By Bank
หนุ่มน้อยเพิ่งจบการศึกษาด้วยผลการเรียนดีเยี่ยมไปสมัครงานในตำแหน่งผู้จัดการในบริษัทใหญ่แห่งหนึ่ง หลังจากผ่านการสอบสัมภาษณ์ครั้งแรกไปแล้วผู้อำนวยการได้เรียกเขาไปสัมภาษณ์เป็นครั้งสุดท้ายก่อนตัดสินใจ ผู้อำนวยการเห็นข้อมูลในประวัติของเด็กหนุ่มคนนี้ว่ามีผลการเรียนเป็นเลิศในทุกวิชาตลอดมานับตั้งแต่อุดมศึกษาจนจบมหาวิทยาลัย ไม่ปรากฏว่าเขาทำคะแนนตกเลย
ผู้อำนวยการเริ่มคำถามว่า " เธอเคยได้รับทุนการศึกษาอะไรหรือเปล่า ?"
เด็กหนุ่มตอบว่า " ไม่เคยครับ "
ผู้อำนวยการถามต่อว่า " คุณพ่อของเธอเป็นคนจ่ายค่าเล่าเรียนให้ใช่ไหม? "
เด็กหนุ่มตอบว่า " คุณพ่อของผมเสียไปตั้งแต่ผมอายุได้ขวบเดียวครับ เป็นคุณแม่ที่จ่ายค่าเล่าเรียนให้ผม"
ผู้อำนวยการถามต่อว่า " คุณแม่ของเธอทำงานที่ไหน? "
เด็กหนุ่มตอบว่า " คุณแม่ทำงานซักรีด "
ผู้อำนวยการขอดูมือของเขา เด็กหนุ่มยื่นมือที่เรียบลื่นไม่มีที่ติให้ผู้อำนวยการดู
ผู้อำนวยการถามต่อว่า " เธอเคยช่วยคุณแม่ของเธอทำงานบ้างหรือเปล่า ?"
เด็กหนุ่มตอบว่า " ไม่เคยครับ คุณแม่ต้องการให้ผมเรียนแล้วก็อ่านหนังสือเยอะๆ คุณแม่ซักผ้าได้เร็วกว่าผมด้วยครับ "
ผู้อำนวยการบอกว่า " ฉันมีเรื่องให้เธอช่วยทำอย่างหนึ่งนะ วันนี้เธอกลับไปที่บ้าน ช่วยล้างมือของคุณแม่ของเธอแล้วกลับมาพบฉันอีกทีพรุ่งนี้เช้า "
ด้วยความมั่นใจว่าโอกาสที่จะได้งานทำมีอยู่สูงมาก เมื่อเขากลับไปถึงบ้านเขาจึงรู้สึกเต็มใจที่จะล้างมือให้แม่ของเขา ฝ่ายแม่รู้สึกประหลาดใจระคนหวั่นใจ เธอส่งมือให้ลูก หนุ่มน้อยค่อยๆ ล้างมือให้แม่ แล้วน้ำตาไหลก็ออกมา เขาเพิ่งรู้สึกว่ามือของแม่นั้นช่างเหี่ยวย่นและเต็มไปด้วยริ้วรอขูดข่วน ซึ่งบางแผลพอโดนล้างน้ำก็ทำให้แม่เจ็บจนตัวสั่นระริก
นี่เป็นครั้งแรกที่เด็กหนุ่มตระหนักรู้ว่า มือคู่นี้เองที่ซักผ้าทุกวันเพื่อหารายได้มาส่งเสียให้เขาได้เล่าเรียน รอยแผลเหล่านี้คือราคาทีแม่ต้องจ่ายไปเพื่อความสำเร็จในการศึกษาของเขา เพื่อผลการเรียนที่ยอดเยี่ยมของเขาและอาจจะเพื่ออนาคตของเขาด้วย
