วันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2554

วิธีกำจัดความเครียดด้วยปัญญา

By P'Nant

ต่อไปนี้จะเป็นการนำเสนอวิธีกำจัดความเครียด การคลายเครียด เป็นเพียงวิธีบรรเทาเบื้องต้น เหมือนรับประทานยาบรรเทาปวด ทายาคลายกล้ามเนื้อ ยังมิใช้ยารักษาให้หายขาดแต่ธรรมะขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น มิใช่เพื่อบรรเทาหากแต่เพื่อกำจัดเด็ดขาด ในที่นี้ข้าพเจ้าขอนำเสนอวิธีการง่าย ๆ ดังนี้



วิธีที่ 1 กล้าเผชิญความจริง

ความเครียดทั้งปวงเกิดจากความวิตกกังวล คนเราจะวิตกกังวลทุกอย่าง เมื่อความจริงยังไม่ปรากฏ ต่อเมื่อความจริงปรากฏเสียแล้วปัญญาก็เกิดเอง ยกตัวอย่างนักกีฬา ก่อนแข่งขันก็วิตกกังวลเกรงจะแพ้แต่เมื่อการแข่งขันเริ่มขึ้น คือเผชิญความจริงแล้ว สติปัญญาที่จะแก้ปัญหาก็มาเอง แรงผลักในการต่อสู้ การแก้ปัญหาก็ตามมา ยิ่งกับคนที่ต้องดูแลคนป่วยหนัก หากไม่มีกำลังใจพอจะยิ่งเครียดไม่มีทางออก วิตกกังวลไปสาระพัดอย่าง ถ้าจิตใจไม่เข้มแข็งกล้าเผชิญความจริง คนเฝ้าป่วยอาจหมดแรงก่อนคนป่วยจริง โดยเฉพาะทรงสอนเรื่อง “ทุกข์” มิใช่สอนเรื่อง “สุข” ทรงนำเสนอความทุกข์ประเภทต่าง ๆ เช่น ทรงสอนวิธีหาเหตุแห่งทุกนั้นว่ามาจากความทะยานอยาก

จากนั้น จึงทรงแสดงความดับทุกข์ เหมือนเราดับไฟที่ลุกโชนเผาไหม้สิ่งต่าง ๆ อยู่ เมื่อไฟดับความร้อนก็หายไป ความเย็นก็ปรากฏ จากนั้น ทรงแสดงทางสายกลาง คือการไม่ทำอะไรสุดโต่ง หรือเรียกง่าย ๆ ว่า “ความสมดุลในการดำรงชีวิต” อันเป็นเหตุให้เกิดความสุข

วิธีที่ 2 เข้าใจเรื่องอารมณ์ของตนและของคน (จริต 6)


น่าคิดเป็นอย่างยิ่งว่า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสแสดงความแตกต่างของคนที่จริต ทรงแสดงว่า คนเหมือนกันแต่ไม่เหมือนกัน ก็เพราะชอบไม่เหมือนกัน พฤติกรรมไม่เหมือนกัน ท่านเรียกว่า จริต.

คนเหมือนกัน แต่ถ้าจริงต่างกัน ก็จะมีอารมณ์ต่างกัน ความต่างกันของอารมณ์นี่เอง ที่ทำให้มนุษย์เราคิดต่างกัน และเกิดความขัดแย้งกันตลอดเวลา กระทั่งนำความเครียดมาให้เรา ด้วยเหตุนี้ เราจึงจำเป็นต้องเรียนรู้พฤติกรรมของคนใน จริต 6 คือ

