ต่อไปนี้จะเป็นการนำเสนอวิธีกำจัดความเครียด การคลายเครียด เป็นเพียงวิธีบรรเทาเบื้องต้น เหมือนรับประทานยาบรรเทาปวด ทายาคลายกล้ามเนื้อ ยังมิใช้ยารักษาให้หายขาดแต่ธรรมะขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น มิใช่เพื่อบรรเทาหากแต่เพื่อกำจัดเด็ดขาด ในที่นี้ข้าพเจ้าขอนำเสนอวิธีการง่าย ๆ ดังนี้
วิธีที่ 1 กล้าเผชิญความจริง
ความเครียดทั้งปวงเกิดจากความวิตกกังวล คนเราจะวิตกกังวลทุกอย่าง เมื่อความจริงยังไม่ปรากฏ ต่อเมื่อความจริงปรากฏเสียแล้วปัญญาก็เกิดเอง ยกตัวอย่างนักกีฬา ก่อนแข่งขันก็วิตกกังวลเกรงจะแพ้แต่เมื่อการแข่งขันเริ่มขึ้น คือเผชิญความจริงแล้ว สติปัญญาที่จะแก้ปัญหาก็มาเอง แรงผลักในการต่อสู้ การแก้ปัญหาก็ตามมา ยิ่งกับคนที่ต้องดูแลคนป่วยหนัก หากไม่มีกำลังใจพอจะยิ่งเครียดไม่มีทางออก วิตกกังวลไปสาระพัดอย่าง ถ้าจิตใจไม่เข้มแข็งกล้าเผชิญความจริง คนเฝ้าป่วยอาจหมดแรงก่อนคนป่วยจริง โดยเฉพาะทรงสอนเรื่อง “ทุกข์” มิใช่สอนเรื่อง “สุข” ทรงนำเสนอความทุกข์ประเภทต่าง ๆ เช่น ทรงสอนวิธีหาเหตุแห่งทุกนั้นว่ามาจากความทะยานอยาก
จากนั้น จึงทรงแสดงความดับทุกข์ เหมือนเราดับไฟที่ลุกโชนเผาไหม้สิ่งต่าง ๆ อยู่ เมื่อไฟดับความร้อนก็หายไป ความเย็นก็ปรากฏ จากนั้น ทรงแสดงทางสายกลาง คือการไม่ทำอะไรสุดโต่ง หรือเรียกง่าย ๆ ว่า “ความสมดุลในการดำรงชีวิต” อันเป็นเหตุให้เกิดความสุข
วิธีที่ 2 เข้าใจเรื่องอารมณ์ของตนและของคน (จริต 6)
น่าคิดเป็นอย่างยิ่งว่า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสแสดงความแตกต่างของคนที่จริต ทรงแสดงว่า คนเหมือนกันแต่ไม่เหมือนกัน ก็เพราะชอบไม่เหมือนกัน พฤติกรรมไม่เหมือนกัน ท่านเรียกว่า จริต.