คืนนั้นสองแม่ลูกได้คุยกันอยู่นาน
เช้าวันต่อมา เด็กหนุ่มก็เดินทางไปที่ออฟฟิศของผู้อำนวยการ
ผู้อำนวยการสังเกตเห็นน้ำตาในดวงตาของเขา จึงถามขึ้นว่า
" ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยว่าเมื่อคืนที่บ้าน เธอทำอะไรบ้าง แล้วได้บทเรียนอะไร "
เด็กหนุ่มตอบว่า " ผมล้างมือให้แม่ครับ แล้วก็เลยช่วยแม่ซักผ้าที่เหลือจนเสร็จ "
ผู้อำนวยการบอกว่า " ช่วยเล่าให้ฉันฟังหน่อยว่า เธอรู้สึกยังไง "
เด็กหนุ่มตอบ
"ข้อที่หนึ่ง ผมได้รู้ซึ้งถึงคำว่า สำนึกในบุญคุณ
ถ้าไม่มีแม่ก็คงไม่มีความสำเร็จของผมด้วย
ข้อที่สอง จากการช่วยแม่ทำงานว่า ผมได้รู้ว่ามันลำบากยากเย็นยังไงกว่าจะทำอะไรออกมาสักอย่างหนึ่ง
ข้อที่สาม ผมได้เรียนรู้ถึงความสำคัญของความผูกพันในครอบครัว "
ผู้อำนวยการจึงบอกว่า " นี่คือสิ่งที่ฉันต้องการ
ฉันอยากได้คนที่รู้ค่าของการได้รับความช่วยเหลือ
อยากได้คนที่เข้าใจถึงความลำบากของใครสักคนในการจะทำอะไรได้มาสักอย่าง และอยากได้คนที่ไม่ได้ตั้งเงินเป็นเป้าหมายในชีวิตแต่เพียงอย่างเดียว มาเป็นผู้จัดการให้ฉัน เป็นอันตกลงว่าฉันรับเธอไว้ทำงาน "
ในเวลาต่อมา เด็กหนุ่มคนนี้ก็ได้ทำงานอย่างหนักและได้รับความนับถือจากผู้ใต้บังคับบัญชา ลูกจ้างทุกคนทำงานเป็นทีมอย่างขยันขันแข็ง กิจการของบริษัทก็เจริญก้าวหน้าเป็นอย่างดี
เด็กที่ถูกตามใจจนเป็นนิสัยได้รับทุกอย่างที่ต้องการ จะสร้างนิสัยเอาแต่ใจตัวเองและเห็นแก่ตัวเองเป็นอันดับแรก เขาจะไม่สนใจความเหนื่อยยากของพ่อแม่ เมื่อถึงวัยทำงานเขาก็จะคาดหวังว่า ใครๆจะต้องเชื่อฟังเขา เมื่อเขาเป็นผู้จัดการ เขาจึงไม่มีวันรู้ว่าบรรดาลูกจ้างนั้นลำบากอย่างไรและมักจะโทษคนอื่น คนลักษณะนี้เขาอาจจะทำงานได้ อาจจะประสบความสำเร็จช่วงหนึ่ง แต่ในที่สุดแล้ว เขาจะไม่สำเหนียกคุณค่าของความสำเร็จ หากยังคงคร่ำครวญ เคียดขึ้ง และไม่มีวันรู้สึกเพียงพอ
ถ้าเราเป็นพ่อแม่ประเภทที่ปกป้องลูกแบบนี้ จงถามตัวเราว่า
เรากำลังให้ความรักกับลูกหรือ กำลังทำลายเขากันแน่ ?
