วันอาทิตย์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2555

Deaerator... Degasifier

By P'Kiatchay



ได้เวลาพัฒนากันอีกแล้ว Blog iHears เราจะเริ่มมีความรู้เชิงเทคนิคมาโพสลงบ้างแล้ว โดยทางพี่ๆซุปชองพวกเราจะเป็นคนคัดสรรค์มาเพื่อทุกๆคนได้อ่านกัน โดยจะมีกันประจำเดือนละเรื่องนับจากนี้เป็นต้นไป ใครอยากศึกษาหาความรู้ไว้ประดับตัวประดับสมอง เชิญคลิ๊กเข้าไปชม เข้าไปคอมเมนต์กันได้เร๊ยย เรื่องแรกนี้นำมาโดยพี่เกียรติชายผู้คร่ำหวอดในแพลนท์ SMR คนนึง จึงได้มานำเสนอเรื่องราวของอุปกรณ์แปลกประหลาดของ SMR ที่ไม่พบเห็นที่ใดในแพลนท์ HP ได้อ่านกัน


ทำไมต้องมี Deaerator



Deaerator คือ อุปกรณ์ที่ใช้ดึงเอาก๊าซที่ละลาย ในน้ำป้อนเข้า Boiler ออกไป Deaerator จะเป็นตัวป้องกันระบบไอน้ำและ Boiler จากผลกระทบต่างๆ อันเกิดจากก๊าซที่ละลายในน้ำป้อน Boiler
การดึงเอาก๊าซต่างๆ ที่ละลายในน้ำป้อน Boiler เป็นกระบวนการที่สำคัญในระบบไอน้ำ การที่น้ำป้อนเข้าสู่ Boiler มีก๊าซออกซิเจนละลายอยู่จะทำให้เกิดการกัดกร่อน ในท่อ Boiler สำหรับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เมื่อละลาย ในน้ำจะทำให้ค่า PH ต่ำลง และทำให้เกิดการกัดกร่อนจากกรดคาร์บอนิก ก๊าซที่ละลายในน้ำป้อน และค่า PH ที่ต่ำ สามารถถูกกำจัดได้โดยการใช้เคมีในการควบคุม แต่การใช้เคมีก็จะส่งผลกระทบต่อค่าความเข้มข้น TDS (Total Dissolved Solid) อันจะมีผลต่อประสิทธิภาพ การทำงานของ Boiler และสิ้นเปลืองพลังงานจากการ Blowdown ที่มากขึ้น เพื่อรักษาค่าความเข้มข้น TDS ไว้ในระดับมาตรฐาน
ดังนั้นจะเป็นการประหยัดและมีประสิทธิภาพมากกว่าที่จะนำก๊าซเหล่านี้ออกไปโดยอุปกรณ์ Deaerator
อุปกรณ์ Deaerator ทำงานโดยอาศัยหลักการทางวิทยาศาสตร์สองข้อ ประกอบไปด้วย ข้อที่ 1 Henry’s Law ซึ่งกล่าวว่า ความสามารถในการละลายของก๊าซใน สารละลายจะลดลงเมื่อความดันย่อยเหนือสารละลาย ของก๊าซนั้นลดลง และข้อที่ 2 เป็นความสัมพันธ์ระหว่างการละลายของก๊าซและอุณหภูมิ ความสามารถในการละลายของก๊าซในสารละลายจะลดลงเมื่ออุณหภูมิของสารละลายเพิ่มสูงใกล้กับอุณหภูมิอิ่มตัว อุปกรณ์ Deaerator จะใช้กระบวนการทั้งสองข้อนี้ในการดึงก๊าซออกซิเจน และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งละลายอยู่ออกจากน้ำป้อน Boiler
น้ำป้อนเข้า Boiler จะถูกทำให้เป็นแผ่นฟิล์มบางๆ เพื่อเพิ่มพื้นที่แลกเปลี่ยนความร้อน ซึ่งทำให้ก๊าซออกซิเจนและก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์ถูกดึงออกไปจากน้ำป้อนเข้าหม้อไอน้ำได้มากที่สุด ซึ่งกระบวนการสร้างฟิล์มบางๆ ถือว่าเป็นกระบวนการที่สำคัญที่จะดึงก๊าซออกซิเจนและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จนถึงระดับที่ปลอดภัย คือ 0.007 ppm. ซึ่งการใช้เพียงถังพักน้ำธรรมดาไม่สามารถทำได้



Deaerator สามารถทำอะไรได้บ้าง

ก. ช่วยดึงก๊าซออกซิเจน ที่ละลายอยู่ออกจากน้ำ
ซึ่งเป็นเหตุผลหลัก และเป็นเหตุผลแรกที่จะเริ่ม นึกถึงประโยชน์หรือความต้องการ Deaerator เนื่องจาก ก๊าซออกซิเจนในน้ำจะทำให้เกิดปัญหา ดังต่อไปนี้
1. ก๊าซออกซิเจนจะกัดกร่อน Boiler ซึ่งเราเองต่างก็รู้ดีว่าก๊าซออกซิเจนสามารถกัดกร่อนถังเหล็ก หรือภาชนะอื่นๆ ที่ทำจากเหล็กที่อุณหภูมิปกติได้อย่างไร และเมื่อ มีการให้ความร้อนแก่น้ำ ก๊าซออกซิเจนที่ละลายอยู่ก็จะยิ่งกัดกร่อนมากขึ้น ปริมาณก๊าซออกซิเจนที่ละลายในน้ำ มากสุดที่ Boiler ทำงานอย่างปลอดภัย คือ 0.005 cc/liter (0.007 ppm)
2. เมื่อไอน้ำมีการกลั่นตัวก๊าซออกซิเจนที่มากับ ไอน้ำก็ยิ่งกัดกร่อนท่อ Condensate และอุปกรณ์อื่นๆ นอกจากนี้ในไอน้ำ และ Condensate ก็ยังมีก๊าซคาร์บอน ไดออกไซด์อีกด้วย ซึ่งเมื่อกลั่นตัวและรวมตัวกับน้ำก็จะเกิดการกัดกร่อนอีกเช่นกัน และจะทำให้กัดกร่อนมากกว่า การมีก๊าซออกซิเจน หรือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง อย่างเดียวถึง 4 เท่า ดังนั้นเพื่อเป็นการรักษาท่อและอุปกรณ์ต่างๆ จึงควรมีการดึงก๊าซออกซิเจนออก
3. เมื่อมีการหมุนเวียน Condensate กลับสู่ Boiler ควรนำก๊าซออกซิเจนที่อาจปนเข้าสู่ระบบหรือถัง Condensate ออกก่อน หากไม่มีการดึงอากาศออกจาก Condensate ก่อนก๊าซออกซิเจนและก๊าซคาร์บอนได ออกไซด์ ก็อาจปะปนเข้าสู่ระบบได้อีก

ข. ช่วยดึงก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ละลายในน้ำออก
น้ำดิบส่วนมากจะมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อิสระ ซึ่งจะกัดกร่อนมากเมื่อรวมตัวกับน้ำเป็นกรด Carbonic การดึงก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในสภาวะอิสระออกนั้นจะต้องใช้การดึงอากาศทางกลที่ดี ในไอน้ำก๊าซคาร์บอน ไดออกไซด์ที่ปนอยู่จะไม่กัดกร่อน แต่เมื่อไอน้ำกลั่นตัว ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะรวมตัวกับน้ำและเกิดเป็นกรด Carbonic ซึ่งมีความสามารถในการกัดกร่อนมาก ทำให้ ท่อและอุปกรณ์ต่างๆ ถูกกัดกร่อนอย่างรวดเร็ว
นอกจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ละลายในน้ำป้อน Boiler แล้ว น้ำป้อน Boiler ส่วนมากจะมี Bicarbonates และ Carbonates ซึ่งเมื่อสารเหล่านี้แตกตัวออก ก็จะเกิดเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์โดย Bicarbonates จะแตกตัว เมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้น Deaerator จะทำให้ Bicarbonates แตกตัวออกและเกิดเป็น Carbonates กับก๊าซคาร์บอน ไดออกไซด์ อิสระ ซึ่งจะถูกปล่อยทิ้งหรือดึงออกจากระบบโดย Deaerator
เนื่องจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์บางส่วนเป็น องค์ประกอบของ Carbonates ในน้ำ จึงไม่สามารถดึงออกจากน้ำได้ทั้งหมด การเติม Phosphates อย่างพอเพียง ใน Boiler จะทำให้เกิดปฏิกิริยาเคมี Carbonates ที่อยู่ในน้ำใน Boiler จะรวมตัวกับ Phosphates ทำให้ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่อยู่ใน Carbonates หลุดออก ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์นี้จะเกิดขึ้นที่ Boiler และถูก ลำเลียงโดยไอน้ำไปในระบบและรวมตัวกับน้ำ Condensate ถูกส่งกลับมาที่ Deaerator เพื่อดึงก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ นี้ออกไปอีกครั้ง ถึงแม้ว่าโรงงานใช้น้ำ Condensate เป็นน้ำป้อน Boiler ก็จำเป็นต้องมี Deaerator ก็ด้วยสาเหตุนี้