คนเหมือนกัน แต่ถ้าจริงต่างกัน ก็จะมีอารมณ์ต่างกัน ความต่างกันของอารมณ์นี่เอง ที่ทำให้มนุษย์เราคิดต่างกัน และเกิดความขัดแย้งกันตลอดเวลา กระทั่งนำความเครียดมาให้เรา ด้วยเหตุนี้ เราจึงจำเป็นต้องเรียนรู้พฤติกรรมของคนใน จริต 6 คือ
1.คนบางคนรักสวยรักงาม ชอบแต่งตัว ชอบประดิษฐ์ ทำงานช้าแต่ละเอียด คนประเภทนี้ท่านเรียกว่า คนราคจริต
2.คนบางคนใจร้อน หงุดหงิด ชอบแสดงอำนาจเป็นนิสัย ทำอะไรเร็ว พูดเร็ว ไม่สนใจเรื่องละเอียด ชอบหลักการมากกว่ารายละเอียด คนประเภทนี้ท่านเรียกว่า คนโทสจริต
3.บางคนชอบแสดงว่าตนไม่รู้อะไรไว้ก่อน เพราะปลอดภัยเพราะกลัวผิด กลัวถูกตำหนิ กลัวถูกใช้งาน การไม่รู้คือไม่ต้องทำ เมื่อไม่ทำก็ไม่ผิด ท่านเรียกว่าคนพวกนี้ว่า คนโมหจริต
4.บางคนเชื่อง่าย ชื่นชมอะไรง่าย ๆ โดยไม่พิจารณา หรือตำหนิง่าย ๆ แล้วกลับชื่นชมอีกเมื่อคนอื่นชื่นชม แปลว่ากลับคำได้ง่าย ทำตามคนอื่น ไม่มีจุดคิดของตนเอง เรียกว่าคนสัทธาจริต
5.บางคนชอบคิด ขอบแสดงเหตุผล ชอบศึกษาเรียนรู้ ชอบหาความจริงของเรื่องนั้น ๆ นิสัย ไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ จนกว่าจะเห็นได้ปัญญาของตน ท่านเรียกว่า คนพุทธิจริต
6.บางคนชอบจับจดฟุ้งซ่าน ชอบบ่น จู้จี้จุกจิก ทำงานแบบหยิบโหย่ง ไม่จับอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ชอบเป็นผู้ตามมากกว่าผู้นำ คิดมาก กังวลมาก ท่านเรียกว่า คนวิตกจริต
จำง่าย ๆ ว่า คนทั้ง 6 ประเภทนี้คือ คนราคจริต, โทสจริต,โมหจริต,สัทธาจริต, พุทธิจริต และวิตกจริต เป็นลักษณะพฤติกรรมของคนที่เราต้องเรียนรู้เขาให้เข้าใจ เมื่อเข้าใจแล้วก็จะไม่เครียด
วิธีที่ 3 ไม่คาดหวัง แต่พิจารณาความเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่ง
ความเครียดอย่างหนึ่งมีเกิดจากความคาดหวัง เป็นธรรมดาที่มนุษย์ทำอะไรมักหวังผลตอบสนอง เมื่อลงทุนก้หวังกำไร ไม่มีใครหวังขาดทุน แม้แต่บุญยังหวังผลบุญ เมื่อวหวังจึงมีทั้งสมหวังและผิดหวังสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้คนรู้จักหลักความจริง 3 ข้อ คือความเปลี่ยนแปลง, ความทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ และความที่เราไม่อาจยึดสิ่งใด ๆ ไว้ในอำนาจได้ตลอดไป หรือที่รู้กันในวงการชาวพุทธว่า “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” อันเป็นหลักธรรมใหม่ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบว่า เป็นลักษณะที่ใช้ได้กับสรรพสิ่งในจักรวาฬ, ขอให้เราตั้งใจไว้ว่าข้อนี้มีความสำคัญมากต่อการคลายเครียดหรือกำจัดความเครียด นั่นคือหมั่นพิจารณาสรรพสิ่งที่เราเผชิญว่า
“สรรพสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลง และเปลี่ยนไปเหมือนสายน้ำ”
