วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เทคนิคการป้องกันและแก้ไขอารมณ์ขุ่นมัว


โดยธรรมชาติแล้วน้ำมีความใสอยู่ในตัว จะขุ่นมัวก็ต่อเมื่อเจือปนด้วยสิ่งต่างๆ เช่น ฝุ่น โคลน สี การป้องกันการขุ่นมัวของน้ำทำได้โดยการป้องกันไม่ให้สิ่งเจือเข้ามาปน เช่น -การใส่ปล่องเป็นขอบของบ่อน้ำเพื่อป้องกันดินเจอปนลงในบ่อน้ำ -การใช้ท่อส่งน้ำประปาเพื่อป้องกันไม่ให้อะไรเจือปนระหว่างส่ง น้ำ-ไปยังผู้ใช้ตามบ้านเรือน -การเก็บน้ำไว้ในขวดเพื่อป้องกันไม่ให้ฝุ่นตกลงไปในน้ำ แต่ถ้าน้ำที่เราต้องการใช้นั้นมีสิ่งเจือปนอยู่ก่อนแล้ว ก็มีแนวทางในการแก้ไขให้น้ำขุ่นกลับมาเป็นน้ำใสได้เหมือนเดิมได้อย่างไร ลองไปติดตามอ่านต่อได้เลย

Credited : http://www.peoplevalue.co.th/
เจือจางน้ำขุ่นด้วยการเติมน้ำใสลงไป ถ้าเราไม่ต้องการน้ำใสร้อยเปอร์เซ็นต์ แค่เพียงใสระดับหนึ่งก็พอแล้ว เราสามารถเติมน้ำใสลงไปเพื่อให้มีปริมาณมากกว่าน้ำที่ขุ่นอยู่ก็สามารถช่วยให้น้ำใสขึ้นมาในระดับหนึ่งได้

 รอให้น้ำขุ่นตกตะกอน สิ่งเจือปนในน้ำบางอย่างไม่สามารถละลายกลายเป็นเนื้อเดียวกับน้ำได้ จะทำได้แค่เพียงปะปนกับน้ำเท่านั้น ถ้าทิ้งไว้สักระยะหนึ่งสิ่งเจือปนก็จะตกตะกอนลงไปอยู่ข้างล่างได้ เมื่อถึงเวลานั้นก็ค่อยๆเทหรือตักเอาส่วนที่เป็นน้ำใสออกมาได้ แต่การใช้วิธีนี้อาจจะต้องเสียน้ำที่อยู่ติดกับตะกอนไปบ้าง


กรองสิ่งเจือปนออกจากน้ำ สิ่งเจอปนบางอย่างที่ละลายเป็นเนื้อเดียวกับน้ำไปเรียบร้อยแล้ว ไม่สามารถทำให้ตกตะกอนได้ อาจจะต้องใช้วิธีการกรองสิ่งเจือปนออกจากน้ำ เช่น กรองด้วยตะแกรง กระดาษ ผ้า ถ่าน สารเคมี ฯลฯ เหมือนกับเครื่องกรองน้ำที่มีใช้อยู่ตามบ้านเรือนที่สามารถกรองสิ่งเจือปนชนิดต่างๆได้ จิตใจคนไม่ต่างอะไรจากน้ำตามธรรมชาติที่แรกๆก็ใสเพราะไม่มีอะไรมาเจือปน คนเกิดมาใหม่ๆก็มีจิตใจสะอาดปราศจากอารมณ์ขุ่นมัว เพราะไม่มีดีไม่มีชั่ว แต่เนื่องจากคนต้องอยู่ปะปนกับคนอื่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ บางครั้งก็สามารถป้องกันไม่ให้อารมณ์ขุ่นมัวได้ แต่บางครั้งก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น จึงขอแนะนำเทคนิคการป้องกันและแก้ไขอารมณ์ขุ่นมัวให้กลับมาอารมณ์เป็นปกติดังต่อไปนี้