1.คนบางคนรักสวยรักงาม ชอบแต่งตัว ชอบประดิษฐ์ ทำงานช้าแต่ละเอียด คนประเภทนี้ท่านเรียกว่า คนราคจริต
2.คนบางคนใจร้อน หงุดหงิด ชอบแสดงอำนาจเป็นนิสัย ทำอะไรเร็ว พูดเร็ว ไม่สนใจเรื่องละเอียด ชอบหลักการมากกว่ารายละเอียด คนประเภทนี้ท่านเรียกว่า คนโทสจริต
3.บางคนชอบแสดงว่าตนไม่รู้อะไรไว้ก่อน เพราะปลอดภัยเพราะกลัวผิด กลัวถูกตำหนิ กลัวถูกใช้งาน การไม่รู้คือไม่ต้องทำ เมื่อไม่ทำก็ไม่ผิด ท่านเรียกว่าคนพวกนี้ว่า คนโมหจริต
4.บางคนเชื่อง่าย ชื่นชมอะไรง่าย ๆ โดยไม่พิจารณา หรือตำหนิง่าย ๆ แล้วกลับชื่นชมอีกเมื่อคนอื่นชื่นชม แปลว่ากลับคำได้ง่าย ทำตามคนอื่น ไม่มีจุดคิดของตนเอง เรียกว่าคนสัทธาจริต
5.บางคนชอบคิด ขอบแสดงเหตุผล ชอบศึกษาเรียนรู้ ชอบหาความจริงของเรื่องนั้น ๆ นิสัย ไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ จนกว่าจะเห็นได้ปัญญาของตน ท่านเรียกว่า คนพุทธิจริต
6.บางคนชอบจับจดฟุ้งซ่าน ชอบบ่น จู้จี้จุกจิก ทำงานแบบหยิบโหย่ง ไม่จับอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ชอบเป็นผู้ตามมากกว่าผู้นำ คิดมาก กังวลมาก ท่านเรียกว่า คนวิตกจริต
จำง่าย ๆ ว่า คนทั้ง 6 ประเภทนี้คือ คนราคจริต, โทสจริต,โมหจริต,สัทธาจริต, พุทธิจริต และวิตกจริต เป็นลักษณะพฤติกรรมของคนที่เราต้องเรียนรู้เขาให้เข้าใจ เมื่อเข้าใจแล้วก็จะไม่เครียด

วิธีที่ 3 ไม่คาดหวัง แต่พิจารณาความเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่ง

ความเครียดอย่างหนึ่งมีเกิดจากความคาดหวัง เป็นธรรมดาที่มนุษย์ทำอะไรมักหวังผลตอบสนอง เมื่อลงทุนก้หวังกำไร ไม่มีใครหวังขาดทุน แม้แต่บุญยังหวังผลบุญ เมื่อวหวังจึงมีทั้งสมหวังและผิดหวังสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้คนรู้จักหลักความจริง 3 ข้อ คือความเปลี่ยนแปลง, ความทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ และความที่เราไม่อาจยึดสิ่งใด ๆ ไว้ในอำนาจได้ตลอดไป หรือที่รู้กันในวงการชาวพุทธว่า “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” อันเป็นหลักธรรมใหม่ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบว่า เป็นลักษณะที่ใช้ได้กับสรรพสิ่งในจักรวาฬ, ขอให้เราตั้งใจไว้ว่าข้อนี้มีความสำคัญมากต่อการคลายเครียดหรือกำจัดความเครียด นั่นคือหมั่นพิจารณาสรรพสิ่งที่เราเผชิญว่า



“สรรพสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลง และเปลี่ยนไปเหมือนสายน้ำ”

“ชีวิตมีได้มีเสียเสมอ การเสียบางอย่าง ก็เพื่อให้ได้บางอย่างมา”

“ไม่มีใครได้ตลอด แก้วที่เต็มน้ำแล้วจะรับน้ำใหม่ไม่ได้ เราหัดทำชีวิตให้พร่องบ้างก็ดีเพื่อรองรับสิ่งใหม่”

“การยอมให้คนอื่นมีกำไรในชีวิตบ้าง บางครั้งก็เป็นอุบายสำคัญในการประคองให้สมดุล”

“สิ่งที่ดีที่สุดไม่มี มีแต่สิ่งที่ดีพอสมควร”

“อย่าแสวงหาคนดีที่สุดในชีวิต ท่านจะหาอะไรไม่ได้เลย”

“ผู้หาคนที่สมบูรณ์ที่สุดมาเป็นเพื่อน จะหาใครเป็นเพื่อนไม่ได้แม้แต่คนเดียว”

วิธีที่ 4 ปิด-เปิดประตูรับรู้ให้เป็นเวลา
โลกยุคเทคโนโลยี ทำให้มนุษย์ตั้งแต่เด็กคนถึงผู้ใหญ่ ไม่มีเวลาพักผ่อนที่แท้จริง ไม่ได้พักผ่อนกับธรรมชาติ เช่น ทะเล ภูเขา หรือตามประสาพ่อแม่ลูก หากแต่พักผ่อนกับเกม, อยู่กับเทคโนโลยี บางทีกลับเครียดหนักกว่าเดิมอีกหลายเท่า, บางครั้งถึงเวลานอนกลับไม่นอน ไปนอนเวลาทำงาน หรือเวลาเรียน โดยเฉพาะอุปกรณ์ชิ้นใหม่ที่เรียกว่า Internet ทำให้ผู้ควบคุมตนเองไม่ได้ ต้องหมดมุ่นอยู่กับข้อมูลโดยไม่ได้ความรู้ใด ๆ ดูเหมือนรู้มาก แต่ไม่เข้าใจอะไรเลย ดูเหมือนย่อโลกไว้ในห้องนอน ไว้ในกำมือ แต่ความจริงคือกำลังหลงโลก หลงทาง