ค. ช่วยเพิ่มอุณหภูมิของน้ำที่ป้อนเข้า
Deaerator จะเพิ่มอุณหภูมิของน้ำป้อน ในขณะ เดียวกันก็ดึงเอาก๊าซออกซิเจน และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อิสระออก และยังทำให้ Bicarbonates แตกตัวเป็น Carbonates กับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อิสระ ซึ่งจะถูก ดึงออกอย่างรวดเร็วอีกด้วย การเพิ่มอุณหภูมิน้ำป้อนของ Deaerator ยังเป็นผลดีแก่ระบบในทางอื่นๆ ด้วยการเติมน้ำป้อนที่ร้อนยังช่วยลดโอกาสในการเกิด Thermal Shock จากการขยายและหดตัวของพื้นผิวที่ให้ความร้อน ใช้เชื้อเพลิงในการผลิตไอน้ำน้อยลงเพราะน้ำป้อนมีอุณหภูมิสูงขึ้น

ง. ช่วยให้การถ่ายเทความร้อนดีขึ้น
อากาศหรือก๊าซที่ไม่สามารถควบแน่นในไอน้ำทำให้เกิดการสูญเสียประสิทธิภาพด้านความร้อนถึง 4 เท่า อากาศหรือก๊าซที่ไม่ควบแน่นในไอน้ำจะทำให้เกิดฉนวน กันความร้อนปกคลุมพื้นผิวแลกเปลี่ยนความร้อน ซึ่งจะลดการถ่ายเทความร้อนผ่านผนังท่อ ก๊าซซึ่งมีลักษณะเหมือนฉนวนนี้จะถูกดึงออกโดย Deaerator

จ. ช่วยให้มีการใช้ Flash Steam ให้เป็นประโยชน์
เมื่อมีการให้ความร้อนแก่น้ำป้อน Boiler เพื่อเพิ่มอุณหภูมิ ข้อดีสองข้อที่เห็นได้ชัดคือ (1) นำความร้อนของ Flash Steam มาใช้ใหม่ ช่วยลดค่าเชื้อเพลิงในการผลิต ไอน้ำได้โดยตรง (2) ไอน้ำที่ควบแน่นเป็น Condensate ช่วยลดปริมาณน้ำทดแทน จึงช่วยลดค่าน้ำและค่าบำบัด โดยทั่วไป การติดตั้งอุปกรณ์ Deaerator นั้นมักติดร่วมกับระบบการนำความร้อนจาก Continuous blow-down กลับมาใช้ใหม่
ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความดันของ Boiler และปริมาณ ของการ Blowdown

ฉ. เป็นจุดรวมน้ำ Condensate จากส่วนต่างของโรงงาน
Deaerator เป็นจุดรวมที่สะดวกสำหรับ Condensate ที่หมุนเวียนทั้งที่อุณหภูมิสูงและต่ำในโรงงานโดยไม่จำเป็นต้องส่งน้ำ Condensate เข้าถังพักน้ำ Condensate ก่อน Deaerator ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของโรงงาน
1. ป้องกันการกัดกร่อนในท่อหมุนเวียนและอุปกรณ์อื่นๆ โดยการลดและการดึงก๊าซออกซิเจน และก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์ออก
2. ก๊าซออกซิเจนใน Boiler จะถูกกำจัดเมื่อใช้ Deaerator แบบ 0.005 cc/liter (0.007 ppm)
3. ป้องกัน Thermal Shock และค่าใช้จ่ายในการซ่อมดูแล Boiler และระบบที่เกี่ยวข้อง
4. การลดค่าใช้จ่ายในการใช้เคมีบำบัด ช่วยลดสารที่ใช้กำจัดก๊าซออกซิเจน เช่น Sodium Sulfite, Hydrazine และการใช้Filming กับตัวปรับสภาวะ Amine ก็ลดลง
5. การประหยัดพลังงานความร้อนก็สามารถทำได้โดยการนำ Flash Steam ที่ความดันสูงๆ กลับมาใช้ใหม่กับ Deaerator
ถ้าผู้รับเหมาของท่านหรือผู้ที่ดูแลเรื่องนี้พยายามที่จะลดงบประมาณหรือต้นทุนของงานโดยการตัด Deaerator ออกไป ท่านกำลังเพิกเฉยกับกฎธรรมชาติที่จะเกิดขึ้นโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และถ้าตอนนี้ท่านไม่มีการใช้ Deaerator ท่านอาจไม่รู้ตัวว่ากำลังได้รับผลกระทบที่เกิดขึ้นอยู่ ผลที่ ตามมาจากการที่ก๊าซออกซิเจนและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไปในระบบไอน้ำ รวมถึงประสิทธิภาพทางความร้อนลดลงอาจมีอยู่โดยที่เราไม่รู้ตัว
อ่านบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2555

สงกร๊านน สงกรานต์

By P'Kiatchay


สงกรานต์ เป็นประเพณีปีใหม่ของประเทศไทย ลาว กัมพูชา พม่า ชนกลุ่มน้อยชาวไตแถบเวียดนามและมณฑลยูนนานของจีน ศรีลังกาและทางตะวันออกของประเทศอินเดีย สงกรานต์เป็นคำสันสกฤต หมายถึงการเคลื่อนย้าย ซึ่งเป็นการอุปมาถึงการเคลื่อนย้ายของการประทับในจักรราศี หรือคือการเคลื่อนขึ้นปีใหม่ในความเชื่อของไทยและบางประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชาวต่างประเทศเรียกว่า "สงครามน้ำ"

 ความหมายของ วันสงกรานต์


         คำว่า "สงกรานต์" มาจากภาษาสันสฤกตว่า สํ-กรานต แปลว่า ก้าวขี้น ย่างขึ้น หรือก้าวขึ้น การย้ายที่ เคลื่อนที่ คือ
พระอาทิตย์ย่างขึ้น สู่ราศีใหม่ หมายถึงวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งตกอยู่ในวันที่ 13,14,15 เมษายนทุกปี แต่วันสงกรานต์นั้นคือ วันที่ 13 เมษายน เรียกว่า วันมหาสงกรานต์ วันที่ 14 เป็นวันเนา วันที่ 15 เป็นวันเถลิงศก
 ความหมายของคำอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับสงกรานต์ มีดังนี้
         สงกรานต์ ที่แปลว่า "ก้าวขึ้น" "ย่างขึ้น"นั้นหมายถึง การที่ดวงอาทิตย์ ขึ้นสู่ราศีใหม่ อันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกเดือน ที่เรียกว่าสงกรานต์เดือน แต่เมื่อครบ 12 เดือนแล้วย่างขึ้นราศีเมษอีก จัดเป็นสงกรานต์ปี ถือว่าเป็น วันขึ้นปีใหม่ทางสุริยคติ ในทางโหราศาสตร์
         มหาสงกรานต์ แปลว่า ก้าวขึ้นหรือย่างขึ้นครั้งใหญ่ หมายถึงสงกรานต์ปี คือปีใหม่อย่างเดียว กล่าวคือสงกรานต์หมายถึง ได้ทั้งสงกรานต์เดือนและสงกรานต์ปี แต่มหาสงกรานต์ หมายถึง สงกรานต์ปีอย่างเดียว
         วันเนา แปลว่า "วันอยู่" คำว่า "เนา" แปลว่า "อยู่" หมายความว่าเป็นวันถัดจากวันมหาสงกรานต์มา 1 วัน วันมหาสงกรานต์เป็นวันที่ดวงอาทิตย์ย่างสู่ราศีตั้งต้นปีใหม่ วันเนาเป็นวันที่ดวงอาทิตย์เข้าที่เข้าทาง ในวันราศีตั้งต้นใหม่เรียบร้อยแล้ว คืออยู่ประจำที่แล้ว



