มีอาจารย์ในสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่งได้ทำการแบ่งนักศึกษาออกเป็นสองกลุ่มอยู่คนละห้อง กลุ่มแรกได้ภาพทางซ้ายมือและกลุ่มที่สองได้ภาพทางขวามือ ให้นักศึกษาแต่ละคนดูภาพแค่ช่วงเวลาที่สั้นมากๆไม่เกิน 10 วินาทีต่อคน จากนั้นนำนักศึกษาทั้งสองกลุ่มกลับมารวมกันในห้องเดียว จากนั้นอาจารย์ก็เอาเฉพาะภาพทางขวามือแสดงบนกระดานให้พวกนักศึกษาดูและให้พวกนักศึกษาอธิบายสิ่งที่เห็น จะพบว่าส่วนใหญ่ของนักศึกษากลุ่มแรกที่เห็นภาพหญิงสาวในรูปทางซ้ายมือมาก่อนจะมีแนวโน้มที่เห็นภาพทางขวามือเป็นภาพของหญิงสาว ในขณะที่นักศึกษาส่วนใหญ่ของกลุ่มที่สองเห็นภาพทางขวามือมาก่อนยังคงมีแนวโน้มที่จะเห็นภาพนี้เป็นภาพของหญิงชรา อาจารย์ก็เริ่มเรียกนักศึกษาจากคนละกลุ่มมาอธิบายสิ่งที่เห็นก็จะเกิดความขัดแย้งเกิดขึ้นเนื่องจากเห็นกันคนละแบบ ต่างฝ่ายต่างพยายามจะให้อีกฝ่ายยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเห็น ยิ่งถกเถียงยิ่งมั่นใจยิ่งอยากเอาชนะประกอบกับมีคนเห็นเหมือนกันบางส่วนสนับสนุนอีก จนในที่สุดมีนักศึกษาคนหนึ่งเริ่ม "ฟัง" สิ่งที่ทั้งสองฝ่ายพยายามอธิบายเพื่อเอาชนะกัน เขาก็เริ่มคิดได้ว่ารูปที่อาจารย์แสดงบนกระดานนั้นสามารถเป็นได้ทั้งรูปภาพของหญิงสาว และ ภาพของหญิงชรา จึงบอกเพื่อนๆที่กำลังเถียงกันทำให้การถกเถียงเริ่มยุติ ทุกคนเริ่มเห็นในสิ่งเดียวกัน
พวกเราจะเห็นว่าประสบการณ์ที่พวกเรามีต่างกันในอดีตนั้นมีผลต่อการสร้างกระบวนทัศน์ของเรา ซึ่งก็ได้แก่ทัศนคติในการตีความและตอบสนองต่อสิ่งต่างๆที่เข้ามาในชีวิตของพวกเราโดยใช้ประสบการณ์ชีวิตเป็นฐานในการตัดสินใจนั่นเอง จากตัวอย่างข้างบนเพียงแค่เวลา 10 วินาทีที่เราเห็นภาพดังกล่าวยังมีผลต่อการมองภาพที่ต่างกันขนาดนี้ แล้วในชีวิตจริงของพวกเรา เรามีประสบการณ์ที่สั่งสมกันมาตั้งแต่เราเกิดได้รับอิทธิพลที่แตกต่างกันจาก โรงเรียน ครอบครัว เพื่อน ที่ทำงานเก่า เป็นต้น ประสบการณ์ในชีวิตที่ต่างกันนี้เองจึงทำให้พวกเรามีมุมมองในเรื่องเดียวกันที่ต่างกันและมีพฤติกรรมการตอบสนองต่อสถานการณ์เดียวกันต่างกัน แต่ถามว่าใครถูกใครผิดก็คงยากเพราะทุกคนถูกหมดเนื่องจากมีเหตุผลของตนเอง สิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะบริหารจัดการความขัดแย้งที่อาจจะเกิดขึ้นก็ง่ายๆ แค่เราเปิดใจรับฟังเหตุผลของกันและกัน อธิบายกันด้วยทัศนคติที่ดี พยายามทำความเข้าใจอีกฝ่าย ท้ายที่สุดเราก็จะเห็นความจริงทั้งสองด้านและหาข้อสรุปร่วมกันได้ในที่สุด
พี่ก็ขอชวนน้องๆมีประสบการณ์ที่คล้ายๆกับตัวอย่างข้างบนเข้ามาแบ่งปันเรื่องราวดีๆให้เพื่อนๆ ในส่วนของความคิดเห็นในบทความนี้ได้ครับ
อ่านบทความทั้งหมด
พวกเราจะเห็นว่าประสบการณ์ที่พวกเรามีต่างกันในอดีตนั้นมีผลต่อการสร้างกระบวนทัศน์ของเรา ซึ่งก็ได้แก่ทัศนคติในการตีความและตอบสนองต่อสิ่งต่างๆที่เข้ามาในชีวิตของพวกเราโดยใช้ประสบการณ์ชีวิตเป็นฐานในการตัดสินใจนั่นเอง จากตัวอย่างข้างบนเพียงแค่เวลา 10 วินาทีที่เราเห็นภาพดังกล่าวยังมีผลต่อการมองภาพที่ต่างกันขนาดนี้ แล้วในชีวิตจริงของพวกเรา เรามีประสบการณ์ที่สั่งสมกันมาตั้งแต่เราเกิดได้รับอิทธิพลที่แตกต่างกันจาก โรงเรียน ครอบครัว เพื่อน ที่ทำงานเก่า เป็นต้น ประสบการณ์ในชีวิตที่ต่างกันนี้เองจึงทำให้พวกเรามีมุมมองในเรื่องเดียวกันที่ต่างกันและมีพฤติกรรมการตอบสนองต่อสถานการณ์เดียวกันต่างกัน แต่ถามว่าใครถูกใครผิดก็คงยากเพราะทุกคนถูกหมดเนื่องจากมีเหตุผลของตนเอง สิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะบริหารจัดการความขัดแย้งที่อาจจะเกิดขึ้นก็ง่ายๆ แค่เราเปิดใจรับฟังเหตุผลของกันและกัน อธิบายกันด้วยทัศนคติที่ดี พยายามทำความเข้าใจอีกฝ่าย ท้ายที่สุดเราก็จะเห็นความจริงทั้งสองด้านและหาข้อสรุปร่วมกันได้ในที่สุด
พี่ก็ขอชวนน้องๆมีประสบการณ์ที่คล้ายๆกับตัวอย่างข้างบนเข้ามาแบ่งปันเรื่องราวดีๆให้เพื่อนๆ ในส่วนของความคิดเห็นในบทความนี้ได้ครับ