By Panya U.
ว้าว!! 4 ข้อดีของการบริจาคโลหิต แข็งแรง หน้าใส ไกลมะเร็ง
สวัสดีค่ะน้องๆ... ช่วงนี้ใครที่เล่นเฟซบุ๊กเป็นประจำอาจจะเห็นการประชาสัมพันธ์บนไทม์ไลน์เกี่ยวกับการรับบริจาคโลหิตในขณะนี้ เนื่องจากสภากาชาดไทยขาดแคลนโลหิตทุกกรุ๊ป มีปริมาณโลหิตที่ได้รับบริจาคเหลือเพียงวันละ 1,200 ยูนิต ในขณะที่ยอดขอใช้โลหิตจากโรงพยาบาลทั่วประเทศสูงถึงวันละ 5,000 ยูนิต
พอข่าวนี้กระจายปุ๊บ วันต่อๆ มาก็มีผู้ใจบุญไปร่วมบริจาคกันแบบพร้อมหน้าพร้อมตา แต่ต่อให้มีคนไปบริจาคมากแค่ไหน คลังเลือดก็ยังต้องการเลือดอยู่ตลอดเวลานะคะ เพราะฉะนั้นหากสามารถบริจาคได้ก็อยากเชิญชวนให้น้องๆ ไปบริจาคโลหิตกันสักครั้งค่ะ
เบื้องต้น พี่มิ้นท์จะขออธิบายเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้บริจาคซักเล็กน้อย เผื่อหลายคนกำลังสงสัยอยู่ว่าตัวเองบริจาคได้รึเปล่า? มาเช็คพร้อมๆ กันเลยค่ะ
- อายุ 17-60 ปี หากอายุต่ำกว่า 16 ปี ต้องมีหนังสือยินยอมจากผู้ปกครอง
- น้ำหนักไม่ต่ำกว่า 45 กิโลกรัม (สาวๆ หลายคนบริจาคไม่ได้เพราะข้อนี้นี่แหละ)
- ควรรับประทานอาหารก่อนบริจาคเลือด และต้องนอนหลับอย่างน้อย 6 ชั่วโมง
- ไม่อยู่ระหว่างกินยาปฏิชีวนะ และไม่อยู่ภายใน 72 ชั่วโมงหลังการถอนฟัน รวมถึงไม่มีแผลสด แผลติดเชื้อตามร่างกาย
- ไม่มีโรคที่อาจถ่ายทอดไปยังผู้ป่วย
- สำหรับผู้หญิงไม่ควรเป็นช่วงที่มีประจำเดือน เพราะจะทำให้เสียเลือดซ้ำซ้อน
- ไม่อยู่ในระหว่างตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร เพราะน้ำนมผลิตมาจากเลือก หากบริจาคเลือดอาจทำให้น้ำหมดลดน้อยลง
คุณสมบัติที่กำหนดไว้ก็เพื่อให้ได้เลือดที่มีคุณภาพและปลอดภัยมาใช้กับผู้ป่วยและเป็นการห่วงใยสุขภาพผู้บริจาคเลือดไปในตัวด้วย เพราะถ้าผู้บริจาคเลือดร่างกายไม่พร้อมแล้วยังจะมาบริจาคเลือดอีก คนที่แย่อาจเป็นตัวเองก็ได้
ศิลปินมาบริจาคเลือด หน้าตาอิ่มสุขทุกคน
มาถึงตรงนี้น้องๆ หลายคนมีคุณสมบัติครบ ขาดแค่อย่างเดียว! คือ ความกล้า แค่เห็นเข็มกับเลือดก็อยากจะถอยหนี และจินตนาการกันไปก่อนว่าจะต้องเจ็บแน่นอน ซึ่งในความเป็นจริงก็อาจจะเจ็บ(พูดกันตามตรง) แต่ก็เจ็บเพียงแค่ชั่วอึดใจเท่านั้น ถ้าแลกกับการได้ทำบุญที่ยิ่งใหญ่ และช่วยเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน พี่มิ้นท์ว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากเลยนะคะ ซึ่งนอกจากจะได้ช่วยชีวิตผู้อื่นซึ่งเป็นหัวใจของการบริจาคแล้ว พี่มิ้นท์จะบอกถึงข้อดีอื่นๆ เชื่อได้ถ้าได้อ่านแล้วอาจเปลี่ยนใจน้องๆ ที่ยังกล้าๆ กลัวๆ ให้ลุกขึ้นแล้วไปที่สภากาชาดอย่างเต็มใจได้ค่ะ :D
ข้อดีข้อที่ 1 ทำให้สุขภาพแข็งแรง