ป้องกันอารมณ์ขุ่นมัวโดยการหลีกเลี่ยงสิ่งยั่วยุทางอารมณ์ การป้องกันไม่ให้อารมณ์ขุ่นมัว จะต้องสร้างเกราะป้องกันจิตใจ เพื่อไม่ให้สิ่งยั่วยุทางอารมณ์เข้ามาทำร้ายจิตใจได้ เช่น การสร้างภูมิคุ้มกันทางอารมณ์โดยใช้หลักธรรมคำสั่งสอนทางศาสนา การหลีกเลี่ยงกับความเสี่ยงต่อสิ่งยั่วยุทางอารมณ์โดยการไม่ยั่วยุคนอื่นก่อน นอกจากนี้ จะต้องไม่สะสมตะกอนทางอารมณ์ เพราะบางครั้งการรับเอาสิ่งที่ไม่ดีเข้ามาในจิตใจ สิ่งนั้นอาจจะยังไม่ทำให้อารมณ์ขุ่นมัวทันที แต่ถ้ารับมาเรื่อยๆ สะสมตะกอนทางอารมณ์ไว้มากเกินไป วันหนึ่งเมื่ออารมณ์ถูกเขย่า ตะกอนที่สะสมไว้นั้น จะทำให้อารมณ์ขุ่นมัวได้ เราจะเห็นว่าคนที่เก็บกด มักจะไม่ค่อยแสดงอารมณ์ให้ใครเห็นบ่อยๆ เพราะเขามักจะเก็บไว้ทีละเล็กทีละน้อย แต่เมื่อวันหนึ่งสิ่งที่เก็บกดไว้มากจนเก็บและกดไว้ไม่ไหวแล้ว เขาก็จะปล่อยให้เชื้อเพลิงระเบิดออกมา กลายเป็นระเบิดทางอารมณ์ที่อันตรายทั้งต่อตัวเองและคนรอบข้าง


สกัดการกระจายและนำเอาสิ่งยั่วยุทางอารมณ์ออกจากใจให้เร็วที่สุด ถ้าเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับสิ่งยั่วยุทางอารมณ์ได้ สิ่งยั่วยุสามารถทะลุเข้าไปในพื้นที่ชั้นในของจิตใจเราซึ่งจะก่อให้เกิดอารมณ์ขุ่นมัวได้ ถ้าสิ่งยั่วยุนั้นเพิ่งเข้ามาให้รีบเอาออกจากจิตใจทันที เพราะถ้าทิ้งไว้นาน สิ่งยั่วยุทางอารมณ์บางอย่างสามารถขยายตัวไปสู่การสร้างความขุ่นมัวทางอารมณ์ได้ เหมือนกับการที่เม็ดสีตกลงในน้ำ ถ้าทิ้งไว้นานเม็ดสีจะละลายเพิ่มมากขึ้นๆ จนสามารถทำให้น้ำใสกลายเป็นน้ำขุ่นได้ จะเห็นว่าคนที่เป็นสามีภรรยากัน ถ้าทะเลาะกันและปล่อยให้เวลาผ่านไปยิ่งนานเท่าไหร่ โอกาสที่ใครคนใดคนหนึ่งจะเป็นฝ่ายง้อหรือเข้ามาขอโทษหรือทำดีก่อน จะเป็นเรื่องยากขึ้นเรื่อยๆตามระยะเวลาที่ผ่านไป แต่รีบขอโทษหรือทำดีกับอีกฝ่ายหนึ่งก่อน อารมณ์ที่ยังไม่แพร่กระจายไปทั่วทั้งจิตใจ อาจจะให้อภัยได้ง่ายกว่าอารมณ์ที่ถูกละลายไปทั่วทั้งจิตใจแล้ว