ดูตัวอย่างที่บางคนคุยของปลอม พูดกับคนปลอมมากกว่าพ่อแม่ ญาติพี่น้องของตนเอง สุดท้ายก็ไม่มีปัญญาจะจัดการกับคนที่มีชีวิตจริง ๆ ได้ โลกยิ่งทันสมัย ดูเหมือนมนุษย์ยิ่งอยู่ไกลความจริง. เราจำเป็นต้องอยู่กับความจริง กล้าเผชิญความจริงของชีวิต เราจึงจะพบของจริง ความจริงเท่านั้นที่ทำให้มนุษย์มีปัญญาอันงดงาม สดใส และเฉียบคมได้

ในข้อนี้น่าจะเป็นเรื่องทันสมัยของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงสอนให้รู้จักผัสสะคือรสชาติแห่งการรับสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่หลง และที่สำคัญ มีสติปิด-เปิดเมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม เหมือนอยู่ในที่ประชุม หรือชุมชน หรือเวลานอน เป็นต้น โลกยุคใหม่อาจมองดูเหมือนโก้เก๋ทันสมัย แต่แท้จริงแล้วนั่นคือสายใยที่ต่อท่อความเครียดเข้าถึงใต้หมอน หากไม่รู้จักปิด-เปิด

วิธีที่ 5 คนส่วนมากเครียดเรื่องของคนอื่น มิใช่เรื่องของตน

ยิ่งโลกทันสมัยเท่าใด คำพูดของคนก็ยิ่งนำความทุกข์มาให้ง่ายเท่านั้น. โดยธรรมชาติ คนเรามักเป็นทุกข์เพราะเรื่องคนอื่น เรื่องของตนมีน้อย เช่นนำเรื่องนอกบ้านมาถกเถียงกันภายในบ้าน กระทั่งเกิดการทะเลาะวิวาท ทั้ง ๆ ที่ตนก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร เพียงแต่ต่อสู้เอาชนะกันทางทิฐิมานะ หรือเหตุผลเท่านั้นเอง มองดูอาจเป็นการแสดงภูมิปัญญา แต่บางครั้ง เราต้องให้รู้เท่านั้นเอง มองดูอาจอาจเป็นการแสดงภูมปัญญา แต่บางครั้งเราต้องให้รู้เท่าทันว่า เรื่องของคนอื่น ที่ไม่ใช่เรื่องส่วนรวม เราควรทิ้งไว้นอกประตูบ้าน ไม่นำขยะความคิดใด ๆ เข้าบ้านของเราเองการนำไฟในออก นำไฟนอกเข้ามาบ้าน คือปัญหาที่สังคมแก้ไม่ตก บ้านใดเรือนใด ครอบครัวใด ฉลาดเรื่องไฟ ก็จะไม่ถูกไฟเผาไหม้ให้ร้อนรน

วิธีที่ 6 ฝึกแผ่เมตตา นึกถึงกฎแห่งกรรมมากกว่ากฎหมาย


ขั้นตอนสำคัญอีกข้อหนึ่งคือ เมื่อเครียดให้นึกถึงกฎแห่งกรรมที่มีอำนาจยิ่งใหญ่กว่ากฎหมาย เราเห็นปัญหาบางอย่างแก้ด้วยกฎหมายไม่ได้ แต่แก้ด้วยกาลเวลาได้ นั่นคือปล่อยไว้ให้กฎแห่งธรรมชาติจัดการกับปัญหานั้น นั่นหมายความว่า เป็นเรื่องที่เราได้พยายามแก้เต็มสติปัญญาของเราแล้ว แต่แก้ไขไม่ได้ ฉะนั้น ขอให้เรานักแก้ปัญหาทุกคนอย่าเครียดกับปัญหาบางอย่างที่แก้ไม่ได้ ทุกอย่างมีเหตุผลในตัวเสมอ เราต้องยอมรับกฎเกณฑ์แห่งกาลเวลาที่จะแก้ปัญหาทุกอย่างได้ คิดดูเถิดปัญหาชีวิตเรา บางครั้งยังต้องแก้กันข้ามภพข้ามชาตินับประสาอะไรกับปัญหาที่มีอยู่ในปัจจุบันที่เราจะไปแก้คนนั้นแก้คนนี้