น้องๆ สงสัยกันมั้ยคะ ว่าการบริจาคเลือด เป็นการเอาเลือดออกจากตัวแล้วร่างกายจะแข็งแรงขึ้นได้ยังไง? จริงๆ เลือดที่บริจาคออกไปเป็นเลือดส่วนเกินของร่างกายค่ะ หรือประมาณ 7% ของปริมาณเลือดทั้งหมดในร่างกาย โดยก่อนจะบริจาคจะมีการพิจารณาจากน้ำหนักตัวของผู้ให้บริจาคก่อน ดังนั้นเลือดที่เสียไปจะไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ตรงกันข้ามกลับกระตุ้นให้ไขกระดูกผลิตเม็ดโลหิตใหม่ขึ้นมาแทน ระบบไหลเวียนของเลือดจะดีขึ้น ทำให้ร่างกายแข็งแรมตามมาค่ะ
แต่อย่าลืมว่าบริจาคเสร็จไม่ได้แข็งแรงทันทีถึงขนาดออกไปเตะบอลได้นะคะ ของเหล่านี้ต้องใช้เวลาซักเล็กน้อย ที่สำคัญเมื่อบริจาคเสร็จแล้ว น้องๆ ควรนั่งพักและทานของว่างที่ทางเจ้าหน้าที่เตรียมไว้ให้ ให้ร่างกายปรับสภาพน้ำในร่างกายได้ก่อน แล้วค่อยเดินทางกลับนะคะ
ข้อดีข้อที่ 2 หุ่นดี เพรียวลม ผิวเปล่งปลั่ง
มีความเชื่อผิดๆ กันอยู่อย่างนึงว่าการบริจาคเลือดจะทำให้อ้วนขึ้น ทำให้สาวๆ ไม่ค่อยกล้าบริจาค แต่จากข้อมูลของ สสวท.ได้ออกมาเปิดเผยว่าเป็นความเชื่อที่ผิด การบริจาคเลือดไม่ได้ทำให้อ้วน แต่กลับทำให้ผู้บริจาคมีรูปร่างที่ดีขึ้นด้วยซ้ำไป นอกจากนี้เลือดใหม่ที่ถูกผลิตขึ้นรวมทั้งการไหลเวียนของเลือดที่ดีขึ้น จะช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวล และยังช่วยให้หน้าใสขึ้นด้วยนะคะ
ไม่ต้องกินวิตามินเสริม น้องๆ ก็สามารถมีผิวพรรณสดใสได้เหมือนกันนะ^^
ข้อดีข้อที่ 3 ลดความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งได้ด้วย
สถาบันคาโรลินสกา สตอคโฮล์ม สวีเดน ได้ศึกษาข้อมูลจากผู้บริจาคเลือดสวีเดนและเดนมาร์ค พบว่า การบริจาคเลือดช่วยลดความเสี่ยงจากมะเร็งได้หลายชนิดเลยค่ะ เช่น มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งกระเพาะอาหาร ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีข้อมูลเพิ่มเติมว่าในรายที่มีธาตุเหล็กในร่างกายมากเกินไป มีผลต่อการเกิดโรคเส้นเลือดหัวใจอุดตันหรือมะเร็งบางชนิด การบริจาคเลือดจะช่วยลดปริมาณธาตุเหล็กส่วนเกินเหล่านั้นออกไปได้
และที่เซอร์ไพร์สสุดๆ เลย ก็คือ ยิ่งเราบริจาคเลือดบ่อยเท่าไหร่ ความเสี่ยงโรคมะเร็งจะลดลงมากเท่านั้น โดยเฉพาะในเพศชายค่ะ แต่ความถี่ของการบริจาคเลือดระบุไว้ว่า เพศชายสามารถบริจาคได้ทุก 3 เดือน และเพศหญิงทุก 6 เดือน ดังนั้นอย่ากลัวมะเร็งจนวิ่งบริจาคทุกเดือนนะคะ ร่างกายจะรับไม่ไหวเอา
ข้อดีข้อที่ 4 มีสิทธิพิเศษสำหรับผู้บริจาคเลือด
ผู้บริจาคเลือดยังได้สิทธิพิเศษในเรื่องการรักษาพยาบาล ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องที่หลายคนยังไม่รู้ โดย