เราให้ลูกๆ มีบ้านใหญ่ๆ อยู่ กินอาหารดีๆ เรียนเปียโน ดูทีวีจอใหญ่
แต่เวลาที่เราตัดหญ้า ลองให้ลูกได้ทำด้วย หลังอาหาร ให้เขาล้างถ้วยชามของตัวเองพร้อมๆกับพี่ๆน้องๆ ไม่ใช่ว่าเราไม่มีปัญญาจ้างคนรับใช้ แต่เพราะเราอยากจะให้ความรักกับพวกเขาอย่างถูกวิธี
เราอยากให้เขาเข้าใจว่า ไม่ว่าพ่อแม่จะจนหรือจะรวย วันหนึ่งก็จะต้องผมขาวแก่เฒ่าลงไป เหมือนกับแม่ของเด็กหนุ่มคนนี้
สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ลูกของเราจะได้เรียนรู้ คือ รู้คุณค่าของความพยายาม ได้รู้จักว่า ความยากลำบากมันเป็นยังไงและได้เรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกับผู้อื่นให้เป็น
เด็กหนุ่มตอบว่า " ไม่เคยครับ "
ผู้อำนวยการถามต่อว่า " คุณพ่อของเธอเป็นคนจ่ายค่าเล่าเรียนให้ใช่ไหม? "
เด็กหนุ่มตอบว่า " คุณพ่อของผมเสียไปตั้งแต่ผมอายุได้ขวบเดียวครับ เป็นคุณแม่ที่จ่ายค่าเล่าเรียนให้ผม"
ผู้อำนวยการถามต่อว่า " คุณแม่ของเธอทำงานที่ไหน? "
เด็กหนุ่มตอบว่า " คุณแม่ทำงานซักรีด "
ผู้อำนวยการขอดูมือของเขา เด็กหนุ่มยื่นมือที่เรียบลื่นไม่มีที่ติให้ผู้อำนวยการดู
ผู้อำนวยการถามต่อว่า " เธอเคยช่วยคุณแม่ของเธอทำงานบ้างหรือเปล่า ?"
เด็กหนุ่มตอบว่า " ไม่เคยครับ คุณแม่ต้องการให้ผมเรียนแล้วก็อ่านหนังสือเยอะๆ คุณแม่ซักผ้าได้เร็วกว่าผมด้วยครับ "
ผู้อำนวยการบอกว่า " ฉันมีเรื่องให้เธอช่วยทำอย่างหนึ่งนะ วันนี้เธอกลับไปที่บ้าน ช่วยล้างมือของคุณแม่ของเธอแล้วกลับมาพบฉันอีกทีพรุ่งนี้เช้า "
ด้วยความมั่นใจว่าโอกาสที่จะได้งานทำมีอยู่สูงมาก เมื่อเขากลับไปถึงบ้านเขาจึงรู้สึกเต็มใจที่จะล้างมือให้แม่ของเขา ฝ่ายแม่รู้สึกประหลาดใจระคนหวั่นใจ เธอส่งมือให้ลูก หนุ่มน้อยค่อยๆ ล้างมือให้แม่ แล้วน้ำตาไหลก็ออกมา เขาเพิ่งรู้สึกว่ามือของแม่นั้นช่างเหี่ยวย่นและเต็มไปด้วยริ้วรอขูดข่วน ซึ่งบางแผลพอโดนล้างน้ำก็ทำให้แม่เจ็บจนตัวสั่นระริก
นี่เป็นครั้งแรกที่เด็กหนุ่มตระหนักรู้ว่า มือคู่นี้เองที่ซักผ้าทุกวันเพื่อหารายได้มาส่งเสียให้เขาได้เล่าเรียน รอยแผลเหล่านี้คือราคาทีแม่ต้องจ่ายไปเพื่อความสำเร็จในการศึกษาของเขา เพื่อผลการเรียนที่ยอดเยี่ยมของเขาและอาจจะเพื่ออนาคตของเขาด้วย