ในทางพระพุทธศาสนา ทรงสอนให้รู้จักผ่อนคลายด้วยการนึกถึงกฎแห่งกรรม นึกว่า สัตว์โลกมีกรรมเป็นของ ๆ ตน มีกรรมเป็นผู้ให้ผล มีกรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นผู้ติดตาม มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย ไม่ว่าจะทำกรรมใดไว้ ดีหรือชั่ว ก็จักได้รับผลของกรรมนั้นสืบไป ไม่มีเปลี่ยนแปลง คิดได้อย่างนี้แล้ว สบายใจ

วิธีที่ 7 นึกถึงธรรมชาติที่เหมือนกันของสัตว์ทั้งหลาย

นี่คือวิธีกำจัดความเครียดขั้นสุดท้าย นั่นคือ มองให้เห็นความเสมอกันระหว่างสัตว์ทั้งหลาย รวมทั้งคนอื่นและตัวเราเองว่า ต้องเผชิญความลำบากในสังสารวัฏเหมือนกัน ต้องอยู่ในครรภ์ ต้องกินอาหาร ต้องดูแลขันธ์ 5 ต้องถูกโรคภัยเบียดเบียน แต่แก่ ต้องเจ็บ และสุดท้าย “สัตว์ทั้งหลายต้องตาย” ทกคนต้องตาย ความตายเป็นปลายทางของชีวิตเหมือนกันหมด ไม่ว่าผู้นั้นจะยากดีมีจนอย่างไร เขาและเราก็ไม่ต่างอะไรกัน เราไม่ต้องเครียดเพราะน้อยใจไปอิจฉาเขา ไม่ต้องเครียดไปโกรธเขา หากแต่มองให้เห็นปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตเขาเหมือนกันกับเรา

จริงอยู่แม้จะเป็นเรื่องทำได้ยาก หากเราตกอยู่ในภาวะถูกเอารัดเอาเปรียบมาก ๆ แต่ก็ต้องคิดเรื่องอย่างนี้ไว้บ้าง เพราะสิ่งที่ทำได้ยากเมื่อเราทำได้ เราจะเป็นผู้ได้รับประโยชน์ทางด้านจิตใจโดยตรง ด้วยเหตุนี้เอง สามเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงสอนให้เจริญมรณสติกรรมฐานเป็นประจำ มองให้เห็นว่า ตายแล้วเอาอะไรไปไม่ได้ เศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดก็ไม่มีใครเอาสิ่งใดไปด้วย แม้คนที่รักที่สุดคือบุตรธิดา ภรรยาญาติก็ต้องทิ้งไว้ข้างหลัง ไม่มีใครชวนใครไปอยู่ด้วย แม้ชวนก็ไม่มีใครไปด้วย แม้จะรักกันเพียงใดก็ตาม ถ้าเราคิดอย่างนี้บ้าง ชีวิตก็จะหายเครียดได้ในพริบตา

53 ความคิดเห็น:

  1. วิธีที่ 3 ไม่คาดหวัง แต่พิจารณาความเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่ง
    ชอบมาก กับวิธีนี้ ไม่คาดหวัง แต่พิจารณาความเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่ง
    “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา”

    ตอบลบ
  2. อ่านยังไม่จบเลยพี่ เดียวอ่านต่อวันหน้านะคับ

    ตอบลบ
  3. ช่วงนี้แผ่เมตตาอย่างเดียว อย่าให้คุณ"อา(ละวาด)" แกเครียดไปมากกว่านี้เลย
    เพราะแกเครียดทีไร แกคิดได้แค่สองชื่อ "Nick & Tinnagorn" - -"

    ตอบลบ
  4. บทความของพี่นันดีมากเลยครับ เวลาเครียดจะได้น้ำไปใช้ครับ ผมฝากเนื้อฝากตัวเป็นลูกน้องในกะพี่ด้วยนะครับ

    ตอบลบ
  5. ต้องขอขอบคุณNICKที่นำบทความของผมมาลงได้ถูกที่ถูกเวลาจริงๆ ก่อนอื่นต้องขอโทษทุกคนที่ต้องมาเครียดเรื่องของผมทำให้เหนื่อยไปตามๆกันอย่างน้อยปัญหามีไว้แก้ไขไม่ใช่แก้ตัวต้องกล้าเผชิญความจริง