1. ผู้บริจาคโลหิต 7 ครั้งขึ้นไป สามารถขอใช้สิทธิ์ช่วยเหลือค่าห้องพิเศษและค่าอาหารพิเศษได้ไม่เกินร้อยละ50
2. ผู้บริจาคโลหิต 9 ครั้งขึ้นไป สามารถขอใช้สิทธิ์ตรวจวิเคราะห์สารเคมีในโลหิตได้ เชน ตรวจหาน้ำตาล ไขมัน การทำงานของตับ การทำงานของไต เป็นต้น
3. ผู้บริจาคโลหติ 16 ครั้งขึ้นไป สามารถขอใช้สิทธิ์ช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาล+ ค่าห้องพิเศษและค่าอาหาร ได้ร้อยละ 50
4. ผู้บริจาคโลหิต 24 ครั้งขึ้นไป สามารถขอใช้สิทธิ์ช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาล100% + ค่าห้องพิเศษและค่าอาหาร ได้ร้อยละ 50
5. ผู้บริจาคโลหิต 100 ครั้งขึ้นไป สามารถขอใช้สิทธิ์ "ขอพระราชทานเพลิงศพ" ได้เป็นกรณีพิเศษ
เห็นมั้ยล่ะคะว่า การบริจาคเลือดนั้นเราไม่ได้เป็นผู้ให้เพียงอย่างเดียว แต่เรายังเป็น "ผู้รับ" ที่เกิดจากการให้ของเราเอง ยิ่งเราให้เลือดเพื่อต่อลมหายใจของเขา ก็เท่ากับยืดอายุของเรามากขึ้นด้วย เรียกว่าเป็นผลบุญติดจรวด ไม่ต้องรอถึงชาติหน้าค่ะ
น้องๆ ที่มีคุณสมบัติครบ สามารถบริจาคเลือดได้ หากสนใจบริจาคสามารถไปได้ที่ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทยได้ทุกวัน หรือที่รถรับบริจาคโลหิตเคลื่อนที่ สำหรับน้องๆ ที่ยังบริจาคไม่ได้ ไม่ว่าจะอายุไม่ถึง น้ำหนักไม่ผ่าน หรือมีโรคประจำตัวที่ห้ามบริจาคเลือด ก็สามารถบอกต่อคนอื่นและแนะนำให้มาบริจาคเลือด แค่นี้ก็ได้บุญแล้วล่ะจ้า
- อายุ 17-60 ปี หากอายุต่ำกว่า 16 ปี ต้องมีหนังสือยินยอมจากผู้ปกครอง
- น้ำหนักไม่ต่ำกว่า 45 กิโลกรัม (สาวๆ หลายคนบริจาคไม่ได้เพราะข้อนี้นี่แหละ)
- ควรรับประทานอาหารก่อนบริจาคเลือด และต้องนอนหลับอย่างน้อย 6 ชั่วโมง
- ไม่อยู่ระหว่างกินยาปฏิชีวนะ และไม่อยู่ภายใน 72 ชั่วโมงหลังการถอนฟัน รวมถึงไม่มีแผลสด แผลติดเชื้อตามร่างกาย
- ไม่มีโรคที่อาจถ่ายทอดไปยังผู้ป่วย
- สำหรับผู้หญิงไม่ควรเป็นช่วงที่มีประจำเดือน เพราะจะทำให้เสียเลือดซ้ำซ้อน
- ไม่อยู่ในระหว่างตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร เพราะน้ำนมผลิตมาจากเลือก หากบริจาคเลือดอาจทำให้น้ำหมดลดน้อยลง
คุณสมบัติที่กำหนดไว้ก็เพื่อให้ได้เลือดที่มีคุณภาพและปลอดภัยมาใช้กับผู้ป่วยและเป็นการห่วงใยสุขภาพผู้บริจาคเลือดไปในตัวด้วย เพราะถ้าผู้บริจาคเลือดร่างกายไม่พร้อมแล้วยังจะมาบริจาคเลือดอีก คนที่แย่อาจเป็นตัวเองก็ได้
ศิลปินมาบริจาคเลือด หน้าตาอิ่มสุขทุกคน