         วันเถลิงศก แปลว่า "วันขึ้นศก" เป็นวันเปลี่ยน
จุลศักราชใหม่ การที่เปลี่ยนวันขึ้นศกใหม่มาเป็นวันที่ 3 ถัดจากวันมหาสงกรานต์ ก็เพื่อให้หมดปัญหาว่า การย่างขึ้นสู่จุดเดิม สำหรับต้นปีนั้นเรียบร้อยดี ไม่มีปัญหาเพราะอาจมีปัญหาติดพันเกี่ยวกับชั่วโมง นาที วินาที ยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ที่จะเปลี่ยนศกถ้าเลื่อนวันเถลิงศกหรือวันขึ้นจุลศักราชใหม่มาเป็น วันที่ 3 ก็หมายความว่า อย่างน้อยดวงอาทิตย์ได้ก้าวเข้าสู่ราศีใหม่ ไม่น้อยกว่า 1 องศาแล้วอาจจะย่างเข้าองศาที่ 2 หรือที่ 3 ก็ได้
         วันสงกรานต์เป็นวันเปลี่ยนจุลศักราชใหม่ ซึ่งกษัตริย์สิงหศแห่งพม่า ทรงตั้งขึ้นเมื่อปีกุนวันอาทิตย์ พ.ศ. 1181 โดยกำหนดเอาดวงอาทิตย์เข้าสู่ราศีเมษได้ 1 องศา ประกอบกับไทยเราเคยนิยมใช้จุลศักราช สงกรานต์จึงเป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทยอีกด้วย
         ในปีแรกที่กำหนดเผอิญเป็นวันที่ 13 เมษายน ซึ่งอันที่จริงไม่ใช่วันที่ 13 เมษายนทุกปี แต่เมื่อเป็นประเพณี ก็จำเป็นต้องเอาวันนั้นทุกปี เพื่อมิให้การประกอบพิธี ซึ่งมิได้รู้โดยละเอียดต้องเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา วันที่ 13 จึงเป็นวันสงกรานต์ของทุกปี
         ปกติวันสงกรานต์จะมี 3 วัน คือ เริ่มวันที่ 13 เมษายน ถึงวันที่ 15 เมษายน วันแรกคือวันที่ 13 เป็นวันมหาสงกราต์ วันที่พระอาทิตย์ต้องขึ้นสู่ราศีเมษ วันที่ 14 เป็นวันเนา (พระอาทิตย์คงอยู่ที 0 องศา) วันที่ 15 เป็นวันเถลิงศกใหม่ และเริ่มจุลศักราชในวันนี้ เมื่อก่อนจริง ๆ มีถึง 4วัน คือวันที่ 13-16 เป็นวันเนาเสีย 2 วัน (วันเนาเป็นวันอยู่เฉยๆ ) เป็นวันว่าง พักการงานนอกบ้านชั่วคราว
         จะเห็นได้ว่า วันสงกรานต์เป็นวันขึ้นปีใหม่ตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย จนถึง พ.ศ. 2483 ทางราชการจึงได้เปลี่ยนไหม่ โดยกำหนดเอาวันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่ เพื่อให้เข้ากับ หลักสากลที่นานาประเทศนิยมปฏิบัติอย่างไรก็ตาม แม้จะมีการเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่ประชาชนก็ยังยึดถือว่า วันสงกรานต์มีความสำคัญ
ความเป็นมาของวันสงกรานต์


         ตามหลักแล้วเทศกาลสงกรานต์ถูกกำหนดตามการคำนวณโดยหลักเกณฑ์ใน
คัมภีร์สุริยยาตร์ โดยวันแรกของเทศกาลซึ่งเป็นวันที่พระอาทิตย์ยกเข้าสู่ราศีเมษ (ย้ายจากราศีมีนไปราศีเมษ) เรียกว่า "วันมหาสงกรานต์" วันถัดมาเรียกว่า "วันเนา" และวันสุดท้ายซึ่งเป็นวันเปลี่ยนจุลศักราชและเริ่มใช้กาลโยคประจำปีใหม่ เรียกว่า "วันเถลิงศก" จากหลักการข้างต้นนี้ ทำให้ปัจจุบันเทศกาลสงกรานต์มักตรงกับวันที่ 14-16 เมษายน (ยกเว้นบางปี เช่น พ.ศ. 2551 และ พ.ศ. 2555 ที่สงกรานต์กลับมาตรงกับวันที่ 13-15 เมษายน) อย่างไรก็ตาม ปฏิทินไทยในขณะนี้กำหนดให้เทศกาลสงกรานต์ตรงกับวันที่ 13-15 เมษายน ของทุกปี และเป็นวันหยุดราชการ
         สงกรานต์ เป็นประเพณีเก่าแก่ของไทยซึ่งสืบทอดมาแต่โบราณคู่มากับประเพณีตรุษ จึงมีการเรียกรวมกันว่า ประเพณีตรุษสงกรานต์ หมายถึงประเพณีส่งท้ายปีเก่า และต้อนรับปีใหม่ คำว่าตรุษเป็นภาษาทมิฬ แปลว่าการสิ้นปี
        พิธีสงกรานต์ เป็นพิธีกรรมที่เกิดขึ้นในสมาชิกในครอบครัว หรือชุมชนบ้านใกล้เรือนเคียง แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนไปสู่สังคมในวงกว้าง และมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนทัศนคติ และความเชื่อไป ในความเชื่อดั้งเดิมใช้สัญลักษณ์เป็นองค์ประกอบหลักในพิธี ได้แก่ การใช้น้ำเป็นตัวแทน แก้กันกับความหมายของฤดูร้อน ช่วงเวลาที่พระอาทิตย์เคลื่อนเข้าสู่ราศีเมษ ใช้น้ำรดให้แก่กันเพื่อความชุ่มชื่น มีการขอพรจากผู้ใหญ่ การรำลึกและกตัญญูต่อบรรพบุรุษที่ล่วงลับ ในชีวิตสมัยใหม่ของสังคมไทยเกิดประเพณีกลับบ้านในเทศกาลสงกรานต์ นับวันสงกรานต์เป็นวันครอบครัว ในพิธีเดิมมีการสรงน้ำพระที่นำสิริมงคล เพื่อให้เป็นการเริ่มต้นปีใหม่ที่มีความสุข ปัจจุบันมีพัฒนาการและมีแนวโน้มว่าได้มีการเสริมจนคลาดเคลื่อนบิดเบือนไป เกิดการประชาสัมพันธ์ในเชิงการท่องเที่ยวว่าเป็น ‘Water Festival’ เป็นภาพของการใช้น้ำเพื่อแสดงความหมายเพียงประเพณีการเล่นน้ำ
         การที่สังคมเปลี่ยนไป มีการเคลื่อนย้ายที่อยู่เข้าสู่เมืองใหญ่ และถือวันสงกรานต์เป็นวัน "กลับบ้าน" ทำให้การจราจรคับคั่งในช่วงวันก่อนสงกรานต์ วันแรกของเทศกาล และวันสุดท้ายของเทศกาล เกิดอุบัติเหตุทางถนนสูง นับเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้นตามการเปลี่ยนแปลงหลายด้านของสังคม นอกจากนี้ เทศกาลสงกรานต์ยังถูกใช้ในการส่งเสริมการท่องเที่ยว ทั้งต่อคนไทย และต่อนักท่องเที่ยวต่างประเทศ
ตำนานนางสงกรานต์