    ตอบลบ
  6. ต้องขอโทษP'NANT ด้วยเช่นกันที่เอามาลงช้าไปหน่อย แต่เพื่อให้เรื่องดีๆได้ถูกสื่อสารในเวลาอันสมควร

    เห็นช่วงนี้ Control room กลายเป็นห้องเย็นไปซะแล้ว (เอ๊ะหรือเพราะแอร์มันหนาว) ชาวคอนโทรลรูมก็ต้องฝึกจิตสงบอดกลั้นอารมณ์ไว้ให้มาก

    ยิ่งได้ข่าวว่าเพื่อนรักของพี่ๆหลายๆคนที่ชื่อ พี่โม่ เค้าจามาช่วยสตาร์ทอัพแล้ว พี่ๆแต่ละคนต่างรู้จักกันเป็นอย่างดี แสดงว่าเป็นที่ชื่นชอบมาก ยังไงก็ฝึกพลังภายในเก็บไว้ด้วยนะครับ

    ตอบลบ
  7. กลัวน้องหนีไปบวชจังเลย!!

    ตอบลบ
  8. ช่วงนี้เครียดครับเพราะอยู่ในช่วง TEST กันแล้วก็ไม่รู้ จะโดน จัดหนัก หรือ จัดเบา
    OH MY GOD Thank you P Nant ที่มอบวิธีที่จะบรรเทาความเครียดให้ลดลงครับ
    แต่ขอจัดวิธีแผ่เมตตาดีกว่านะครับรู้สึกจะถูกทางครับ

    ตอบลบ
  9. ผมรักพี่นันต์ ครับ

    ตอบลบ
  10. ดีจริงๆคับ แต่ละวิธีเลือกไม่ถูกเลย จะลองใช้ให้ครบแล้วกันนะครับ (สติมาปัญญาเกิด แต่แก๊ง3 ช่ามาปัญญาก็เกิดเหมือนกันมยุราด้วย)

    ตอบลบ
  11. จะเครียดทำไม แค่ยิ้มเข้าไว้ ๆๆๆๆๆๆ ห้า ๆ ขอบคุณพี่นันต์ครับ

    ตอบลบ
  12. ใครอยากเข้าคอร์สขจัดความเครียดแบบชิล ชิล..
    เชิญได้ที่วัดปิปผลิวนารามทุกวันเสาร์-อาทิตย์ที่ 1และ 3ของเดือน คร๊าบบบ

    ตอบลบ
  13. ผมเลือกวิธีที่ 6 ครับพี่นัน ตรงกับผมพอดี ยิ่งเป็นคนธรรมมะธรรมโม ชอบเข้าวัดฟังเทศฟังธรรมครับ ฮ่าๆๆๆ

    ตอบลบ
  14. ช้านเองงงงง8 กรกฎาคม 2554 เวลา 22:50

    @พี่แมวมีแบบวันเดียวแล้วหายเลยไหม??
    ??แบบนั้นอยากไป

    ตอบลบ
  15. อ่านแล้วรุ้สึกคลายเครียด นึกถึงบาปบุญคุณโทษครับพี่จะได้นำกลับไปใช้กลับชีวิตตัวเองครับ

    ตอบลบ
  16. นายอาร์ท_พชร11 กรกฎาคม 2554 เวลา 20:35

    เป็นบทความที่ทำให้รู้สึกปลง ปล่อยวาง
    แต่ทุกอย่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นความจริงทั้งนั้น
    ถ้าหากคนเราทุกคนทำได้ ก็ดีสิครับ

    ปล.หากการดำรงในชีวิตคู่ ผมขอแนะนำ ข้อที่5 หากทำได้ชีวิตคู่จะยั่งยืนครับ

    ตอบลบ
  17. ช้านเองงงงง17 กรกฎาคม 2554 เวลา 09:19

    ok เลยอาร์ทเดี๋ยวช้านจะลองใช่วีธีที่5ดู
    แล้วเห็นผลยังไงช้านจะบอกน่ะหุหุหุหุหหุ

    ตอบลบ
  18. ช้านเองงงงง17 กรกฎาคม 2554 เวลา 09:26

    แต่ใจจริงช้านขอเลือวิธี่2ด้วยแล้วกันน่ะ
    *เข้าใจเรื่องอารมณ์ของตนและของคน *
    การที่เราเข้าใจตัวเองและผู้อื่นได้นั้น
    ช้านว่าเป็นเรื่องสำคัญน่ะ จะได้รู้ว่าตอนนั้นเราคิดอะไรและเค้าคิดอะไร
    รู้เค้ารู้เราจะได้เห็นใจกันเข้าใจกัน