ทำอารมณ์ให้นิ่งก่อนแล้วค่อยหาสิ่งแปลกปลอมที่ตกลงในบ่อน้ำอารมณ์ บางครั้งจิตใจของคนเราถูกกระทบจากสภาพแวดล้อมหรือบุคคลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เหมือนทำเหรียญบาทหล่นหาย(ตกลงในน้ำที่มีโคลนตม) จงอย่าตกใจกระโดดตามเหรียญบาทที่ตกลงไปในน้ำ เพราะจะทำให้น้ำที่มีโคลนอยู่ขุ่นมากขึ้น และจะทำให้ไม่สามารถมองเห็นเหรียญที่เพิ่งตกลงไป ควรทำใจให้เย็น รอคอยน้ำส่วนที่ขุ่นเนื่องจากแรงกระแทกของเหรียญที่ตกลงไปจางหายไปก่อน เพราะเราสามารถมองเห็นเงาสะท้อนของเหรียญได้ และสามารถหยิบขึ้นมาได้โดยไม่ยาก จะเห็นว่าเวลาคนเราหงุดหงิด โศกเศร้า เสียใจ เรามักจะทำอะไรไม่ถูก คิดอะไรไม่ออก เหมือนคนที่เพิ่งสูญเสียคนรักไป จะคิดและทำอะไรไม่เป็นเลยโดยเฉพาะในวันแรกที่คนรักจากเราไป จะต้องให้เวลาผ่านไปสักสองสามวัน(ในช่วงงานศพ) จึงค่อยๆทำใจได้ เพราะความขุ่นมัวทางอารมณ์เริ่มจางหายไปแล้ว และสติค่อยๆกลับคืนมาสู่สภาพจิตใจที่ปกติมากยิ่งขึ้น


เจือจางอารมณ์ขุ่นด้วยการเติมอารมณ์ดีให้มากขึ้น ถ้าใครคิดว่าการนำเอาสิ่งยั่วยุอารมณ์ออกจากจิตใจหรือการปล่อยให้อารมณ์ตกตะกอนเป็นเรื่องที่ยาก อีกวิธีหนึ่งคือการเติมอารมณ์ดีเพิ่มลงไปในจิตใจ เพื่อละลายความขุ่นมัวให้เจือจางลง ยิ่งสัดส่วนของอารมณ์ดีมีมากกว่าอารมณ์ขุ่นมัว ยิ่งจะทำให้อารมณ์ที่ขุ่นมัวจางหายไปมากขึ้นเท่านั้น คนที่อารมณ์ไม่ดี ถ้าพยายามดูตลก ดูหนัง ฟังเพลง หรืออ่านหนังสือที่ทำให้จิตใจคิดเชิงบวก ก็จะช่วยให้ละลายอารมณ์ขุ่นมัวได้ หรือพยายามพูดคุยกับคนอื่นๆที่อารมณ์ดีหรือมีทัศนคติเชิงบวก ยิ่งได้คุยในเรื่องดีๆมากขึ้น ยิ่งจะช่วยให้อารมณ์ขุ่นมัวเล็กๆน้อยๆ จางหายไปได้ง่ายและเร็วขึ้นได้ ใครอยู่ในครอบครัวแล้วคนในครอบครัวมีปัญหากัน ขอให้ออกไปเจอะเจอกับผู้คนที่เขาเป็นคนปกติหรือไปพบเจอผู้คนที่เป็นคนอารมณ์ดีก็จะช่วยลดอารมณ์ที่ไม่ดีลงได้บ้าง ถึงแม้ว่าอารมณ์นั้นยังคงอยู่ แต่ถ้าจิตใจของเราถูกครอบครองด้วยอารมณ์ดีมากกว่า อารมณ์ไม่ดีก็จะถูกบดบัง และอาจจะถูกลืมไปได้ในที่สุด