         ตาม
จารึกที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม กล่าวตามพระบาลีฝ่ายรามัญว่า ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเศรษฐีคนหนึ่ง รวยทรัพย์แต่อาภัพบุตร ตั้งบ้านอยู่ใกล้กับนักเลงสุราที่มีบุตรสองคน วันหนึ่งนักเลงสุราต่อว่าเศรษฐีจนกระทั่งเศรษฐีน้อยใจ จึงได้บวงสรวงพระอาทิตย์ พระจันทร์ ตั้งจิตอธิษฐานอยู่กว่าสามปี ก็ไร้วี่แววที่จะมีบุตร อยู่มาวันหนึ่งพอถึงช่วงที่พระอาทิตย์ยกขึ้นสู่ราศีเมษ เศรษฐีได้พาบริวารไปยังต้นไทรริมน้ำ พอถึงก็ได้เอาข้าวสารลงล้างในน้ำเจ็ดครั้ง แล้วหุงบูชาอธิษฐานขอบุตรกับรุกขเทวดาในต้นไทรนั้น รุกขเทวดาเห็นใจเศรษฐี จึงเหาะไปเฝ้าพระอินทร์ ไม่ช้าพระอินทร์ก็มีเมตตาประทานให้เทพบุตรองค์หนึ่งนาม "ธรรมบาล" ลงไปปฏิสนธิในครรภ์ภรรยาเศรษฐี ไม่ช้าก็คลอดออกมา เศรษฐีตั้งชื่อให้กุมารน้อยนี้ว่า ธรรมบาลกุมาร และได้ปลูกปราสาทไว้ใต้ต้นไทรให้กุมารนี้อยู่อาศัย
         ต่อมาเมื่อธรรมบาลกุมารโตขึ้น ก็ได้เรียนรู้ซึ่งภาษานก และเรียนไตรเภทจบเมื่ออายุได้เจ็ดขวบ เขาได้เป็นอาจารย์บอกมงคลต่าง ๆ แก่คนทั้งหลาย อยู่มาวันหนึ่ง ท้าวกบิลพรหม ได้ลงมาถามปัญหากับธรรมบาลกุมาร 3 ข้อ ถ้าธรรมบาลกุมารตอบได้ก็จะตัดเศียรบูชา แต่ถ้าตอบไม่ได้จะตัดศีรษะธรรมบาลกุมารเสีย ท้าวกบิลพรหมถามธรรมบาลกุมารว่า ตอนเช้าศรีอยู่ที่ไหน ตอนเที่ยงศรีอยู่ที่ไหน และตอนค่ำศรีอยู่ที่ไหน ทันใดนั้นธรรมบาลกุมารจึงขอผัดผ่อนกับท้าวกบิลพรหมเป็นเวลา 7 วัน
         ทางธรรมบาลกุมารก็พยายามคิดค้นหาคำตอบ ล่วงเข้าวันที่ 6 ธรรมบาลกุมารก็ลงจากปราสาทมานอนอยู่ใต้ต้นตาล เขาคิดว่า ขอตายในที่ลับยังดีกว่าไปตายด้วยอาญาท้าวกบิลพรหม บังเอิญบนต้นไม้มีนกอินทรี 2 ตัวผัวเมียเกาะทำรังอยู่ นางนกอินทรีถามสามีว่า พรุ่งนี้เราจะไปหาอาหารแห่งใด สามีตอบนางนกว่า เราจะไปกินศพธรรมบาลกุมาร ซึ่งท้าวกบิลพรหมจะฆ่าเสีย ด้วยแก้ปัญหาไม่ได้ นางนกจึงถามว่า คำถามที่ท้าวกบิลพรหมถามคืออะไร สามีก็เล่าให้ฟัง ซึ่งนางนกก็ไม่สามารถตอบได้ สามีจึงเฉลยว่า ตอนเช้า ศรีจะอยู่ที่หน้า คนจึงต้องล้างหน้าทุก ๆ เช้า ตอนเที่ยง ศรีจะอยู่ที่อก คนจึงเอาเครื่องหอมประพรมที่อก ส่วนตอนเย็น ศรีจะอยู่ที่เท้า คนจึงต้องล้างเท้าก่อนเข้านอน ธรรมบาลกุมารก็ได้ทราบเรื่องที่นกอินทรีคุยกันตลอด จึงจดจำไว้
         ครั้นรุ่งขึ้น ท้าวกบิลพรหมก็มาตามสัญญาที่ให้ไว้ทุกประการ ธรรมบาลกุมารจึงนำคำตอบที่ได้ยินจากนกไปตอบกับท้าวกบิลพรหม ท้าวกบิลพรหมจึงตรัสเรียกธิดาทั้งเจ็ดอันเป็นบาทบาจาริกาพระอินทร์มาประชุมพร้อมกัน แล้วบอกว่า เราจะตัดเศียรบูชาธรรมบาลกุมาร ถ้าจะตั้งไว้ยังแผ่นดิน ไฟก็จะไหม้โลก ถ้าจะโยนขึ้นไปบนอากาศ ฝนก็จะแล้ง ถ้าจะทิ้งในมหาสมุทร น้ำก็จะแห้ง จึงให้ธิดาทั้งเจ็ดนำพานมารองรับ แล้วก็ตัดเศียรให้นางทุงษะ ผู้เป็นธิดาองค์โต จากนั้นนางทุงษะก็อัญเชิญพระเศียรท้าวกบิลพรหมเวียนขวารอบเขาพระสุเมรุ 60 นาที แล้วเก็บรักษาไว้ในถ้ำคันธุลี ในเขาไกรลาศ
         จากนั้นมาทุก ๆ 1 ปี ธิดาของท้าวกบิลพรหมทั้ง 7 ก็จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาทำหน้าที่อัญเชิญพระเศียรท้าวกบิลพรหมแห่ไปรอบเขาพระสุเมรุ เป็นเวลา 60 นาที แล้วประดิษฐานตามเดิม ในแต่ละปีนางสงกรานต์แต่ละนางจะทำหน้าที่ผลัดเปลี่ยนกันตามวันมหาสงกรานต์ ดังนี้
  สงกรานต์ 4 ภาค
สงกรานต์ภาคเหนือ
          หรือ สงกรานต์ล้านนา หรือ "ประเพณีปี๋ใหม่เมือง" อันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ เริ่มตั้งแต่"วันสังขารล่อง"(13 เม.ย.) ที่มีการทำความสะอาดบ้านเพื่อความเป็นสิริมงคล "วันเนา"หรือ"วันเน่า"(14 เม.ย.) วันที่ห้ามใครด่าทอว่าร้ายเพราะจะทำให้โชคร้ายไปตลอดทั้งปี "วันพญาวัน"หรือ"วันเถลิงศก" (15 เม.ย.) วันนี้ชาวบ้านจะตื่นแต่เช้าทำบุญตักบาตรเข้าวัดฟังธรรม ก่อนจะไปรดน้ำดำหัวขอขมาญาติผู้ใหญ่ในช่วงบ่าย"วันปากปี"(16 เม.ย.)ชาวบ้านจะพากันไปรดน้ำเจ้าอาวาสตามวัดต่างๆเพื่อขอขมาคารวะ และ"วันปากเดือน"(17 เม.ย.)เป็นวันที่ชาวบ้านส่งเคราะห์ต่างๆออกไปจากตัวเพื่อปิดฉากประเพณีสงกรานต์ล้านนา
สงกรานต์ภาคอีสาน
         นิยมจัดกันอย่างเรียบง่าย แต่ว่ามากไปด้วยความอบอุ่น โดยคนอีสานจะเรียกประเพณีสงกรานต์ว่า "บุญเดือนห้า" หรือ"ตรุษสงกรานต์" และจะถือฤกษ์ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 เวลาบ่าย 3 โมง เป็นเวลาเริ่มงานโดยพระสงฆ์จะตีกลองโฮมเปิดศักราช จากนั้นญาติโยมจะจัดเตรียมน้ำอบหาบไปรวมกันที่ศาลาวัดเพื่อสรงน้ำพระพุทธรูป แล้วต่อด้วยการรดน้ำดำหัว ปู่ ย่า ตา ยาย และญาติผู้ใหญ่ เพื่อขอขมาลาโทษจากนั้นก็จะเป็นการเล่นสาดน้ำสงกรานต์กันอย่างสนุกสนาน
สงกรานต์ภาคใต้
         ตามความเชื่อของประเพณีสงกรานต์แบบดั้งเดิมที่ภาคใต้แล้ว สงกรานต์เป็นช่วงเวลาแห่งการผลัดเปลี่ยนเทวดาผู้รักษาดวงชะตาบ้านเมือง พวกเขาจึงถือเอาวันแรกของสงกรานต์(13 เม.ย.)เป็น"วันส่งเจ้าเมืองเก่า" โดยจะทำพิธีสะเดาะเคราะห์สิ่งไม่ดีออกไป ส่วน"วันว่าง"(14 เม.ย.) ชาวนครจะไปทำบุญตักบาตรที่วัด และสรงน้ำพระพุทธรูป และวันสุดท้ายเป็น"วันรับเจ้าเมืองใหม่"(15 เม.ย.)จะทำพิธีต้อนรับเทวดาองค์ใหม่ด้วยการแต่งองค์ทรงเครื่องอย่างสวยงามส่งท้ายสงกรานต์ประเพณีสงกรานต์
สงกรานต์ภาคกลาง
         เริ่มขึ้นในวันที่ 13 เมษายน เป็นวัน"มหาสงกรานต์" วันที่ 14 เป็น"วันกลาง"หรือ"วันเนา" วันที่ 15 เป็นวัน"วันเถลิงศก" ทั้ง 3 วันประชาชนจะประกอบพิธีทางศาสนา มีการทำบุญตักบาตร ปล่อยนกปล่อยปลา การกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติผู้ล่วงลับ การสรงน้ำพระ การขนทรายเข้าวัดก่อพระเจดีย์ทราย
พื้นที่เด่นในการจัดงานสงกรานต์ในประเทศไทย
ภาคเหนือ
ป๋าเวณีปี๋ใหม่เมือง: 13 - 15 เมษายน บริเวณทั่วเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่
  • ประเพณีสรงน้ำโอยทาน สงกรานต์ ศรีสัชนาลัย: 13 -15 เมษายน บริเวณอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย
  • ประเพณีสงกรานต์อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย : 13 -15 เมษายน บริเวณอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย จังหวัดสุโขทัย
ภาคอีสาน
  • มหาสงกรานต์อีสานหนองคาย(สงกรานต์ไทย-ลาว): 6 - 18 เมษายน บริเวณหาดจอมมณีแม่น้ำโขงและวัดโพธิ์ชัย จังหวัดหนองคาย
  • สงกรานต์นครพนม รื่นรมย์บุญปีใหม่ไทยลาว: 12 - 15 เมษายน อำเภอเมืองนครพนม และอำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม
  • สุดยอดสงกรานต์อีสาน เทศกาลดอกคูน-เสียงแคนและถนนข้าวเหนียว: 8 - 15 เมษายน บริเวณบึงแก่นนคร และถนนศรีจันทร์ จังหวัดขอนแก่น
ภาคกลาง
  • มหาสงกรานต์กรุงเทพมหานคร: 8 - 15 เมษายน บริเวณสนามหลวง ถนนข้าวสาร และรอบเกาะรัตนโกสินทร์ Summer Fave 2007 city on the beach: 12 - 16 เมษายน ลานเซ็นทรัลเวิลด์สแควร์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ สี่แยกราชประสงค์ กรุงเทพมหานคร
  • ประเพณีสงกรานต์กรุงเก่า: บริเวณรอบเกาะเมืองอยุธยา
  • ประเพณีสงกรานต์พระประแดง: 20 - 22 เมษายน บริเวณเทศบาลเมืองพระประแดง อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ
  • งานประเพณีวันไหลพัทยา-นาเกลือ: 18 - 19 เมษายน บริเวณสวนสาธารณะลานโพธิ์ จังหวัดชลบุรี
  • ประเพณีก่อพระทรายวันไหลบางแสน: 16 - 17 เมษายน บริเวณชายหาดบางแสน อำเภอเมืองล จังหวัดชลบุรี
  • งานประเพณีสงกรานต์ศรีมหาราชาและประเพณีกองข้าว: 19 - 21 เมษายน บริเวณสวนสาธารณะเกาะลอย อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี
  • ประเพณีสงกรานต์เกาะสีชัง: 13 - 19 เมษายน บริเวณเกาะสีชังและเกาะขามใหญ่ จังหวัดชลบุรี
ภาคใต้
  • งานเทศกาลมหาสงกรานต์เมืองนครศรีธรรมราช แห่นางดาน: 11- 15 เมษายน บริเวณวัดพระบรมธาตุ และบริเวณสวนศรีธรรมโศกราช จังหวัดนครศรีธรรมราช
  • Songkran the Water Festival on the Beach: 12 - 16 เมษายน บริเวณสวนสาธารณะโลมา และเดอะพอร์ต ศูนย์การค้าจังซีลอน หาดป่าตอง จังหวัดภูเก็ต
  • หาดใหญ่มิดไนท์สงกรานต์: 12 - 13 เมษายน บริเวณถนนนิพัทธ์อุทิศและถนนเสน่หานุสรณ์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
กิจกรรมวันสงกรานต์