มาถึงตรงนี้น้องๆ หลายคนมีคุณสมบัติครบ ขาดแค่อย่างเดียว! คือ ความกล้า แค่เห็นเข็มกับเลือดก็อยากจะถอยหนี และจินตนาการกันไปก่อนว่าจะต้องเจ็บแน่นอน ซึ่งในความเป็นจริงก็อาจจะเจ็บ(พูดกันตามตรง) แต่ก็เจ็บเพียงแค่ชั่วอึดใจเท่านั้น ถ้าแลกกับการได้ทำบุญที่ยิ่งใหญ่ และช่วยเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน พี่มิ้นท์ว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากเลยนะคะ ซึ่งนอกจากจะได้ช่วยชีวิตผู้อื่นซึ่งเป็นหัวใจของการบริจาคแล้ว พี่มิ้นท์จะบอกถึงข้อดีอื่นๆ เชื่อได้ถ้าได้อ่านแล้วอาจเปลี่ยนใจน้องๆ ที่ยังกล้าๆ กลัวๆ ให้ลุกขึ้นแล้วไปที่สภากาชาดอย่างเต็มใจได้ค่ะ :D
ข้อดีข้อที่ 1 ทำให้สุขภาพแข็งแรง
น้องๆ สงสัยกันมั้ยคะ ว่าการบริจาคเลือด เป็นการเอาเลือดออกจากตัวแล้วร่างกายจะแข็งแรงขึ้นได้ยังไง? จริงๆ เลือดที่บริจาคออกไปเป็นเลือดส่วนเกินของร่างกายค่ะ หรือประมาณ 7% ของปริมาณเลือดทั้งหมดในร่างกาย โดยก่อนจะบริจาคจะมีการพิจารณาจากน้ำหนักตัวของผู้ให้บริจาคก่อน ดังนั้นเลือดที่เสียไปจะไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ตรงกันข้ามกลับกระตุ้นให้ไขกระดูกผลิตเม็ดโลหิตใหม่ขึ้นมาแทน ระบบไหลเวียนของเลือดจะดีขึ้น ทำให้ร่างกายแข็งแรมตามมาค่ะ
แต่อย่าลืมว่าบริจาคเสร็จไม่ได้แข็งแรงทันทีถึงขนาดออกไปเตะบอลได้นะคะ ของเหล่านี้ต้องใช้เวลาซักเล็กน้อย ที่สำคัญเมื่อบริจาคเสร็จแล้ว น้องๆ ควรนั่งพักและทานของว่างที่ทางเจ้าหน้าที่เตรียมไว้ให้ ให้ร่างกายปรับสภาพน้ำในร่างกายได้ก่อน แล้วค่อยเดินทางกลับนะคะ
ข้อดีข้อที่ 2 หุ่นดี เพรียวลม ผิวเปล่งปลั่ง
มีความเชื่อผิดๆ กันอยู่อย่างนึงว่าการบริจาคเลือดจะทำให้อ้วนขึ้น ทำให้สาวๆ ไม่ค่อยกล้าบริจาค แต่จากข้อมูลของ สสวท.ได้ออกมาเปิดเผยว่าเป็นความเชื่อที่ผิด การบริจาคเลือดไม่ได้ทำให้อ้วน แต่กลับทำให้ผู้บริจาคมีรูปร่างที่ดีขึ้นด้วยซ้ำไป นอกจากนี้เลือดใหม่ที่ถูกผลิตขึ้นรวมทั้งการไหลเวียนของเลือดที่ดีขึ้น จะช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวล และยังช่วยให้หน้าใสขึ้นด้วยนะคะ
ไม่ต้องกินวิตามินเสริม น้องๆ ก็สามารถมีผิวพรรณสดใสได้เหมือนกันนะ^^
ข้อดีข้อที่ 3 ลดความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งได้ด้วย
สถาบันคาโรลินสกา สตอคโฮล์ม สวีเดน ได้ศึกษาข้อมูลจากผู้บริจาคเลือดสวีเดนและเดนมาร์ค พบว่า การบริจาคเลือดช่วยลดความเสี่ยงจากมะเร็งได้หลายชนิดเลยค่ะ เช่น มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งกระเพาะอาหาร ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีข้อมูลเพิ่มเติมว่าในรายที่มีธาตุเหล็กในร่างกายมากเกินไป มีผลต่อการเกิดโรคเส้นเลือดหัวใจอุดตันหรือมะเร็งบางชนิด การบริจาคเลือดจะช่วยลดปริมาณธาตุเหล็กส่วนเกินเหล่านั้นออกไปได้