หาเครื่องกรองสิ่งเจือปนออกจากอารมณ์ เนื่องจากคนเรามีหลายอารมณ์ แม้อารมณ์ไม่ดีก็ยังมีหลายรูปแบบ อารมณ์ไม่ดีบางอย่างต้องกรองสิ่งแปลกปลอมในอารมณ์ออกด้วยข้อมูลข้อเท็จจริง อารมณ์ไม่ดีบางอย่างต้องกรองออกด้วยสติ อารมณ์ไม่ดีบางอย่างต้องกรองออกด้วยสมาธิ อารมณ์ไม่ดีบางอย่างต้องกรองออกด้วยปัญญา คนบางคนที่อารมณ์ไม่ดีเพราะเครียดหรือกังวลจากปัญหาชีวิตที่ยังมาไม่ถึง จำเป็นต้องกรองออกด้วยการหาข้อมูลข้อเท็จจริงมาอธิบายเพื่อให้คลายกังวล

คนบางคนที่เครียดเพราะปัญหาหนี้สิน จำเป็นต้องกรองออกด้วยการวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาและหาแนวทางป้องกันแก้ไข คนบางคนที่อารมณ์ขุ่นมัวเพราะคำพูดของคนอื่น อาจจะต้องใช้สติปัญญาในการกรองเพื่อคัดแยกสิ่งที่ไม่จริงออกไป ไม่ปล่อยให้หลุดเข้าไปถึงจิตใจส่วนลึกของชีวิตได้ ปัญหาชีวิตบางอย่างเกิดจากหลายสาเหตุเป็นปัญหาที่สลับซับซ้อน อาจจะต้องใช้เครื่องกรองหลายชั้นทั้งข้อมูลข้อเท็จจริง สติ สมาธิ และปัญญา เหมือนกับเครื่องกรองน้ำที่ต้องกรองด้วยไส้กรองหลายชั้นจึงจะทำให้น้ำไม่สะอาดกลายมาเป็นน้ำสะอาดที่สามารถดื่มได้ 

สรุป การบริหารอารมณ์เพื่อรักษาให้อารมณ์สดชื่นและสดใสอยู่เสมอ จำเป็นต้องทำทั้งการป้องกันและการแก้ไข เพราะบางอย่างป้องกันได้ บางอย่างป้องกันไม่ได้ เมื่อแก้ไขไม่ได้ก็ต้องเตรียมรับมือกับการแก้ไข ซึ่งก็มีหลายวิธีดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ขอให้เลือกใช้ให้เหมาะสมกับอารมณ์ ใครคิดว่าวิธีไหนเหมาะกับตนเองก็เลือกใช้วิธีนั้น หรือถ้าเลือกใช้วิธีใดวิธีหนึ่งแล้วไม่ได้ผลก็ลองปรับเปลี่ยนวิธีอื่นๆหรือวิธีใหม่ๆที่ไม่ได้กล่าวไว้ในที่นี้ก็ได้
อ่านบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2554

การบริหารความสุขในการทำงานด้วย P-D-C-A

By Nick
วันนี้นอนดึกเนื่องจากไปนั่งกินชาเขียวมา นอนไม่หลับตาค้าง แล้วก็นั่งท่องอินเตอร์เนตเข้าเวปประจำ(อีกแล้ว) แล้วก็ไปเจอะบทความเข้า(อีกแล้ว) เลยอยากนำมาแบ่งปัน(อีกแล้ว)

ชีวิตคนทำงานไม่มีใครที่ไม่ต้องการความสุข เพราะความสุขที่เกิดขึ้นเป็นเสมือนน้ำหล่อเลี้ยงให้พฤติกรรรมคนปรับเปลี่ยนและพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น อันนำไปสู่ผลการปฏิบัติงานตามที่องค์กรต้องการ ดังนั้นความสุขจึงเป็นสิ่งที่ทุกคนแสวงหา การบริหารความสุขในชีวิตการทำงานจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก โดยเฉพาะสังคมไทยในยุคเศรษฐกิจเช่นนี้ ปัญหาต่างๆ ที่รุมเร้าเข้ามา เป็นเหตุให้พนักงานทั้งหลายต้องกล้าเปลี่ยนแปลง กล้าคิดใหม่เพื่อทำให้ตนเองมีความสุข