เมื่อถึงวันสงกรานต์ เป็นเวลาที่ทุกคนจะยิ้มแย้มแจ่มใส ทำใจให้เบิกบาน เพื่อทำกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งมีดังต่อไปนี้
  • การทำบุญ ตักบาตรตอนเช้า หรือนำอาหารไปถวายพระที่วัด
  • การทำบุญอัฐิ อาจจะทำตอนไหนก็ได้ เช่น หลังจากพระภิกษุ - สามเณรฉันเพลแล้ว หรือจะนิมนต์พระมาสวดมนต์ ฉันเพลที่บ้าน แล้วบังสุกุลก็ได้
  • การทำบุญอัฐิ อาจจะนิมนต์พระไปยังสถานที่เก็บหรือบรรจุอัฐิ หากไม่มีให้เขียนชื่อผู้ที่ล่วงลับไปแล้วลงในกระดาษ เมื่อบังสุกุลเสร็จจึงเผากระดาษแผ่นนั้นเสีย เช่นเดียวกับการเผาศพ
  • การสรงน้ำพระ มี 2 แบบ คือ การสรงน้ำพระภิกษุสามเณร และการสรงน้ำพระพุทธรูป
         การสรงน้ำพระภิกษุสามเณร จะใช้แบบเดียวกับอาบน้ำ คือ การใช้ขันตักรดที่ตัวท่าน หรือที่ฝ่ามือก็ได้ แล้วแต่ความนิยม หากเป็นการสรงน้ำแบบอาบน้ำพระ จะมีการถวายผ้าสบงหรือถวายผ้าไตรตามแต่ศรัทธาด้วย
         การสรงน้ำพระพุทธรูป อาจจะจัดเป็นขบวนแห่ หรือ เชิญมาประดิษฐานในที่อันเหมาะสม การสรงน้ำจะใช้น้ำอบ น้ำหอม หรือน้ำที่ผสมด้วยน้ำอบ น้ำหอมประพรมที่องค์พระ
              การก่อพระเจดีย์ทราย จะทำในวันใดวันหนึ่งระหว่างวันที่ 13 - 15 เมษายน โดยการขนทรายมาก่อเป็นเจดีย์ขนาดต่าง ๆ ในบริเวณวัด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้วัดได้ใช้ประโยชน์ในการก่อสร้าง หรือถมพื้นต่อไป ถือเป็นการทำบุญอีกลักษณะหนึ่งที่ได้ทั้งบุญและความสนุกสนาน
                การปล่อยนก ปล่อยปลา เป็นการทำบุญทำทานอีกรูปแบบหนึ่ง โดยเฉพาะการปล่อยนก ปล่อยปลาที่ติดกับดัก บ่วง ให้ไปสู่อิสระ หรือปลาที่อยู่ในน้ำตื้น ๆ ซึ่งอาจจะตายได้ หากปล่อยให้อยู่ในสภาพแบบเดิม
  • การรดน้ำผู้ใหญ่ หรือการรดน้ำขอพร เป็นการแสดงความเคารพต่อผู้ใหญ่ของครอบครัว หรือผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ การรดน้ำผู้ใหญ่อาจจะรดน้ำทั้งตัวหรือรดเฉพาะที่ฝ่ามือก็ได้ ดังนั้นจึงควรมีผ้านุ่งห่มไปมอบให้ด้วย เพื่อจะได้ผลัดเปลี่ยนหลังจากเสร็จสิ้นพิธีแล้ว
  • การเล่นรดน้ำ หลังจากเสร็จพิธีการต่าง ๆแล้ว เป็นการเล่นรดน้ำ เพื่อเชื่อมความ สัมพันธ์ระหว่างญาติมิตร โดยการใช้น้ำสะอาดผสมน้ำอบหรือน้ำหอม หรือจะใช้น้ำอบก็ได้ รดกันเบา ๆ ด้วยความสุภาพ
  • การเล่นรื่นเริงต่างๆ เช่น เข้าทรงแม่ศรี สะบ้า ลูกช่วง สุดแล้วแต่ความนิยมของท้องถิ่นนั้น ๆ
         ประเพณีปฏิบัติเหล่านี้ อาจจะมีความแตกต่างกันออกไปบ้างตามแต่ละท้องถิ่น การจะยึดถือปฏิบัติอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและความต้องการของชุมชนเป็นสำคัญ
คุณค่าและสาระจากวันสงกรานต์
      จากภาพรวมของกิจกรรมต่าง ๆ ในวันสงกรานต์ จะเห็นได้ว่า สงกรานต์เป็นประเพณีที่งดงาม อ่อนโยน เอื้ออาทร และเต็มไปด้วยบรรยากาศของความกตัญญู ความเคารพซึ่งกันและกัน เป็นประเพณีที่ให้ความสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนมนุษย์ในสังคม โดยใช้น้ำเป็นสื่อในการเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างกัน มิใช่เทศกาลแห่งน้ำอย่างที่หน่วยงานของรัฐบางแห่งกำลังดำเนินการเพื่อสร้างจุดขาย สร้างรายได้เข้าประเทศ จนสร้างความเข้าใจผิดให้เกิดขึ้นแก่ประชาชนทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่คนไทยด้วยกันเอง ซึ่งกำลังจะห่างไกลและหลุดลอยไปจากรากเหง้าเดิมของประเพณีสงกรานต์กันไปทุกที
         ประเพณีที่ถือปฏิบัติและสืบทอดกันมาอย่างยาวนาน เช่น ประเพณีสงกรานต์นี้ จึงย่อมมีความหมายและมีคุณค่าต่อผู้ปฏิบัติ ชุมชนและสังคมเป็นอย่างยิ่ง กล่าวคือ
         วันสงกรานต์เป็นวันแห่งความรัก ความผูกพันในครอบครัว อย่างแท้จริง สมัยก่อนพ่อแม่จะเตรียมเสื้อผ้าใหม่พร้อมเครื่องประดับให้ลูกหลานไปทำบุญ ลูกหลานก็จะเตรียมเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มให้ผู้ใหญ่ได้สวมใส่หลังการรดน้ำขอพร ปัจจุบันเมื่อถึงวันสงกรานต์ทุกคนจะหาโอกาสกลับบ้านไปหาพ่อแม่รดน้ำขอพร เพื่อเป็นสิริมงคลในการเริ่มต้นปีใหม่และเป็นกำลังใจกันและกันในการดำรงชีวิตอยู่ต่อไป
         วันสงกรานต์เป็นวันแห่งการแสดงความกตัญญู โดยการปรนนิบัติต่อพ่อแม่และผู้มีพระคุณที่มีชีวิตอยู่ และทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว
         วันสงกรานต์ เป็นวันที่ก่อให้เกิดความสมัครสมานสามัคคีในชุมชน เช่น การได้พบปะสังสรรค์ร่วมกันทำบุญ และการละเล่นสนุกสนานรื่นเริงในยามบ่ายหลังจากการทำบุญ โดยการเล่นรดน้ำในหมู่เพื่อนฝูงและคนรู้จักและการละเล่นตาม
สงกรานต์ในปัจจุบัน และอนาคต
         ท่ามกลางกระแสโลกาภิวัตน์ที่แผ่ขยายครอบคลุมไปทั่วโลก โดยเฉพาะที่ส่งผลกับประเทศไทย ก่อให้เกิดภาวะวิกฤตกับวัฒนธรรมไทยเป็นอย่างมาก ประเพณีสงกรานต์ก็ตกอยู่ในวัฏจักรนี้เช่นเดียวกัน มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นหลายประการที่ยังความเป็นห่วงให้เกิดขึ้นแก่ทุกคนที่รักและเห็นคุณค่าของประเพณีนี้ จึงมีความพยายามที่จะรณรงค์ทุกรูปแบบเพื่อให้ทุกคนที่เป็นคนไทย รวมทั้งชาวต่างชาติได้รับรู้ถึงความหมาย ความสำคัญ และคุณค่าของประเพณีสงกรานต์ที่แท้จริง
         หากคนไทยทุกคนเข้าใจถึงคุณค่า และแนวทางปฏิบัติของประเพณีสงกรานต์ และร่วมมือกันปฏิบัติให้ถูกต้องเพื่อสืบทอดความหมายและคุณค่า ความเบี่ยงเบน ความรุนแรงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นก็จะหมดไป โดยเฉพาะเกี่ยวกับการเล่นสาดน้ำที่เกินเหตุ ซึ่งนอกจากจะเต็มไปด้วยพฤติกรรมที่เสี่ยงอันตรายทั้งการใช้น้ำสกปรก การใช้น้ำแข็งขว้างปา การใช้อุปกรณ์ฉีดน้ำที่มีแรงดันสูงจนก่อให้เกิดอันตราย การใช้แป้งใช้สีทาตามหน้าตาและเนื้อตัว ฯลฯ ตลอดจนกระทั่งการขยายความหมายของการเล่นสาดน้ำให้เป็นจุดขายของประเพณีสงกรานต์จนเกินจริง ทั้ง ๆ ที่การเล่นรดน้ำเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่แสดงถึงความเอาใจใส่ ความเอื้ออาทร และความหวังดีซึ่งกันและกันเท่านั้น
         เราคนไทยควรใช้ประเพณีสงกรานต์นี้ เป็นโอกาสในการสร้างความรัก ความกตัญญู ความเอื้ออาทร ความเคารพซึ่งกันและกัน เพื่อสานความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อมนุษย์ด้วยกัน มากกว่าจะเป็นเพียงการเล่นสาดน้ำอย่างอึกทึกครึกโครมเท่านั้น โดยละเลยคุณค่า สาระ ที่เป็นแก่นแท้ของประเพณีสงกรานต์ที่งดงามมาและทรงคุณค่ามาแต่อดีต
อ่านบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2555