คืนนั้นสองแม่ลูกได้คุยกันอยู่นาน
เช้าวันต่อมา เด็กหนุ่มก็เดินทางไปที่ออฟฟิศของผู้อำนวยการ
ผู้อำนวยการสังเกตเห็นน้ำตาในดวงตาของเขา จึงถามขึ้นว่า
" ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยว่าเมื่อคืนที่บ้าน เธอทำอะไรบ้าง แล้วได้บทเรียนอะไร "
เด็กหนุ่มตอบว่า " ผมล้างมือให้แม่ครับ แล้วก็เลยช่วยแม่ซักผ้าที่เหลือจนเสร็จ "
ผู้อำนวยการบอกว่า " ช่วยเล่าให้ฉันฟังหน่อยว่า เธอรู้สึกยังไง "
เด็กหนุ่มตอบ
"ข้อที่หนึ่ง ผมได้รู้ซึ้งถึงคำว่า สำนึกในบุญคุณ
ถ้าไม่มีแม่ก็คงไม่มีความสำเร็จของผมด้วย
ข้อที่สอง จากการช่วยแม่ทำงานว่า ผมได้รู้ว่ามันลำบากยากเย็นยังไงกว่าจะทำอะไรออกมาสักอย่างหนึ่ง
ข้อที่สาม ผมได้เรียนรู้ถึงความสำคัญของความผูกพันในครอบครัว "
ผู้อำนวยการจึงบอกว่า " นี่คือสิ่งที่ฉันต้องการ
ฉันอยากได้คนที่รู้ค่าของการได้รับความช่วยเหลือ
อยากได้คนที่เข้าใจถึงความลำบากของใครสักคนในการจะทำอะไรได้มาสักอย่าง และอยากได้คนที่ไม่ได้ตั้งเงินเป็นเป้าหมายในชีวิตแต่เพียงอย่างเดียว มาเป็นผู้จัดการให้ฉัน เป็นอันตกลงว่าฉันรับเธอไว้ทำงาน "
ในเวลาต่อมา เด็กหนุ่มคนนี้ก็ได้ทำงานอย่างหนักและได้รับความนับถือจากผู้ใต้บังคับบัญชา ลูกจ้างทุกคนทำงานเป็นทีมอย่างขยันขันแข็ง กิจการของบริษัทก็เจริญก้าวหน้าเป็นอย่างดี
เด็กที่ถูกตามใจจนเป็นนิสัยได้รับทุกอย่างที่ต้องการ จะสร้างนิสัยเอาแต่ใจตัวเองและเห็นแก่ตัวเองเป็นอันดับแรก เขาจะไม่สนใจความเหนื่อยยากของพ่อแม่ เมื่อถึงวัยทำงานเขาก็จะคาดหวังว่า ใครๆจะต้องเชื่อฟังเขา เมื่อเขาเป็นผู้จัดการ เขาจึงไม่มีวันรู้ว่าบรรดาลูกจ้างนั้นลำบากอย่างไรและมักจะโทษคนอื่น คนลักษณะนี้เขาอาจจะทำงานได้ อาจจะประสบความสำเร็จช่วงหนึ่ง แต่ในที่สุดแล้ว เขาจะไม่สำเหนียกคุณค่าของความสำเร็จ หากยังคงคร่ำครวญ เคียดขึ้ง และไม่มีวันรู้สึกเพียงพอ
ถ้าเราเป็นพ่อแม่ประเภทที่ปกป้องลูกแบบนี้ จงถามตัวเราว่า
เรากำลังให้ความรักกับลูกหรือ กำลังทำลายเขากันแน่ ?