ทคนิคหนึ่งที่ผมอยากจะแนะนำให้ทุกท่านลองนำไปปฏิบัติ ด้วยการบริหารตนเองให้มีความสุขตามหลักของ P-D-C-A นั่นก็คือ
►Plan
ในการทำงานหากขาดเป้าหมายที่ชัดเจน ทำงานไปวันๆ ย่อมเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้พนักงานเกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย และความรู้สึกเบื่อนี้เองจะเป็นอันตรายเนื่องจากจะนำไปสู่ผลการทำงานที่ถดถอย หรือเป็นต้นเหตุของการสูญเสียคนดีมีฝีมือ ดังนั้นการวางแผนผลการปฏิบัติงานที่ชัดเจน (Performance Planning) รู้เป้าหมายว่าในแต่ละวันต้องทำอะไรบ้าง และเพื่อทำให้ได้เป้าหมายที่ต้องการ จะต้องแสดงออกหรือมีพฤติกรรมเช่นไรนั้น จะช่วยทำให้เกิดความคิดที่เป็นระบบ ทำงานเป็นขั้นเป็นตอนมากขึ้น และเมื่องานที่ได้รับมอบหมายบรรลุผลสำเร็จ ย่อมเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้คนทำงานเกิดความรู้สึกโล่งอก โล่งใจ ซึ่งความรู้สึกเช่นนี้มักจะเป็นแรงผลักดันให้เกิดความคิดสิ่งใหม่ ๆ ที่สามารถนำมาใช้เพื่อการปรับปรุงงานให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้การวางแผนงานที่ชัดเจนจำเป็นจะต้องมีการจดบันทึกว่าในแต่ละวันงานที่ต้องทำให้สำเร็จมีอะไรบ้าง เพราะแผนงานที่ถูกเขียนขึ้นมาอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรจึงเป็นเสมือนเข็มทิศหรือเครื่องนำทางให้สามารถทำงานแต่ละชิ้นอย่างเป็นระบบและเป็นขั้นเป็นตอน
►Do
แผนงานที่ดีย่อมมีการปฏิบัติ การตรวจสอบ การติดตามผลงานที่ทำไปแล้วว่าสำเร็จหรือไม่สำเร็จบ้าง ด้วยการให้ข้อมูลป้อนกลับกับตนเอง (Performance Feedback) ซึ่งไม่จำเป็นต้องรอผู้อื่นที่จะมาบอกว่างานแต่ละชิ้นคุณเองสามารถทำสำเร็จหรือไม่ การ Feedback กับตนเองก็คือ การหาโอกาสบอกหรือพูดคุยกับตนเองในแต่ละวัน ผมขอแนะนำว่าควรจะเป็นตอนกลางคืนก่อนนอนจะดีกว่า เพื่อสำรวจว่าวันนี้คุณได้ทำงานเสร็จไปกี่อย่างบ้าง และงานใดบ้างที่คุณทำไม่สำเร็จเป็นเพราะเหตุใด เพื่อที่ว่าคุณจะได้นำปัญหาที่เกิดขึ้นมาวางแผนว่าควรจะทำอย่างไรให้งานชิ้นนั้นประสบผลสำเร็จในวันถัดไป ทั้งนี้ขั้นตอนการปฏิบัติสำหรับหลาย ๆ คนคิดว่าเป็นขั้นตอนที่ยากกว่าการวางแผนงาน เนื่องจากไม่สามารถทำงานให้บรรลุตามแผนที่กำหนดขึ้น เพราะจิตไม่อยู่กับที่ เกิดความกระวนกระวายใจ จิตไม่สงบ ขาดสมาธิ ซึ่งผมขอแนะนำว่าในระหว่างการทำงานแต่ละอย่างนั้น ควรคิดถึงงานชิ้นนั้นอย่างเดียวทั้งกายและใจ จิตที่มีสมาธิจะทำให้เกิดปัญญาที่จะบริหารงานแต่ละอย่างสำเร็จเร็วกว่าเวลาที่กำหนดขึ้น และเมื่อคุณทำงานสำเร็จ เชื่อแน่ว่าคุณจะรู้สึกภาคภูมใจ รู้สึกมีความสุขกับงานแต่ละอย่างที่สำเร็จลุล่วงไป