    ตอบลบ
  19. สุดยอเลยคับพี่นันอ่านแล้วอยากบวชไม่สึกเลย 5555

    ตอบลบ
  20. สุดยอดเลยคับลูกพี่ อ่านแล้วรู้สึกว่าอยากบวชไม่สึกเลย 555

    ตอบลบ
  21. การที่เราขาดหวังสิ่งใดกับคนอื่นมากเกินไป อาจทำให้เราเป็นคนใจแคบ
    เห็นแก่ตัวก็ได้โดยที่เราไม่รู้ตัว ดังนั้น เราควรทำอะไรให้คนอื่นก่อนผลที่เราทำนั้นก็จะย้อนกลับมาหาเราเองนั่นแล

    ตอบลบ
  22. ขอแสดงความคิด ihears ครั้งแรกและครั้งต่อไป
    ผมคิดว่าความเครียดนั้นเกิดจาก การที่มนุษย์ยึดติดกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และอยากจะได้สิ่งนั้นมา บางครั้งได้มาแล้วก็มีความสุข บางครั้งไม่ได้สิ่งที่ต้องการก็มีความทุกข์ในใจ

    ตอบลบ
  23. จะเครียดหรือไม่เกิดจากตัวเรา ทุกอย่างนั้นเกิดจาก" กรรม "เป็ตัวกําหนดจะเปลี่ยน"กรรม "ได้ต้องเปลียนการกระทํา เเต่เปลี่ยน ยากมากครับ ผมเคยคิดว่า ลายมือที่เราเขียนกันทุกวัน เขียนกี่ 10 ปีดูอย่างไง มันก็ลายมือเรา
    สรุป ถ้าเราเปลี่ยนลายมือได้ เราก็เปลี่ยนการกระทําได้ เพราะเราเกิดมามีกรรมติดตัวมานั้นเองครับ ทีมงานคุณภาพ

    ตอบลบ
  24. ผมเคยนั่งมองอยู่ที่หน้าโรงงาน SPX เวลาทํางานเครียดมองเห็นกระถ่างดอกบัวเวลาฝนตก ทําไมฝนตกใส่ใบบัวแล้วใบบัวไม่เปรียก ผมก็เลยคิดว่าถ้าจิตของเรานั้นเหมือนใบบัวได้ก็จะดีมากครับ เพราะว่าถ้ามีปัณหาเข้ามาในชีวิตเราเราไม่ยึดติดกับปัณหานั้นชีวิตเราก็มีความสูขไม่เครียด

    ตอบลบ
  25. ..อย่าเครียดไปเลยทำใจให้สบาย...
    1. คิดว่า"กูจะเครียดทำไมวะ" แล้วก็ถอนหายใจ "เฮ้อ"
    2. คิดว่า "เฮ้อ~ กูจะมานั่งเครียดทำไมวะ ไปหาไรทำดีกว่า"เช่น ไปปลูกต้นไม้ ไปสังเกตธรรมชาติ นอนมองท้องฟ้า มองคนเดินไปมา มองปลาว่ายในน้ำ ไปเดินเล่นรอบๆบ้าน
    3. โทรหาเพื่อน ไปกวนตีนมันเล่น แล้วก็.....กัน

    ตอบลบ
  26. เสียดานบล๊อกเราน่าจะมีกด Like ได้เหมือนเฟสบุ๊ค ไม่งั้นคงได้กด Like กันสนุกสนาน

    ตอบลบ
  27. ช้านเองงงงง24 กรกฎาคม 2554 เวลา 19:48

    ผมก้อเคยทำน่ะคุณcloxxxzzzzโทรกวนตีนเพื่อนอ่ะ
    @Anusorn K อย่าเคลียดไปเลยพี่ ยังไงเราก้อต้องกับมัน
    และในที่สุดเราต้องผ่านมันไปให้ได้

    ตอบลบ
  28. ช้านเองงงงง24 กรกฎาคม 2554 เวลา 19:50

    เออ นิก!!!mail นิกอะไรอ่ะ ผมจะส่ง ihearsบ้าง
    ใครรู้ชว่ยบอกหน่อนน่ะคร๊าบ
    ขอบคุณครับ

    ตอบลบ
  29. บทความนี้คงจะเข้าทางANUSORNวันไหนว่างๆจะขอคำแนะนำการนั่งสมาธิบ้างอยากบรรลุ