เราให้ลูกๆ มีบ้านใหญ่ๆ อยู่ กินอาหารดีๆ เรียนเปียโน ดูทีวีจอใหญ่
แต่เวลาที่เราตัดหญ้า ลองให้ลูกได้ทำด้วย หลังอาหาร ให้เขาล้างถ้วยชามของตัวเองพร้อมๆกับพี่ๆน้องๆ ไม่ใช่ว่าเราไม่มีปัญญาจ้างคนรับใช้ แต่เพราะเราอยากจะให้ความรักกับพวกเขาอย่างถูกวิธี
เราอยากให้เขาเข้าใจว่า ไม่ว่าพ่อแม่จะจนหรือจะรวย วันหนึ่งก็จะต้องผมขาวแก่เฒ่าลงไป เหมือนกับแม่ของเด็กหนุ่มคนนี้
สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ลูกของเราจะได้เรียนรู้ คือ รู้คุณค่าของความพยายาม ได้รู้จักว่า ความยากลำบากมันเป็นยังไงและได้เรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกับผู้อื่นให้เป็น
ได้รู้ซึ้งถึงคำว่า สำนึกในบุญคุณได้เรียนรู้ถึงความสำคัญของความผูกพันในครอบครัว...รู้ค่าของการได้รับความช่วยเหลือ
ตอบลบมันคือความจริงครับ คนรวยสมัยนี้มักจะสอนลูกด้วยการให้รางวัลเป็นสิ่งของเงินทองตอบแทน สิ่งเหล่านี้ไม่ได้สอนให้เด็กรู้ว่าจักคำว่า อดทน อดกลั้น อดอยาก เป็นแบบไหน คนสมัยนี้ถึงไม่ค่อยอดทนต่องานกันเยอะ บางทีการสอนลูกแบบ ถ้าทำได้พ่อให้รางวัลนะ แม่ให้รางวัลนะ มันกลายเป็นสิ่งที่ติดตัวเด็กมาจนโต "พ่อแม่รังแกฉัน"
ตอบลบบางที่ความต้องการของพ่อ แม่ ก็อาจจะทำให้เราลืมนึกไปเลยว่าหน้าที่ที่เราได้รับมันแค่เศษเสี้ยวที่ท่านได้ทำไห้เราเลที่เดียว
ตอบลบสวดยอดเลยเสี่ยแบงค์ อ่านแล้วได้แง่คิดดีๆหลายข้อเลย ซึ้งมากๆ
ตอบลบโดยส่วนมากพ่อแม่จะรักลูกแบบไข่ในหินลูกจะทำอะไรไม่เป็น เหมือนกับพ่อแม่ฆ่าลูกทางอ้อม ดังสุภาษิตกล่าวไว้ว่า "รักวัวไว้ผูก รักลูกให้ตี"
ตอบลบของที่ได้มาด้วยความลำบากเราก็จะรู้ถึงคุณค่าในของสิ่งนั้นครับเช่น.....เงิน
ตอบลบพนักงานSolvay ใครเลี้ยงลูกแบบนี้บ้าง ลองให้เขาทำงานสักนิดจะได้รู้คุณค่าของการทำงานว่าเหนือยหรือลำบากแค่ไหน เงินมันหาได้ง่ายหรือเปล่า
ตอบลบเมื่อมีโอกาสและมีงานให้ทำ ควรเต็มใจทำโดยไม่จำเป็นต้องตั้งข้อแม้หรือเงื่อนไขอันใดไว้ให้เป็นเครื่องกีดขวาง คนที่ทำงานได้จริงๆนั้น ไม่ว่าจะจับงานสิ่งใดย่อมทำได้เสมอ ถ้ายิ่งมีความเอาใจใส่ มีความขยันซื่อสัตย์สุจริต ก็ยิ่งจะช่วยให้ประสบผลสำเร็จในงานที่ทำสูงขึ้น
ตอบลบ...พระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว...