ทำงานอย่างไรให้มีความสุข

By พี่โหน่ง



ได้อ่านบทเทศน์ของท่าน ว.วชิรเมธีแล้วน่าสนใจเผื่อว่าจะเกิดประโยชน์ต่อพนักงานหรือองค์กรบ้างไม่มากก็น้อยเลยเลือกมาลงใน Blog  ถ้าจะมีใครนำมาปฏิบัติอาจเกิดผลดีต่อตนเองก็เป็นได้ ซึ่งต้องขอขอบคุณบทความดีจากไทยรัฐออนไลน์และกราบนมัสการพระคุณเจ้าที่นำแต่สิ่งดีๆแก่คนไทยในยามที่ประเทศไทยต้องการกำลังใจ

ว.วชิรเมธี ทำงานอย่างไรให้มีความสุข (ไทยรัฐ)

         
สุดท้ายที่จะมาเทศน์ผ่านไทยรัฐออนไลน์ คือ ท่าน ว.วชิรเมธี พระอาจารย์ที่เชี่ยวชาญการเทศน์ในทุกหัวข้อ จนได้ฉายาว่าพระผู้รอบรู้ เพราะแทบไม่มีเรื่องอะไรเลยที่ ท่าน ว.ตอบให้กับสังคมไม่ได้ ที่สำคัญทุก ๆ คำตอบของท่านตอบด้วยธรรมะที่คติธรรมโดยไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด...!!!

http://hilight.kapook.com/img_cms/dookdik/9.gifศิลปะการทำงานให้มีความสุข
          หัวข้อทำงานอย่างไรให้มีความสุขเป็นหัวข้อของอาตมา ซึ่งสามารถแบ่งได้ดังนี้
http://hilight.kapook.com/img_cms/dookdik/43.gif1. ทำงานที่ใจรัก เพราะถ้าเราทำงานที่ใจรักทุก ๆ วันจะเป็นวันแห่งความสุข เราไม่ต้องรอว่าความสุขจะมาถึงเราวันเสาร์-อาทิตย์แต่ทุกวันที่เราทำงานจะเป็นวันแห่งความสุขของเราเพราะว่าเราทำด้วยความรัก
http://hilight.kapook.com/img_cms/dookdik/43.gif2. ทำงานทุกชิ้นให้เต็มที่ให้ดี เพราะเมื่อเราสร้างงาน งานจะย้อนกลับมาสร้างคน งานคือเวทีแสดงออกซึ่งศักยภาพในการทำงานของเราทุกครั้งที่เราทำงานให้เต็มที่และทำอย่างดีที่สุด คนก็จะเห็นคุณค่าของเราว่ามีมากน้อยเพียงไร ดังนั้นเมื่อเราตั้งใจสร้างงาน งาน 1 ชิ้นก็จะย้อนกลับมาสร้างคน
http://hilight.kapook.com/img_cms/dookdik/43.gif3. ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต โปร่งใสเพราะเมื่อเราทำงานด้วยความสุจริตก็ไม่ต้องมานั่งระแวงภัยที่จะตามมาในอนาคตซึ่งเกิดจากการตามจับผิด โดยหน่วยงานของทางการต่างๆ ถ้าเราทำวันนี้ให้ถูกต้องก็ไม่ต้องนั่งกังวลว่าวันวานมันจะผิด
http://hilight.kapook.com/img_cms/dookdik/43.gif4. เป็นนักประสานสิบทิศ อย่ามัวแต่ทำงานจนหลงลืมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงาน ไม่มีใครเก่งอยู่ได้คนเดียว แท้ที่จริงเราจะต้องอาศัยผู้ร่วมงานจากทุกฝ่ายอยู่เสมอ ดังนั้นอย่ามัวแต่ทำงานแต่จงทำคนด้วย เพื่อก่อให้เกิดสภาวะงานก็สำเร็จ ชีวิตก็รื่นรมย์ คนก็สำราญ งานก็สำเร็จ ใครทำงานได้อย่างนี้คน ๆ นั้นจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในการทำงาน จนกล่าวได้ว่า งานก็สำเร็จ ชีวิตก็รื่นรมย์

http://hilight.kapook.com/img_cms/dookdik/9.gifถ้าไม่ได้ทำงานที่เรารักจะมีความสุขหรือเปล่า
          ตอบได้อย่างนี้ ถ้าไม่ได้ทำงานที่เรารัก วิธีคิดที่ดีคือการมองเชิงบวก เวลาเจองานหนักก็ให้บอกตัวเองว่านี้คือการฝึกตัวเอง เวลาเจอปัญหาซับซ้อนก็บอกตัวเองว่ายิ่งปัญหาซับซ้อนเราก็ยิ่งได้เรียนรู้มากขึ้น เวลาเจอเจ้านายที่ละเมียดละไมเหลือเกินก็ให้บอกตัวเองว่า นายที่รอบคอบแบบนี้จะฝึกเราให้สมบูรณ์แบบ ฉะนั้นถ้าเรามองเชิงบวกให้เป็นถึงแม้เราจะไม่ได้ทำงานที่เรารักแต่เราก็จะมีความสุขเสมอ ในเมื่อไม่มีสิ่งที่เราชอบ เราก็ควรชอบสิ่งที่เรามี เพราะในโลกนี้ไม่มีใครได้อะไรอย่างใจหวัง และจะไม่มีใครพลาดหวังทุกอย่างไป ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราจะทำมีแง่ดีแง่งามอยู่เสมอขอให้เรามองให้เห็น ถ้ามองเห็นเราก็จะเป็นสุขกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