และที่เซอร์ไพร์สสุดๆ เลย ก็คือ ยิ่งเราบริจาคเลือดบ่อยเท่าไหร่ ความเสี่ยงโรคมะเร็งจะลดลงมากเท่านั้น โดยเฉพาะในเพศชายค่ะ แต่ความถี่ของการบริจาคเลือดระบุไว้ว่า เพศชายสามารถบริจาคได้ทุก 3 เดือน และเพศหญิงทุก 6 เดือน ดังนั้นอย่ากลัวมะเร็งจนวิ่งบริจาคทุกเดือนนะคะ ร่างกายจะรับไม่ไหวเอา
ข้อดีข้อที่ 4 มีสิทธิพิเศษสำหรับผู้บริจาคเลือด
ผู้บริจาคเลือดยังได้สิทธิพิเศษในเรื่องการรักษาพยาบาล ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องที่หลายคนยังไม่รู้ โดย
1. ผู้บริจาคโลหิต 7 ครั้งขึ้นไป สามารถขอใช้สิทธิ์ช่วยเหลือค่าห้องพิเศษและค่าอาหารพิเศษได้ไม่เกินร้อยละ50
2. ผู้บริจาคโลหิต 9 ครั้งขึ้นไป สามารถขอใช้สิทธิ์ตรวจวิเคราะห์สารเคมีในโลหิตได้ เชน ตรวจหาน้ำตาล ไขมัน การทำงานของตับ การทำงานของไต เป็นต้น
3. ผู้บริจาคโลหติ 16 ครั้งขึ้นไป สามารถขอใช้สิทธิ์ช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาล+ ค่าห้องพิเศษและค่าอาหาร ได้ร้อยละ 50
4. ผู้บริจาคโลหิต 24 ครั้งขึ้นไป สามารถขอใช้สิทธิ์ช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาล100% + ค่าห้องพิเศษและค่าอาหาร ได้ร้อยละ 50
5. ผู้บริจาคโลหิต 100 ครั้งขึ้นไป สามารถขอใช้สิทธิ์ "ขอพระราชทานเพลิงศพ" ได้เป็นกรณีพิเศษ
เห็นมั้ยล่ะคะว่า การบริจาคเลือดนั้นเราไม่ได้เป็นผู้ให้เพียงอย่างเดียว แต่เรายังเป็น "ผู้รับ" ที่เกิดจากการให้ของเราเอง ยิ่งเราให้เลือดเพื่อต่อลมหายใจของเขา ก็เท่ากับยืดอายุของเรามากขึ้นด้วย เรียกว่าเป็นผลบุญติดจรวด ไม่ต้องรอถึงชาติหน้าค่ะ
น้องๆ ที่มีคุณสมบัติครบ สามารถบริจาคเลือดได้ หากสนใจบริจาคสามารถไปได้ที่ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทยได้ทุกวัน หรือที่รถรับบริจาคโลหิตเคลื่อนที่ สำหรับน้องๆ ที่ยังบริจาคไม่ได้ ไม่ว่าจะอายุไม่ถึง น้ำหนักไม่ผ่าน หรือมีโรคประจำตัวที่ห้ามบริจาคเลือด ก็สามารถบอกต่อคนอื่นและแนะนำให้มาบริจาคเลือด แค่นี้ก็ได้บุญแล้วล่ะจ้า
เคยบริจาคตั้งเเต่เรียนเเล้ว ประมาน5-6 ครั้ง เห็นข้อดีของการบริจากเลือดเเล้วเห็นทีจะต้องเริ่มบริจาคไหม่เเล้วละ
ตอบลบบริจากบ่อยๆ หน้าตาจะได้เป๊นละอ่อน
ครับช่วยๆกัน บริจาก จะทำให้หนุ่มขึ้นครับ
ลบครับอีกอย่างที่ไม่ได้กล่าวไว้คือ เราสามารถเบิกเลือดให้กลับครอบครัวเราได้จากสภากาชาติได้ถ้าโรงบาลขาดเลือด ซึ่งจุดนี้เองทำให้ผมได้เริ่มมีความคิดที่จะบริจากเลือด เพราะจากประสบการณ์แม่จะผ่าตัดแต่ไม่มีเลือด มีคนแนะนำให้บริจากเลือด เพราะเราสามารถเรียกเลือดของเราจากสภากาชาติได้เป็นกรณีพิเศษ จะเห็นว่ามันได้ประโยชน์มากมาย ลองบริจากกันดูครับ
ตอบลบผมเกิดมาไม่เคย บริจาคเลือดเลย ไม่รู้ว่าเลือดที่มี คลอเลสเตอรอล สูง บริจาคได้ไหมครับ