“การดำรงชีวิตที่ดีจะต้องปรับปรุงตัวตลอดเวลา การปรับปรุงตัวจะต้องมีความเพียรและความอดทน เป็นที่ตั้ง ถ้าคนเราไม่หมั่นเพียร ไม่มีความอดทน ก็อาจจะท้อใจไปโดยง่าย เมื่อท้อใจไปแล้ว ไม่มีทางที่จะมีชีวิตเจริญรุ่งเรืองแน่ๆ”
ตอบลบ“ความเข้มแข็งในจิตใจนี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่จะต้องฝึกฝนแต่เล็กเพราะว่าต่อไป ถ้ามีชีวิตที่ลำบาก ไปประสบอุปสรรคใดๆ ถ้าไม่มีความเข้มแข็ง ไม่มีความรู้ ไม่มีทางที่จะผ่านอุปสรรคนั้นได้ เพราะว่าถ้าไม่เจออุปสรรคอะไร ก็ไม่มีอะไรที่จะมาช่วยเราได้แต่ถ้ามีความรู้ มีอัธยาศัยที่ดี และมีความเข้มแข็ง ในกาย ในใจ ก็สามารถที่จะผ่านพ้นอุปสรรคต่างๆ นั้นได้”
ตอบลบความเป็นแม่อยากให้ลูกทำหน้าที่ที่มีอยู่อย่างดีที่สุดนั้นคือการเรียน ซึ่งแม่จะยอมทำงานทุกอย่างให้ลูกได้ทำหน้าที่ที่ของตนเองและเมื่อจบออกมาแล้ว แม่จะภูมิใจในความสำเร็จของลูกถึงแม้จะลำบากเหนื่อยล้าขนาดไหนก็ไม่เคยบ่นให้ลูกได้ยิน เป็นบทความที่ดีจริงๆ
ตอบลบอย่าสอนลูกให้เป็น.."คนรวย"
ตอบลบแต่...สอนให้เป็น.."คนมีความสุข"
เพราะเมื่อเขาเติบโตขึ้น...
เขาจะตัดสินคนอื่นด้วย.."คุณค่า"
ไม่ใช่.."ราคา"
อ่านแล้วโดนใจมากกกก...ก เป็นการสอนคนให้รู้ถึงคุณค่าของชีวิต รู้คุณของพ่อแม่ และเข้าใจความรู้สึกต่อผู้ร่วมงาน
ตอบลบอ่านบทความแล้วรู้สึกว่าตัวเราเอง ก็ได้ตอบแทนบุญคุณ ของพ่อเเม่ท่ีได้ให้อนคตกับเรา
ตอบลบทุกวันนี้เราก็มีโอกาศได้ตอบแทนบุญคุณ ของพ่อแม่แล้ว
ตอบลบรู้สึกมานานแล้วว่าบางครั้ง เราตั้งวงกินเหล้า ไปเที่ยวพับ เสียเงินมากมาย แลัวพ่อแม่ล่ะเงินท่ีเสียไปเอาไปให้พ่อแม่ดีกว่า
ตอบลบสุดท้ายพ่อแม่ก็คือพระผู้มีพระคุณท่ีผมจะไม่มีวันลืมไม่ว่าผมจะยืนในจุดในก็ตามและจะตอบแทนบุญคุณตลอดไป
ตอบลบจากประสบการณ์ท่ีผ่านมาเวลาคุณล้ม คุณผิดหวัง คุณมีความทุกข์ คุณจะนึกถึงพ่อแม่ แต่เมื่อคุณมีความสุข คุณคิดถึงใคร
ตอบลบวันนี้ผมมีโอกาศได้ทำงานท่ีดี เงินเดือนที่ดี พ่อแม่ก็ต้องอยู่ดีกินดีด้วยตามเงินเดือนครับ รักพ่อแม่ จะตั้งใจทำงานครับ(ตามความสามารถและศักกายาพตัวเอง)
ตอบลบบทความของผมนี่อ่านกี่ทีมันก็ซึ้งกินใจทุกที....