http://hilight.kapook.com/img_cms/dookdik/9.gifวิธีการมองเห็นทำอย่างไรถึงจะมองเห็นกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
          คุณสมบัติที่จะเปลี่ยนทุกข์ให้เป็นสุขนั้น มี 2 อย่าง
http://hilight.kapook.com/img_cms/dookdik/43.gif1. สังเกต สังเกตหาแง่ดีแง่งามของสิ่งต่าง ๆ ที่เราทำอยู่ให้เจอ เช่น งานของพระอาจารย์เป็นงานที่ต้องเดินทางบ่อยมากไปเทศน์ไปสอนตลอด หลายคนก็บอกว่าเหนื่อยมาก ๆ  ถ้ามาถามพระอาจารย์จะบอกว่ามันเหนื่อยก็จริงแต่มีความสุขมากเพราะได้เดินทางไปทั่วโลก ได้เจอผู้คน ได้พบภูมิประเทศใหม่ ๆ ได้สานสัมพันธ์ใหม่ ๆ ตลอดเวลา ฉะนั้นในความเหนื่อยเราก็ได้เดินทางท่องไปทั่วทั้งโลก นี่คือแง่ดีแง่งาม แต่ส่วนใหญ่คนมักจะมองอยู่จุดเดียวมองแค่ว่าเรากำลังเหนื่อยหนักจริง ๆ เหนื่อยก็แค่ส่วนหนึ่ง แต่ส่วนที่ดีเมื่อพิจารณาจริง ๆ แล้วมันมีมากกว่า ให้เราสังเกตอย่างนี้ รู้จักสังเกต รู้จักพินิจ พิจารณา เราจะเห็นความแตกต่างเสมอ
http://hilight.kapook.com/img_cms/dookdik/43.gif2. สังเกตแล้วต้องสังกาให้ตั้งคำถาม ว่าเราจะสร้างสรรค์งานที่เราทำอยู่ให้ดีขึ้นได้อย่างไร ถ้าเราถามว่า ทำไม ทำไม ทำไม... ก็จะเกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ ขึ้นมาทุกครั้งไป กาลิเลโอก็ดี นิวตั้นก็ดี ประสบความสำเร็จในชีวิตเพราะว่า เขาชอบตั้งคำถามว่าทำไม นั่นแหละเคล็ดลับในการทำงาน

http://hilight.kapook.com/img_cms/dookdik/9.gifทำงานที่ชอบแต่เงินเดือนน้อยมองอย่างไรให้เป็นสุข
          ถ้าเงินเดือนน้อยก็ต้องลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นของเราทิ้งไป แทนที่จะไปเรียกร้องเงินเดือนให้สูงขึ้นกว่าจะได้ก็ช้ามาก ก็ใช้วิธีปรับวิธีในการบริโภคของเราลง ที่จะบริโภคต่างความอยาก ซึ่งเติมอย่างไรก็ไม่เต็มมาบริโภคตามความจำเป็น ดีกว่ามุ่งประโยชน์ใช้สอยอย่างมุ่งประโยชน์ใช้สวย ถ้าเราจับจ่ายใช้สอยในการถือหลักประโยชน์ใช้สวยมีเท่าไหร่ก็ไม่พอ แต่ถ้าเราถือหลักจับจ่ายใช้สอย คือจำเป็นแค่ไหนก็จับจ่ายใช้สอยแค่นั้น พอกินพอใช้ ถึงแม้ไม่รวยแต่ก็ไม่ถึงขั้นตกต่ำย่ำแย่ แทนที่เราจะเรียกร้องเงินเยอะ ๆ ทำไมเราไม่ลดหรือเปลี่ยนวิธีในการบริโภคของเราแทน บริโภคต่างตัณหาทำให้เรามีเงินเท่าไหร่ก็ไม่พอใช้ แต่บริโภคตามปัญญาถึงเงินไม่มากมายอะไรแต่เราก็มีความสุขตามสมควร...



http://hilight.kapook.com/img_cms/dookdik/9.gifวิธีการแก้ปัญหาในที่ทำงาน ทั้งโดนนินทา โดนแกล้ง
          ให้ถือซะว่ามารไม่มีบารมีไม่เกิด เวลาที่เราทำงานต้องมีอยู่แล้วคนแกล้งคนไม่พอใจคนอิจฉาตาร้อนให้เราถือหลักว่า
http://hilight.kapook.com/img_cms/dookdik/43.gif1. มารไม่มีบารมีไม่เกิด
http://hilight.kapook.com/img_cms/dookdik/43.gif2. สิ่งใดเกิดขึ้นแล้วสิ่งนั้นกำไรเสมอ
http://hilight.kapook.com/img_cms/dookdik/43.gif3. อยู่ใต้ฟ้าอย่ากลัวฝน เกิดเป็นคนอย่ากลัวคำนินทา
http://hilight.kapook.com/img_cms/dookdik/43.gif4. ถูกชมก็เข้าท่าถูกด่าก็ไม่เลว เหล่านี้เป็นคติที่พระอาจารย์ใช้ทำงานอยู่เสมอ จึงสามารถรับมือได้ทุกกระบวนท่า

http://hilight.kapook.com/img_cms/dookdik/9.gifกว่าจะผ่านปัญหาไปได้ต้องฝึกฝนตัวเองอย่างไร
          จะต้องทำตัวให้หนักแน่นดังแผ่นภูผา ลมมาพัดก็ไม่ปลิวไปตามลม ฝนสาดก็ไม่เปื่อยสลาย แดดส่องก็ไม่ละลายไปกับแสงแดด ฉะนั้นทำตัวให้หนักแน่นดั่งแผ่นภูผาเราก็จะอยู่ในทุกสภาวะของชีวิต

http://hilight.kapook.com/img_cms/dookdik/9.gifกรณีสำหรับคนที่ตกงานมีวิธีคิดอย่างไรไม่ให้เครียด
http://hilight.kapook.com/img_cms/dookdik/43.gif1. ต้องหางานทำ
http://hilight.kapook.com/img_cms/dookdik/43.gif2. หาแล้วไม่ได้ต้องสร้างงานขึ้นมา ตกงานได้แต่อย่างให้ใจตก เพราะถ้าใจตกชีวิตจะตกต่ำทันที ดังนั้นไม่ต้องเสียใจ คนที่ รวยที่สุดในโลกตอนนี้ สตีฟ จอบส์ ก็เคยตกงาน แต่ว่าเขาตกงานแล้วไม่ตกใจจึงลุกขึ้นมาสร้างบริษัทใหม่ในที่สุดก็ประสบความสำเร็จได้ ฉะนั้นเราตกงานได้แต่ไม่ได้หมายความว่าความรู้ความสามารถของเราตกไปด้วย มันยังอยู่กับตัวเรา ก็เอาความรู้ความสามารถที่อยู่ในเนื้อในตัวเราลุกขึ้นมาสร้างงานใหม่ ทำอย่างนี้แล้วเราจะประสบความสำเร็จได้ โอกาสยังคงมีเสมอสำหรับผู้ที่ไม่ปิดกั้นตัวเอง ต้องหาความรู้เพิ่มเติมให้ถือหลักพึ่งตนเองอย่ารอพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในบรรยากาศที่บ้านเมืองอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ปกติการพึ่งตนเองสำคัญที่สุดเลย



http://hilight.kapook.com/img_cms/dookdik/9.gifถ้ายังไม่ได้งานแล้วหันไปพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผิดหรือเปล่า
          เอาวันเวลาที่ไปบนบานสานกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น มา พินิจ พิจารณาหาช่องทางทำกิน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเราได้ในทางจิตวิทยาคือทำให้เราเคลิ้มๆแต่ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาที่แท้จริง พูดอีกอย่าง "หนึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นยาทา การใช้ปัญญาเป็นยากิน" การรักษาโลกต้องใช้ยากิน การใช้ยาทาก็เป็นการรักษาแต่ภายนอก สิ่งศักดิ์สิทธิ์ถ้าศักดิ์สิทธิ์จริงประเทศไทยจะมีคนจนไหม ไม่มี... ประเทศที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากที่สุดในโลกคืออินเดีย ปรากฎว่ามีประชากรกว่าร้อยล้านคนตกงาน นี้คือบทเรียนของการรอพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ฉะนั้นให้หันมาพึ่ง ลำแข้ง ลำขา สติปัญญาของตัวเองจึงจะดีที่สุด

http://hilight.kapook.com/img_cms/dookdik/9.gifน้อยใจทำงานมานานแล้วไม่มีโบนัส มีวิธีคิดอย่างไร...?
          ถ้าโบนัสไม่มาเอาเท่าที่มีก่อนก็ได้ มีคนอีกมากที่ตกงานแต่เรายังมีงานทำ มองเป็นก็จะเห็นธรรม แต่ถ้ามองไม่เป็นก็จะมาน้อยใจ เวลาที่เรารู้สึกแย่มองคนที่แย่กว่าเรา แล้วเราจะรู้สึกว่าเรายังได้เปรียบอยู่