ตอบลบแล้วเวลา เจาะเลือดรู้สึก ปวดหัว และ เวียนหัว และมี ช้ำเลือดตามลำตัว เลยไม่กล้าไปบริจาคครับ
ขอ ข้อมูลคนรู้หน่อยครับ ว่า เป็น อะไร ขอบคุณครับ
ดีมากครับเป็นการทำบุญอีกวิธีด้วย
ตอบลบ...ดีนะครับ บริจาคเลือด หลักๆเลยเราได้บุญแน่นอนครับเพราะได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ผมบริจาคประจำครับ วันที่ 1 ที่ผ่านมาก็ได้เข้าเฝ้าพระเทพ ถือเป็นเกียรติกับตัวเองอย่างสูงครับ
ตอบลบยินดีด้วยกับท่านอ๋องที่ท่านได้เข้าเฝ้าพระเทพถือว่าเป็นสิ่งมงคลอันสูงสุดก่อนที่ท่านอ๋องจะอุปสมบทเข้าไปในร่มกาสาวพัตร์ ตอนนี้พี่บริจาคเลือดได้ 6ครั้งแล้ว พี่จะพยายามบริจาคต่อไปถือว่าเป็นการทำบุญทางเลือกหนึ่งเพื่อช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
ตอบลบขอบคุณครับพี่นครา...ดีครับพี่มาช่วยกันบริจาคเลือดด้วยกันได้บุญกุศลด้วย
ลบทำให้ร่างกายดีขึ้นเพราะ ได้ถ่ายเลือด ตลอด แถม ยังได้บุญกุศลอีกตั้งหาก อะไรมันจะดีขนาดนี้
ตอบลบเห็นเข็มแล้วน่ากลัวเพราะคนส่วนมากจจะกลัวเข็มฉีดยา น่าจะมีวิธีอื่นที่ใช้บริจาคโลหิตอาจจะเพิ่มปริมาณคนที่ไปบริจาคก็ได้
ตอบลบข้อดีทางจิตใจ ความรู้สึกว่าเป็นผู้ให้ ได้ทำทาน ได้ช่วยชีวิตคน ย่อมทำให้รู้สึกสุขใจ
ตอบลบเคยบริจาคเลือดเหมือนกันหลายปีมาแล้วตอนสมัยเรียนปวส.โน้น
ตอบลบยอมรับว่าดีแก่ร่างกายและยังได้บุญกุศลด้วย
แต่ตอนนี้ระดับคลอเรสเตอรอลในเลือดยังสูงอยู่เลยประกอบกับความดันก็ยังสูงอยู่
ไม่รู้ว่าจะบริจาคได้อีกหรือป่าว...
พวกนี้ไม่เกี่ยวกับการบริจาค หลักๆก็จะเป็นพวกโลหิตจาง มีปัญหาเกี่ยวกับโรคของเลือด ถึงจะบริจาคไม่ได้ครับ
ลบผู้มีความผิดปกติจากเลือด เช่น ภาวะโลหิตจาง หรือเกล็ดเลือดต่ำ จะไม่สามารถบริจาคโลหิตได้ ความผิดปกติเหล่านี้ทราบได้จากการตรวจร่างกายสม่ำเสมอ เช่น การตรวจร่างกายประจำปีครับ
ตอบลบยินดีกับท่านอ๋องด้วยครับ บริจาคโลหิตสร้างกุศล จนได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระเทพฯ เลยทีเดียว
ขอบคุณครับพี่นูน
ลบผมพึ่งเคยบริจาคได้ครั้งเดียวเองครับ เสียวสุดๆ แต่ก็ผ้่นไปด้วยดี แต่ที่จริงแล้วมันก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เราคิดไว้นะครับ ไว้มีโอกาสจะไปอีกแน่นอน
ตอบลบคุณสมบัติของคนที่สามารถบริจาคเลือดได้มีอะไรบ้าง....ถ้าในตัวผมมีครบคุณสมบัติผมก็จะไปบริจาคกะเค้าบ้าง......ในชีวิตยังไม่เคยเลย
ตอบลบก็น้ำหนัก 60 กก. ขึ้นไป หลักๆ ไม่เป็นโรคโลหิตจาง เกล็ดเลือดต่ำ ไม่ทานยาแก้อักเษบ ก่อนบริจาค 7 วัน
ลบแค่นี้ก็บริจาคได้แล้วครับ และถ้าเราเป็นโรคที่บริจาคไม่ได้ทางศูนย์ก็จะแจ้งให้ทราบ ถือเป็นการเช็คเลือดไปในตัวครับ ได้ทั้งสองฝ่ายครับ
ขอบคุณครับน้าปัญ...
