันให้ได้ เพื่ออะไรหลายๆอย่างที่เราวาดความหวังไว้กับงานที่เราทำ เพื่อความสุขของใครหลายๆคนที่รอเราอยู่...
ตอบลบ..ความสุขเล็กๆๆ ..ความสุขน้อยๆๆ
ตอบลบแต่มีทุกวันจ้าาาา
แต่ล่ะคนไม่ธรรมดาเลยนะครับ แนวทางชีวิตดีๆ กันทั้งนั้นเลย
ตอบลบถ้าเรารักงานที่ทำอยูู่...เราก็จะมีความสุขกับการทำงาน...
ตอบลบถ้าเรารู้สึกเบื่อหน่ายกับงานที่ทำอยู่...เราก็จะเป็นทุกข์จากการทำงาน...
ถ้าเราอยากมีความสุข...เราต้องรู้จักตัวเองว่าเราชอบงานแบบไหนและลงมือทำงานนั้นให้เต็มที่...เราก็จะพบกับความสุขที่แท้จริง...(คือการประสบความสำเร็จจากการทำงานเมื่อเราค้นพบตัวเอง)
ทำงานให้เป็นสุข ถึงจะเหนื่อยแค่ไหนเราจะไม่ท้อ ถ้าท้อให้นึกถึงคนข้างหลัง ยังมีคนตั้งมากมายที่ยังลำบากกว่าเรา
ตอบลบคิดบวกครับคือการทำงานให้มีความสุขได้ครับ และสร้างบรรยายกาศในการทำงานให้เกิดขึ้นโดยไม่ต้องให้ใครเริ่มก่อน แต่ให้เริ่มจากตัวเราเองครับแล้วความสุขนั้นจะนำพามาหาเราได้
ตอบลบในความคิดของการทำงานอย่างมีความสุข ทำตามหน้าที่ ที่ได้รับหมอบหมาย และทำงานให้เสร็จตามกำหนด ไม่ทำเป็นดินพอกหางหมู ก็จะดีมากครับ
ตอบลบนอกจากการทำงานในโรงงานแล้วควรจัดกิจกรรมนอกโรงงานเพื่อสร้างความสามัคคีครับเพื่อให้เกิดบรรยากาศของความสุข
ตอบลบการทำงานตามหน้าที่ ที่ได้รับหมอบหมาย และต้องทำงานให้เสร็จตามกำหนด ผมว่าก็จะมีความสุขกับการทำงานนะครับ
ตอบลบทำในสิ่งที่เชือเชื่อในที่ทำมั่ใจในมั่นใจในสิ่งที่ทำลงไป
ตอบลบทำงานเยอะๆๆจะได้คิดเรื่องอื่นๆน้อยลง 55555555555555555
ตอบลบข้อคิดดีๆแบบนี้ต้องขอบคุณพี่โหน่งนะคร้าบ
ตอบลบ