“ชีวิตมีได้มีเสียเสมอ การเสียบางอย่าง ก็เพื่อให้ได้บางอย่างมา”
“ไม่มีใครได้ตลอด แก้วที่เต็มน้ำแล้วจะรับน้ำใหม่ไม่ได้ เราหัดทำชีวิตให้พร่องบ้างก็ดีเพื่อรองรับสิ่งใหม่”
“การยอมให้คนอื่นมีกำไรในชีวิตบ้าง บางครั้งก็เป็นอุบายสำคัญในการประคองให้สมดุล”
“สิ่งที่ดีที่สุดไม่มี มีแต่สิ่งที่ดีพอสมควร”
“อย่าแสวงหาคนดีที่สุดในชีวิต ท่านจะหาอะไรไม่ได้เลย”
“ผู้หาคนที่สมบูรณ์ที่สุดมาเป็นเพื่อน จะหาใครเป็นเพื่อนไม่ได้แม้แต่คนเดียว”
วิธีที่ 4 ปิด-เปิดประตูรับรู้ให้เป็นเวลา
โลกยุคเทคโนโลยี ทำให้มนุษย์ตั้งแต่เด็กคนถึงผู้ใหญ่ ไม่มีเวลาพักผ่อนที่แท้จริง ไม่ได้พักผ่อนกับธรรมชาติ เช่น ทะเล ภูเขา หรือตามประสาพ่อแม่ลูก หากแต่พักผ่อนกับเกม, อยู่กับเทคโนโลยี บางทีกลับเครียดหนักกว่าเดิมอีกหลายเท่า, บางครั้งถึงเวลานอนกลับไม่นอน ไปนอนเวลาทำงาน หรือเวลาเรียน โดยเฉพาะอุปกรณ์ชิ้นใหม่ที่เรียกว่า Internet ทำให้ผู้ควบคุมตนเองไม่ได้ ต้องหมดมุ่นอยู่กับข้อมูลโดยไม่ได้ความรู้ใด ๆ ดูเหมือนรู้มาก แต่ไม่เข้าใจอะไรเลย ดูเหมือนย่อโลกไว้ในห้องนอน ไว้ในกำมือ แต่ความจริงคือกำลังหลงโลก หลงทาง
ดูตัวอย่างที่บางคนคุยของปลอม พูดกับคนปลอมมากกว่าพ่อแม่ ญาติพี่น้องของตนเอง สุดท้ายก็ไม่มีปัญญาจะจัดการกับคนที่มีชีวิตจริง ๆ ได้ โลกยิ่งทันสมัย ดูเหมือนมนุษย์ยิ่งอยู่ไกลความจริง. เราจำเป็นต้องอยู่กับความจริง กล้าเผชิญความจริงของชีวิต เราจึงจะพบของจริง ความจริงเท่านั้นที่ทำให้มนุษย์มีปัญญาอันงดงาม สดใส และเฉียบคมได้
ในข้อนี้น่าจะเป็นเรื่องทันสมัยของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงสอนให้รู้จักผัสสะคือรสชาติแห่งการรับสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่หลง และที่สำคัญ มีสติปิด-เปิดเมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม เหมือนอยู่ในที่ประชุม หรือชุมชน หรือเวลานอน เป็นต้น โลกยุคใหม่อาจมองดูเหมือนโก้เก๋ทันสมัย แต่แท้จริงแล้วนั่นคือสายใยที่ต่อท่อความเครียดเข้าถึงใต้หมอน หากไม่รู้จักปิด-เปิด
วิธีที่ 5 คนส่วนมากเครียดเรื่องของคนอื่น มิใช่เรื่องของตน
ยิ่งโลกทันสมัยเท่าใด คำพูดของคนก็ยิ่งนำความทุกข์มาให้ง่ายเท่านั้น. โดยธรรมชาติ คนเรามักเป็นทุกข์เพราะเรื่องคนอื่น เรื่องของตนมีน้อย เช่นนำเรื่องนอกบ้านมาถกเถียงกันภายในบ้าน กระทั่งเกิดการทะเลาะวิวาท ทั้ง ๆ ที่ตนก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร เพียงแต่ต่อสู้เอาชนะกันทางทิฐิมานะ หรือเหตุผลเท่านั้นเอง มองดูอาจเป็นการแสดงภูมิปัญญา แต่บางครั้ง เราต้องให้รู้เท่านั้นเอง มองดูอาจอาจเป็นการแสดงภูมปัญญา แต่บางครั้งเราต้องให้รู้เท่าทันว่า เรื่องของคนอื่น ที่ไม่ใช่เรื่องส่วนรวม เราควรทิ้งไว้นอกประตูบ้าน ไม่นำขยะความคิดใด ๆ เข้าบ้านของเราเองการนำไฟในออก นำไฟนอกเข้ามาบ้าน คือปัญหาที่สังคมแก้ไม่ตก บ้านใดเรือนใด ครอบครัวใด ฉลาดเรื่องไฟ ก็จะไม่ถูกไฟเผาไหม้ให้ร้อนรน