ลบโก๋ แค่ข้อแรกก็ไม่ผ่านล่ะ ได้ข่าวว่าน้ำหนักลดลงเรื่อย จะบริจากได้ไหมครับ อิอิ
ลบเลือดชั่วๆอย่างผมก็เคยบริจาคนะครับ ที่โรงบาลสิริกิต เข็มไม่น่ากลัวอย่างที่คิดครับ ให้เลือดเสมือน ต่อชีวิต แทงให้มิดแล้วดูด เลือดไหลนอง มาเถอะนะพี่น้องแจกเลือดกัน 5555555555
ตอบลบผมไม่เคยบริจาคเลือดเลยเหมือนกัน เราต้องตรวจเลือดหาโรค ก่อนการบริจาครึป่าวหรือบริจาคได้เลย
ตอบลบไม่ต้องครับ ถ้าเลือดเราใช้ไม่ได้ เดี๋ยวทางศูนย์จะแจ้งให้ทราบครับ
ลบไม่เคยบริจาคเหมือนกัน อยากบริจากนะแต่กลัวเข็มจะไปบริจาคดูสักครั้ง
ตอบลบผู้บริจาคโลหิต 9 ครั้งขึ้นไป สามารถขอใช้สิทธิ์ตรวจวิเคราะห์สารเคมีในโลหิตได้ เชน ตรวจหาน้ำตาล ไขมัน การทำงานของตับ การทำงานของไต ข้อนี้ ดีมากๆๆ คนทำงานอย่างเราจะได้ตรวจแบบประหยัดค่าใช้จ่ายด้วยครับ
ตอบลบดีการบริจาคโลหิตเป็นบุญกุศลอันใหญ่หลวงได้ช่วยเหลือคน แต่ผมก็ยังไม่เคยบริจาคเลยครับ
ตอบลบผมก็อยากอยู่นะแต่ผมไม่กล้าผมกลัวเมและอีกอย่างกลัวคนรับไปจะแอลกอฮอในเลือดสูง
ตอบลบการบริจาคโลหิตถ้าไม่หวังผลตอบแทน ก็เป็นการช่วยเหลือ เพือนมนุษย์ด้วยกัน และอีกอย่างช่วยให้สุขภาพร่างกายเเข็งแรงด้วย เพราะร่างกายได้ผลิตเลือดใหม่
ตอบลบในทางพุทธศาสนา การบริจากเป็น ทาน อย่างหนึ่งและทำให้จิตใจเรามีความสุขสงบ
ตอบลบได้ข่าวว่าการบริจากเลือดนั้นได้บุญกุศล มากกว่าการบริจาคสิ่งอื่นใด อันนี้น่าจะเป็นความจริงใช่ป่าวครับ
ตอบลบอันนี้แน่นอนครับเพราะเป็นการบริจาคด้วยใจล้วนๆ ไม่ต้องซื้อไม่ต้องหา เป็นของเราโดยแท้ มันจึงได้บุญมาก เพราะถ้าเป็นพวกของคาว ก็เป็นการฆ่าชีวิตผู้อื่นเพื่อนำไปทำบุญ บุญที่ได้มันน้อยครับ
ลบผู้ใดที่เป็นเพศที่3ทางสภากาชาดไทยไม่รับบริจาค
ตอบลบข้อนี้ก็ใช่ครับ เพราะเสี่ยงเลือดไม่สะอาดครับ
ลบการบริจาคเลือดเป็นการทำบุญอย่างหนึ่งทำให้เราได้บุญและหน้าตาสดใสเบิกบาน
ตอบลบไม่เคยบริจาค แต่เป็นภูมืแพ้ต้องกินยาแแพ้บางครั้ง สงสัยชาตินี้จะบริจาคไม่ได้แน่ๆ
ตอบลบบริจาคได้ครับ คือต้องงดทานยาก่อน 7 วัน ลองดูครับ
ลบการบริจาคเลือดเหมือนเป็นการถ่ายเลือดในร่างกายออกเพื่อให้ร่างกายได้ผลิตเลือดที่ดีขึ้นมาใหม่
ตอบลบการบริจาคเลือดนั้นเป็นสิ่งดีมากๆเลยนะครับ เลือดของเราอาจช่วยชีวิตใครสักคนในพื้นแผ่นดินนี้โดยที่เราไม่รู้ตัว เช่น กรณี พล.ต.ต.นพดล เผือกโสภณ ในรายการเจาะใจ เมื่อ 21 มีนา 56 ที่ผ่านมานี้เอง ครับ