ตอบลบเราควรดูแลพ่อแม่เหมือนที่พ่อแม่ดูเราให้ดีที่สุด แค่นี้ พ่อแม่ก็ภูมิใจแล้ว
ตอบลบคนเรามีทุกข์ก็ต้องมีสุข เคยสมหวังก็ต้องมีผิดหวัง มีได้ก็ต้องมีเสีย แต่ใครกันที่คอยปลอบใจคอยให้กำลังใจคอยให้คำปรึกษาเรา นอกจากพ่อแม่ ฉะนั้นควร กตัญญูกับพ่อแม่ให้ดีที่สุด
ตอบลบบทความนี้ผมเคยอ่านในFBแล้ว แล้วมาอ่านซ้ำอีกบทความนี้ก็ยังกินใจเหมือนเดิม การบอกให้รู้ถึงความทุ่มเทของพ่อและแม่ทำทุกอย่างเพื่ออนาคตของลูกอย่างแท้จริง ฉะนั้นอย่าลืมบุญคุณพ่อแม่พร้อมกับบุคลอื่นที่มีพระคุณต่อเรา
ตอบลบผมเข้าใจความรู้สึกถึงความรักความทุ่มเท ทั้งแรงกาย แรงใจ ที่พ่อแม่มีให้กับลูก ตั้งแต่ผมมีลูกและครอบครัวของผมเองและผมคิดว่า ความดีที่ผมทำให้กับพ่อแม่ และความไม่ดีที่เคยทำนั้น มันคงจะย้อนกับมาหาผมสักวันหนึ่งตั้งแตผมรู้ ว่าผมมีลูกเป็นผู้หญิง แต่เหนือสิ่งอื่นใดจงทำความดีรักท่านตอนที่ท่านอย่ ดีกว่ารักท่านตอนที่ท่านไม่อยู่แล้ว
ตอบลบสักวันคุณจะเข้าใจว่า ไม่มีใครรักคุณเท่า พ่อ แม่ ของคุณหรอก จงทำดีกับท่านไว้ และตอบแทนท่าน ให้มากๆๆๆ
ตอบลบใจเขาใจเราอยู่กันด้วยความเข้าใจเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน
ตอบลบพ่อแม่คือคนที่ให้กำเนิดเราเกิดมาเรามีวันนี้มายืนอยู่ในจุดนี้ได้ก็เพราะพ่อแม่เขาเปรียบพ่อแม่คือพระในบ้านหากคนไหนไม่เคารพพ่อแม่ก็ไม่ต้องไปเที่ยวหากราบไหว้พระที่ไหนหรอกในตอนที่ท่านมีชีวิตอยู่จงทำดีกับท่านให้มากๆก่อนที่จะไม่มีโอกาศไม่เคยกอดก็กอดท่านซะ
ตอบลบตอนเด็กๆสมัยเรียน...เคยอ่านหนังสือเรื่อง "พ่อแม่รังแกฉัน" แนวข้อคิดคล้ายๆกันครับ บางครั้งที่เค้าด่าเค้าว่าก็เพราะเค้ารัก เราทุกคนจึงได้เติบโตเป็นคนดีมาอยู่สังคมที่ดีในวันนี้
ตอบลบพ่อแม่คือพระอรหันต์ของลูก
ตอบลบตอนสวดมนต์ไหว้พระ เค้าให้กราบพ่อแม่ด้วย
"มาตาปิตุคุณัง อะห้งวันทามิ"
พ่อเเม่คือพระอรหันต์ของลูกๆ เพราะฉนั้นเราก็คิดเอาเองละกันว่าเราจะทำตัว หรือสอนลูกอย่างไร
ตอบลบอ่านแล้วคิดถึงแม่เลย บทความนี้ดีมากเลยครับ พ่อแม่ก็คือพระผู้มีพระคุณต้องหาเวลากลับไปเยี่ยมซะแล้ว
ตอบลบดีมากเลยคับอ่านแล้วนึกถึง แม่กับพ่อเลย สิ่งที่เราต้องทำวันนี้เราต้องตอบแทนพระคุณของท่านคับ
ตอบลบมีเรื่องเเบบนี้มาให้อ่าน ถือว่าดีมากเลยครับ คนบางคนที่ประสบความสำเร็จมากมาย มีหน้าที่การงานใหญ่โต มีเงินทองมากมาย เเต่ไม่เหลือพ่อเเม่ อยู่ชื่มชมความสำเร็จนั้นก้อไร้ค่า ตายไปก้อเอาไปไม่ได้ คนเหล่านั้นช่างน่าสงสารกว่าเราเสียอีก
ตอบลบให้เเนวคิดดีมากเลย BANK
ตอบลบคุณค่าที่สำคัญที่สุดคือการเลี้ยงดูพ่อแม่ยามแก่เท่าเพราะท่านเป็นผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูเราจนเติบโต
ตอบลบ