►Check
ความสุขเกิดขึ้นจากการให้ ให้ในสิ่งที่ผู้รับได้รับประโยชน์จากงานของคุณ ซึ่งการบริหารความสุขของตนเอง ก็คือการบริหารจิตใจของผู้อื่นด้วยเช่นกัน ดังนั้นตัวคุณเองจะต้องประเมินผลงานที่ทำขึ้นมาว่าผู้รับหรือลูกค้ามีความพึงพอใจกับผลงานแต่ละชิ้นมากน้อยแค่ไหน การประเมินผลงาน (Performance Appraisal) จึงเป็นขั้นตอนสำคัญที่ผลักดันให้คุณจะต้องปรับปรุงผลงานของตัวคุณเองอยู่เสมอ ด้วยการวางแผนงานใหม่อีกสักครั้ง หากงานที่ทำไปแล้ว ถึงแม้คุณทำงานได้สำเร็จตามแผนที่กำหนดขึ้น แต่ผู้รับไม่ชอบ ไม่พอใจ คุณจะต้องปรับเปลี่ยนแผนงานใหม่ เพื่อสร้างผลงานให้ลูกค้าหรือผู้รับของคุณเกิดความพึงพอใจทั้งในแง่ของคุณภาพและปริมาณงานที่ส่งมอบ ซึ่งวิธีการประเมินผลงานที่คุณสามารถทำได้และไม่ยุ่งยากก็คือ การสอบถามและพูดคุยกับลูกค้าของคุณว่าเขาชื่นชอบในผลงานที่ทำให้ไปมากน้อยแค่ไหน ทั้งนี้คำว่า “ลูกค้า” นั้นผมไม่ได้มองเพียงแค่ลูกค้าภายนอกอย่างเดียวเท่านั้น ผมจะมองไปถึง ผู้บังคับบัญชา ผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อนร่วมงาน คู่ค้า ด้วยเช่นกัน
►Act
การปรับเปลี่ยนกระบวนการ และวิธีการทำงานของคุณว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ลูกค้าไม่พอใจบ้าง เพื่อที่ว่าคุณจะได้หาวิธีการทำอย่างไรก็ตามในการตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า เพราะหากลูกค้ามีความสุข คุณเองย่อมมีความสุขในการทำงานด้วยเช่นกัน การสำรวจและจดบันทึกว่ามีแนวทางไหนบ้างในการปรับเปลี่ยนและพัฒนากระบวนการทำงานของคุณให้ดีขึ้น การพัฒนาผลงานของคุณ (Performance Development) จะทำให้คุณมีการปรับปรุง และการปรับเปลี่ยนตนเองอยู่เสมอ ไม่ซ้ำซากจำเจกับวิธีการทำงานแบบเดิม ๆ เพราะความซ้ำซากทำงานแต่แบบเดิม ๆ ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คุณเกิดความรู้สึกไม่มีความสุขในการทำงาน

สรุปว่าความสุขในการทำงานทุกวันนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นการได้รับเงินเดือนที่เพิ่มขึ้นทุกปีเท่านั้น แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ตัวคุณเองเกิดความสุขได้ก็คือ การวางแผน การปฏิบัติ การตรวจสอบ และการปรับปรุง หรือการปฏิบัติตามหลัก
P-D-C-A ซึ่งจะเป็นหนทางให้ตัวคุณเองและคนรอบข้างเกิดความสุขในการทำงาน

Credit: http://www.peoplevalue.co.th/index.php?lay=show&ac=article&Id=539104744&Ntype=10
อ่านบทความทั้งหมด