    ตอบลบ
  30. แตนส่งมาเลยที่ jirawat.dokput@solvay.com ส่งก่อนมีสิทธิ์ก่อน

    ตอบลบ
  31. หัวใจเหมือนใบบัวสุดยอดเลยพี่สร

    อย่างเครียดเลยแค่ยิ้มเข้าไว้

    ตอบลบ
  32. ช้านเองงงงง25 กรกฎาคม 2554 เวลา 13:16

    แต่คุงกอล์ฟนี่หัวใจเหมือนนักฆ่า

    ตอบลบ
  33. ผ่านมาเห็น
    ขอบคุณสำหรับบทความดีๆ

    ตอบลบ
  34. มิตรเฮดเดอไฮเปอร์เรดซิ่ง29 กรกฎาคม 2554 เวลา 10:29

    แล้วจะเครียดไปทำไม" คำถามนี้เราเคยถามเพื่อนคนนึงไป เราสามารถบอกได้เลยว่ามันไม่น่าเครียดเลย มันไม่มีเหตุผล หน้าที่ก็คือหน้าที่หากทำดีที่สุดแล้ว ก็ถือว่าสำเร็จเช่นกัน มาวันนี้เรากลับต้องถามตัวเองว่าจะเครียดไปทำไม ตลกสิ้นดี แม้จะคนละปัญหา หรือเรื่องเดียวกันก็เหอะ แล้วจะเครียดไปทำไม
    แต่บทนี้สามรถช่วยใช้คนเครียดได้นะครับ

    ตอบลบ
  35. **ลดอารมณ์ทางลบ เพิ่มอารมณ์ทางบวก **
    ความวิตกกังวล ความกลัว ความโกรธ ทำให้เครียด หมั่นทำความเข้าใจกับตนเองว่า ความ รู้สึกเหล่านั้นเกิดด้วยเหตุใด ถ้าไม่เข้าใจก็หาที่ปรึกษา เช่น เพื่อน ผู้ปกครอง ฯลฯ และ ทบทวนทำความเข้าใจกับสี่ข้อข้างต้นให้แจ่มชัด พร้อมกับหาความสุข ความผ่อนคลายให้ตนเองในทุกๆ 24 ชั่วโมงของตนให้พบ แล้วปฏิบัติเป็นนิสัย เช่นร้องเพลงคนเดียว หรือกับเพื่อนๆ ออก
    กำลังกายวิธีที่ถนัด หาข้อขำขันหัวเราะกับผู้อื่น
    ****เชื่อมั่น**** : สร้างความเชื่อมั่นให้ตนเอง มั่นใจได้ว่าในชีวิตเรา ไม่มีปัญหาอะไรที่แก้ไขไม่ได้ แม้ความตายก็ยังป้องกันได้ ชะลอได้ (ยาดองบำรุงกำลัง)

    ตอบลบ
  36. แบงค์บ้านฉาง31 กรกฎาคม 2554 เวลา 15:33

    ขอบคุณคับกับแง่คิดดี ที่ช่วยกำจัดความเครียด

    แล้วจาลองเอาไปใช่ดูนะคับ

    ตอบลบ
  37. ช้านเองงงงง3 สิงหาคม 2554 เวลา 16:53

    มันเกี่ยวอะไรกันกับ**ยาดองบำรุงกำลัง**
    ล่ะคุงCloxxxzzzz

    ตอบลบ
  38. เป็นบทความที่อ่านแล้วรุสึกปลอดโปงไม่ต้องไปคิดอะไรกันมากเกินไปจะทำให้เราเครียดเปล่าๆ ได้อ่านบทความของพี่แล้วรุ้สึกว่าช้วยให้บรรเทาความเครียดต่างๆได้ดีเลยนะคับขอบคุณคับ

    ตอบลบ
  39. การกำจัดความเครียดด้วยปัญญานั้นผมว่าก็ยังเครียดอยู่ดี ทางทีดีนั้นควรจะสลัดความเครียดออกจากสมองด้วยการนั่งสมาธิ ทำใจให้สงบ ปล่อยว่างทุกสิ่งก็จะทำให้หายเครียด และทำให้จิตใจสงบ ลองทำดูน่ะครับ

    ตอบลบ
  40. เครียดต้องไป บ้านตะวัน

    ตอบลบ
  41. เมื่อวานเริ่มเครียดนิดหนึ่งแต่ก็ดีใจที่มีคนทำเพื่อSOLVAY ทำให้เดินไปข้างหน้าได้