ตอบลบเป็นเรื่องที่ดีครับสำหรับคนที่ทำได้ครับ สำหรับงานนี้ขอยกย่องและเอาเป็นตัวอย่างครับสำหรับพี่อ๋องของเราครับ
ตอบลบเมื่อก่อนบริจากเป็นประจำ ตั้งแต่สมัยเรียน
ตอบลบถ้าใครตั้งใจไปบริจาก สามารถไปบริจากได้
ที่รพ.ระยองทุกวันนะจ๊ะ จะมีเจ้าหน้าที่ประเจำอยู่
สุขภาพอนามัยนี้เป็นสิ่งสำคัญ เพราะเป็นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตทั้งมวล ดังคำกล่าวที่ว่า “จิตใจที่แจ่มใส ย่อมอยู่ในร่างกายที่แข็งแรง” หากประชาชนมีสุขภาพอนามัยสมบูรณ์ ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ก็จะมีสติปัญญาเล่าเรียน ประกอบสัมมาอาชีพ สร้างสรรค์ความเจริญต่างๆ ให้แก่ชาติบ้านเมือง ดังนั้นถ้าจะกล่าวว่า “พลเมืองที่แข็งแรง ย่อมสามารถสร้างชาติที่มั่นคง” ก็คงจะไม่ผิด
ตอบลบพระราชดำรัสของ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ...
การบริจากเลือดมีปรโยชน์กับตัวเราเองแถมยังได้บุญอีกด้วยสงสัยต้องบริจาคทุก...
ตอบลบผมก้ออยากบริจาคน๊ะครับ เเต่จนถึทุวันนี้ก้อยังไม่กล้าเลยครับ ผมกลัวเลือด น่าจะมีทางอื่นมั่งจัง
ตอบลบผมเคยบริจาคตอนเรียนอยู่รู้สึกดีขึ้นคับหลังบริจาค ทั้งร่างกายและจิตใจซึ่งก็เป็นการทำบุญอีกอย่างหนึ่งคับ
ตอบลบการเตรียมตัวก่อนบริจาคโลหิต
ตอบลบ-นอนหลับให้เพียงพออย่างน้อย 6 ชั่วโมงต่อเนื่อง ในเวลาปกติคืนก่อนวันบริจาค
-รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง และยาธาตุเหล็กเพิ่ม
-รับประทานอาหารมื้อหลักก่อนมาบริจาคโลหิต หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง เนื่องจากจะทำให้สีของพลาสมาผิดปกติเป็นสีขาวขุ่น ไม่สามารถนำไปใช้ได้
-ดื่มน้ำ 3-4 แก้ว และเครื่องดื่มเหลวเพิ่ม เช่น น้ำผลไม้ นม น้ำหวาน เพื่อเพิ่มปริมาณโลหิตในร่างกาย จะช่วยป้องกันอาการแทรกซ้อน เช่น มึนงง อ่อนเพลีย หรือวิงเวียนศีรษะภายหลังบริจาคโลหิต หลีกเลี่ยงชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน
-งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนบริจาค
-งดสูบบุหรี่ ก่อนและหลังบริจาคโลหิต 1 ชั่วโมง เพื่อให้ปอดฟอกโลหิตได้ดี
บริจากกันเยอะๆ นะครับ