วิธีที่ 6 ฝึกแผ่เมตตา นึกถึงกฎแห่งกรรมมากกว่ากฎหมาย
ขั้นตอนสำคัญอีกข้อหนึ่งคือ เมื่อเครียดให้นึกถึงกฎแห่งกรรมที่มีอำนาจยิ่งใหญ่กว่ากฎหมาย เราเห็นปัญหาบางอย่างแก้ด้วยกฎหมายไม่ได้ แต่แก้ด้วยกาลเวลาได้ นั่นคือปล่อยไว้ให้กฎแห่งธรรมชาติจัดการกับปัญหานั้น นั่นหมายความว่า เป็นเรื่องที่เราได้พยายามแก้เต็มสติปัญญาของเราแล้ว แต่แก้ไขไม่ได้ ฉะนั้น ขอให้เรานักแก้ปัญหาทุกคนอย่าเครียดกับปัญหาบางอย่างที่แก้ไม่ได้ ทุกอย่างมีเหตุผลในตัวเสมอ เราต้องยอมรับกฎเกณฑ์แห่งกาลเวลาที่จะแก้ปัญหาทุกอย่างได้ คิดดูเถิดปัญหาชีวิตเรา บางครั้งยังต้องแก้กันข้ามภพข้ามชาตินับประสาอะไรกับปัญหาที่มีอยู่ในปัจจุบันที่เราจะไปแก้คนนั้นแก้คนนี้
ในทางพระพุทธศาสนา ทรงสอนให้รู้จักผ่อนคลายด้วยการนึกถึงกฎแห่งกรรม นึกว่า สัตว์โลกมีกรรมเป็นของ ๆ ตน มีกรรมเป็นผู้ให้ผล มีกรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นผู้ติดตาม มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย ไม่ว่าจะทำกรรมใดไว้ ดีหรือชั่ว ก็จักได้รับผลของกรรมนั้นสืบไป ไม่มีเปลี่ยนแปลง คิดได้อย่างนี้แล้ว สบายใจ
วิธีที่ 7 นึกถึงธรรมชาติที่เหมือนกันของสัตว์ทั้งหลาย
นี่คือวิธีกำจัดความเครียดขั้นสุดท้าย นั่นคือ มองให้เห็นความเสมอกันระหว่างสัตว์ทั้งหลาย รวมทั้งคนอื่นและตัวเราเองว่า ต้องเผชิญความลำบากในสังสารวัฏเหมือนกัน ต้องอยู่ในครรภ์ ต้องกินอาหาร ต้องดูแลขันธ์ 5 ต้องถูกโรคภัยเบียดเบียน แต่แก่ ต้องเจ็บ และสุดท้าย “สัตว์ทั้งหลายต้องตาย” ทกคนต้องตาย ความตายเป็นปลายทางของชีวิตเหมือนกันหมด ไม่ว่าผู้นั้นจะยากดีมีจนอย่างไร เขาและเราก็ไม่ต่างอะไรกัน เราไม่ต้องเครียดเพราะน้อยใจไปอิจฉาเขา ไม่ต้องเครียดไปโกรธเขา หากแต่มองให้เห็นปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตเขาเหมือนกันกับเรา
จริงอยู่แม้จะเป็นเรื่องทำได้ยาก หากเราตกอยู่ในภาวะถูกเอารัดเอาเปรียบมาก ๆ แต่ก็ต้องคิดเรื่องอย่างนี้ไว้บ้าง เพราะสิ่งที่ทำได้ยากเมื่อเราทำได้ เราจะเป็นผู้ได้รับประโยชน์ทางด้านจิตใจโดยตรง ด้วยเหตุนี้เอง สามเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงสอนให้เจริญมรณสติกรรมฐานเป็นประจำ มองให้เห็นว่า ตายแล้วเอาอะไรไปไม่ได้ เศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดก็ไม่มีใครเอาสิ่งใดไปด้วย แม้คนที่รักที่สุดคือบุตรธิดา ภรรยาญาติก็ต้องทิ้งไว้ข้างหลัง ไม่มีใครชวนใครไปอยู่ด้วย แม้ชวนก็ไม่มีใครไปด้วย แม้จะรักกันเพียงใดก็ตาม ถ้าเราคิดอย่างนี้บ้าง ชีวิตก็จะหายเครียดได้ในพริบตา