    ตอบลบ
  42. เราต้องเดินไปข้างหน้าไม่อยากถอยหลัง

    ตอบลบ
  43. การเครียดแก้ให้เกิดเป็นความสุขได้ โดยการปรับเปลี่ยนความคิดแบบเดิมที่เคยให้ความหมายต่อคนหรือเหตุการณ์ที่ประสบไปในทางร้ายจนเป็นเหตุทำให้ตัวเองเกิดความเครียด มาเป็นการรับรู้เท่าที่มันเป็นหรือเกิดขึ้นจริงๆขณะนั้น เพื่อที่จะมองเห็นเหตุและความรุนแรงตามความเป็นจริง ไม่ใช่ตามจินตนาการที่อาจจะสร้างเรื่องราวใหญ่โตเกินเลย เมื่อรับรู้และประมาณสถานการณ์ตามที่มันเป็นจริงได้อย่างนี้ ก็จะทำให้มีโอกาสพบกับทางเลือกหรือช่องทางออกที่สามารถแก้ไขและปรับตัวได้อย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น

    ตอบลบ
  44. ผมไม่ค่อยได้เจอกับปัญญาฯเลย เพราะอยู่คนละกะ และกลัวจะปัญญาฯ เหนื่อย จะทำอย่างไรดีครับ แฮะแซวเล่นจะได้ไม่เครียดและใช้ปัญญา

    ตอบลบ
  45. สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเรา ไม่ว่าจะดี หรือไม่ดี จึงถือเป็นเรื่องธรรมดา เป็นผลที่เกิดจากเหตุ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว และไม่อาจย้อนกลับไปแก้ไขได้ แล้วไยเราต้องไปคิดกังวล จนเป็นทุกข์ กับสิ่งที่เป็นธรรมดา และผ่านไปแล้ว เหล่านั้นด้วย...

    ตอบลบ
  46. ความเครียดนั่นมนุยษ์ทุกคนต้องได้ประสบพบจอ ผมว่าเราลองหยุดคิดสักพัก เราคิดไปเองหรือเปล่า

    ตอบลบ
  47. ถ้ามีโอกาศ ลองนั่งสมาธิดู นั่งบ่อย ๆๆ แล้วจะรู้ว่าคําสอนขอพระพุทธเจ้ามีจริงเพราะว่าเรายึดติด กับสิ่งที่เราต้องการ ลองปล่อยว่างดูแล้วจะรู้สึกสบาย

    ตอบลบ
  48. ความอย่ามีนั้นมีนี้ทําใหเราเป็นทุกข์ ทุกข์นั้นเกิดจากตัว ควรที่จะพอประมาณตนเอง

    ตอบลบ
  49. บางคนเครียดเรื่องงาน กลัวในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น ทุกสิ่งนั้นจะผ่านไป หรือเรียกว่า ฟ้าหลังฝน แต่มันก็ต้องอยู่ที่เหตุและผล

    ตอบลบ
  50. บางคนเครียดมากๆก็ "หัวล้าน "เครียดนักไปอีก ต้องไปหาซื้อยาปลูกผมหมดเงินอีก

    ตอบลบ
  51. แบงค์วงแคดกล่าวว่า "จะเครียดไปทําไมก็ยิ้มเข้าไว้"มีงานทําก็เครียด ไม่มีงานทําก็เครียด มีความรักก็เครียด ไม๋มีความรักก็เครียด เงินน้อยก็เครียด เงินมากก็เครียด กลัวจะถูกยึดทรัพย์ วู้นว้ายจริงเกิดเป็นคน

    ตอบลบ
  52. ปิด-เปิดประตูรับรู้ให้เป็นเวลา ผม ว่า เจ๋ง นะ เพราะ ทุก ที ก็ เปิด รับ ตอน ตื่น ปิด รับ ตอน นอน แหะๆ เอา กาน ตรงๆ เลย

    ตอบลบ
  53. แบงค์บ้านฉาง27 มีนาคม 2555 เวลา 10:04

    "ความเครียด" เกิดจากปัจจัยได้หลายอย่าง...จากตนเอง จากบุคคลรอบข้าง จากสิ่งแวดล้อมและจากสภาพแวดล้อม สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ทำให้เกิดความเครียด...แต่ทุกคนสามารถลดความเครียดหรือขจัดความเครียดนั้นได้...โดยการรู้จักยืดยุ่น ไม่ยึดติดกับอะไรมากเกินไป รู้จักคิดบวกเลิกอคติกับสิ่งรอบข้าง และรู้จักเปิดรับสิ่งใหม่ๆอยู่เสมอและที่สำคัญคือการทำตัวเองให้มีความสุขคับ

    ตอบลบ