http://hilight.kapook.com/img_cms/dookdik/9.gifถ้าเป็นพวกที่บ้างานหนักจะทำอย่างไร
          ต้องแสวงหาทางสายกลาง พวกที่เป็นโรค Workaholic ทั้งหลาย จะต้องแสวงหาทางสายกลางในการทำงาน การทำงานต้องประสานกับคุณภาพของชีวิตคือผลสัมฤิทธิ์ของมือทำงานระดับอาชีพ การทำงานประสานกับคุณภาพของชีวิตคือผลสัมฤทธิ์ของคนทำงานมืออาชีพ ฉะนั้นอย่างเป็นคนบ้างานจนหลงลืมคุณภาพของชีวิต จะต้องรักษาสมดุลของงานสมดุลชีวิตให้ลงตัวพอเหมาะพอดี

http://hilight.kapook.com/img_cms/dookdik/9.gifเราจะคำนวณสัดส่วนสมดุลย์ในการทำงานคืออะไร
          ใช้ทางสายกลางในการทำงานและการดำรงชีวิต 50-50 คืองานกับชีวิตจะต้องสมดุลกันในลักษณะ 50-50 บ้างานมากเกินไปสิ่งที่ได้กลับมาก็คือความเครียดและสุขภาพไม่ดี บ้าใช้ชีวิตมากเกินไปสิ่งที่ได้กลับมาก็คือจะอดตายเอา ไม่มีเงินกิน ไม่มีเงินใช้ ฉะนั้นต้องให้ทั้งสองส่วนมาสมดุลย์กัน 50-50 นี่คือทางสายกลางสำหรับคนทำงาน

http://hilight.kapook.com/img_cms/dookdik/9.gifประสบการณ์ของพระอาจารย์มีคนบ้างานจนถึงขั้นเสียชีวิตบ้างหรือเปล่า
          มีลูกศิษย์ที่ทำงานหนัก เงินเดือนแค่ 50,000 แต่ทำงานเหมือนตัวเองได้เงินเดือน 3 แสน ผลคือเป็นโรคมะเร็งและรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลหมอบอกว่าไม่พบสาเหตุจากพันธุกรรม พบอยู่สาเหตุเดียวคือแบกความเครียดนานเกินไปเงินที่หามาทั้งชีวิตต้องนำมารักษาโรคมะเร็งทั้งหมด ฉะนั้นสาเหตุหลักของมะเร็งในตอนนี้คือความเครียดนี่คือตัวอย่างของโรค Workaholic โรคบ้างาน ทำงานมากเกินไปสุดท้ายต้องไปใช้เงินในโรงพยาบาล ไม่ได้ใช้เงินอย่างมีความสุข

http://hilight.kapook.com/img_cms/dookdik/9.gifอยากให้พระอาจารย์แนะนำวิธีผ่อนคลายในการทำงานของพวกมนุษย์เงินเดือน
          ถ้าเราทำงานแล้วคุณภาพชีวิตไม่ดีแสดงว่าเรากำลังเดินผิดทางมันกำลังสุดโต่ง ฉะนั้นเวลาทำงาน อย่ามัวแต่ทำงานให้สังเกตคุณภาพชีวิตของตัวเองด้วย เมื่อเราทำงาน มีเวลากินข้าวกับครอบครัวไหม เรามีเวลาพักผ่อนวันเสาร์วันอาทิตย์ไหม เรามีเวลาอยู่กับลูกและภรรยาไหม เรามีเวลาไปเที่ยวต่างจังหวัดบ้างหรือเปล่า ถ้าสิ่งเหล่านี้ได้หายไปในชีวิตแสดงว่าคุณได้เสียสมดุลย์ชีวิตไปแล้ว ถ้าไม่ปรับมาสู่ทางสายกลางแสดงว่าอนาคตอันใกล้คุณกำลังป่วย เอาเงินที่หามาทั้งชีวิตมาใช้ในโรงพยาบาล นี่เป็น "โรคอารยธรรม" ที่กำลังเกิดขึ้นกับมนุษย์ในยุคทุนนิยมทั่วโลก ที่อเมริกา ที่ญี่ปุ่นป่วยด้วยโรค Workaholic เป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ประเทศไทยอันดับต้นๆของเอเชีย เพราะเราเครียดจากการเมือง เครียดจากเศรษฐกิจ เครียดจากแข่งขันในระบบทุนนิยมด้วย ดังนั้นใครที่เป็นโรคบ้างานจะต้องระมัดระวังถามตัวเองด้วยว่า เรามีภาวะสมดุลย์งานสมดุลย์ชีวิตแล้วหรือยัง อย่าทำงานจนป่วยตาย อย่าหลงเสน่ห์อบายมุข อย่ามีความสุขจนลืมศีลธรรม
http://hilight.kapook.com/img_cms/dookdik/9.gifถ้ามีคนถามพระอาจารย์ว่า งานจำเป็นต่อชีวิตหรือไม่...?
          งานจำเป็นต่อชีวิตเพราะทุกคนต้องกินต้องใช้แต่ต้องไม่ลืมว่าถ้าไม่มีชีวิตมีงานก็ศูนย์เปล่า

http://hilight.kapook.com/img_cms/dookdik/9.gifความหมายของ"งาน"ในแบบของพระอาจารย์คืออะไร...?
          งานของเราก็คือการทำให้เขามีความสุข ทุกวันอาตมามีความสุขมากเพราะเป็นงานที่ไม่ได้ทำร้ายใครเลย อาตมาไปเทศน์ไปสอนไปบรรยายก็เหมือนเป็นการเอาความสุขไปโปรยให้กับคนทั่วทั้งสากลโลก ฉะนั้นทุก ๆ วันที่เดินทางออกจากวัดอาตมามีความสุขมาก ทำงานเหมือนแสงเดือนแสงตะวันที่ชโลมผืนโลก ทำไปไม่หวังผลประโยชน์ หวังแค่ประโยชน์สุขที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ อาตมามีความสุขที่เห็นคนอื่นมีความสุข เป็นความสุขที่เกิดขึ้นจากการทำให้คนอื่นมีความสุข เรียกว่าให้สุขแก่ท่านสุขนั้นถึงตัว ฉะนั้นชีวิตการทำงานของอาตมาก็ถือว่ามีความสุข เพราะได้ทำงานที่ตัวเองรัก และปรัชญาในการทำงานของอาตมาก็คือ งานของเราคือการทำให้เขามีความสุข
http://hilight.kapook.com/img_cms/dookdik/9.gifแล้วงานที่ดีที่สุดคืออะไร...
          งานที่จะทำให้เราอยู่ได้ในทางเศรษฐกิจและมีชีวิตที่มีความรื่มเย็นในจิตใจ คืองานในอุดมคติที่มนุษย์ทุกคนพึ่งสร้างสรรค์พัฒนาขึ้นมาให้ได้ ย้ำอีกครั้งหนึ่งคือ สามารถอยู่ได้ในทางเศรษฐกิจ มีชีวิตที่ร่มเย็นในจิตใจ เรียกว่าในทางกายภาพก็อยู่ได้ในทางใจก็เป็นสุข

http://hilight.kapook.com/img_cms/dookdik/9.gifสุดท้ายให้ศีลให้พรในวันปีใหม่เกี่ยวกับการทำงาน

          ในโอกาสปีใหม่ก็ขอมอบพร 4 ประการให้กับคนไทย พลังทั้ง 4 เพื่อความสวัสดีของชีวิตคนไทย
http://hilight.kapook.com/img_cms/dookdik/43.gif1. พลังปัญญาของให้คนไทยลดความรู้สึกลงกลับมาใช้เหตุผลให้มากขึ้น
http://hilight.kapook.com/img_cms/dookdik/43.gif2. พลังความเพียรขอให้คนไทยพึ่งตนเองลดการพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์
http://hilight.kapook.com/img_cms/dookdik/43.gif3. พลังความสุจริตขอให้คนไทยร่วมกันต่อต้านคอรัปชั่นทุกรูปแบบแล้วหันมาเชื่อมั่นในความสุจริตโปร่งใส
http://hilight.kapook.com/img_cms/dookdik/43.gif4. พลังความสามัคคี ขอให้คนไทยเลิกเห็นแก่ตัวจนไม่เห็นหัวคนอื่น มาถือหลักธรรมใหม่ ๆ ว่า ส่วนไหน ๆ ก็ไม่ยิ่งใหญ่เท่าส่วนรวม ลด ละ เลิก การแบ่งแยก ไทยเหลือง ไทยแดง ไทยน้ำเงิน ให้เหลือเป็นไทยแลนด์ที่เป็นหนึ่งเดียว เท่านี้ชีวิตก็จะมีความสุข คนไทยทั้งประเทศก็จะมีความสุข เพื่อความสวัสดีของคนไทยให้เป็นพรปีใหม่ของเราชาวไทยทุก ๆ คน...

          -สวัสดีปีใหม่ทุกๆ คน-
ขอขอบคุณไทยรัฐออนไลน์ที่นำเสนอบทความดีๆ
โดย พี่โหน่ง

อ่านบทความทั้งหมด